แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การบูรณาการ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การบูรณาการ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โซ่อุปทานหนังสือคืออะไร การจัดการโซ่อุปทานหนังสือจะเริ่มอย่างไร


ดร.วิทยา สุหฤทดำรง
วิทยาลัยนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง 
และ อี ไอ สแควร์ สำนักพิมพ์

หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า Demand และ Supply และเข้าใจกันอยู่บ้างแล้วว่าหมายถึงอุปสงค์และอุปทาน ตามลำดับ  และแม้ว่าหลายคนก็ได้ยินคำว่า Supply Chain หรือ โซ่อุปทาน มากขึ้นๆ  ผมยังเชื่อว่าคงมีคำถามอยู่ว่าคืออะไรกัน...

โซ่อุปทาน (Supply Chain) คือ เครือข่ายของหุ้นส่วนธุรกิจ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงผู้บริโภค และรวมการผลิต การจัดจำหน่าย การขนส่ง การค้าส่ง การค้าปลีก และผู้จัดส่งวัตถุดิบรายอื่นๆ ที่มีส่วนในการผลิต จัดส่ง และขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ  (คำนิยามจาก Council of Supply Chain Management Professional: CSCMP)  เครือข่ายเหล่านี้สร้างคุณค่า (Value หรือประโยชน์ หรือผลิตภัณฑ์/บริการก็ได้) โดยกระบวนการสร้างคุณค่าซึ่งมี 2 ขั้นตอน คือ การวางแผนและการดำเนินการ  ซึ่งกิจกรรมในการดำเนินการนี้ก็จำแนกได้ 2 ประเภท คือ กิจกรรมการผลิต (Make) กิจกรรมลอจิสติกส์ (Move)    สมาชิกในโซ่อุปทานจะเป็นผู้สร้างคุณค่าเหล่านี้และเคลื่อนย้ายมารวมกันจนเป็นคุณค่าสุดท้ายที่ลูกค้าต้องการ    กิจกรรมลอจิสติกส์ (Logistics) เป็นกิจกรรมภายในโซ่อุปทานที่เกิดจากการวางแผน ดำเนินการ และควบคุมเพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพยากร (ซึ่งหมายถึงทั้งจัดหา จัดเก็บ จัดส่ง การบริการต่างๆ และสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง) ที่จำเป็นสำหรับการนำส่งคุณค่า ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดที่มีการใช้หรือบริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ    ลอจิสติกส์จึงไม่ได้ถูกตีกรอบว่าอยู่ในบริบทของการขนส่ง การจัดเก็บและการกระจายสินค้าอย่างเช่นที่มักเข้าใจกันเท่านั้น แต่อยู่ในบริบทของกระบวนการธุรกิจตั้งแต่ต้นทางของทรัพยากร ไปจนถึงปลายทางที่มีการบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์ และมองแบบนามธรรมว่าเป็นการไหลของคุณค่า แทนการไหลของสินค้าหรือวัตถุดิบ

โซ่อุปทานหนังสือ (Book Supply Chain) จึงหมายถึง เครือข่ายของบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่ดำเนินกระบวนการต่างๆ ร่วมและต่อเนื่องกันเพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาและผลิตออกมาเป็นหนังสือ  โดยหลักๆ แล้วประกอบไปด้วย นักเขียน/นักแปล สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย และร้านหนังสือ   อย่างไรก็ตาม ยังคงมีโซ่อุปทานของคุณค่าอื่นๆ ประกอบกันเป็นโครงข่ายโยงใยนอกเหนือจากนี้อีก เช่น มีโซ่อุปทานกระดาษซึ่งประกอบด้วย ชาวไร่ปลูกต้นไม้ และโรงงานกระดาษ เป็นต้น

สมาชิกในโซ่อุปทานเหล่านี้จะสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น นักเขียนผลิตงานเขียนออกมา สำนักพิมพ์ก็ตรวจแก้และจัดทำเป็นต้นฉบับที่พร้อมเข้าสู่โรงพิมพ์ โรงพิมพ์พิมพ์หนังสือออกมาเป็นรูปเล่ม ผู้จัดจำหน่ายกระจายหนังสือไปให้ถึงร้านหนังสือที่เป็นจุดค้าปลีกที่เหมาะสม  คุณค่าเหล่านี้เป็นทั้งคุณค่าเชิงผลิตภัณฑ์ (คือทำให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์มากขึ้นๆ)  และคุณค่าเชิงลอจิสติกส์ (คือเก็บรักษาคงสภาพผลิตภัณฑ์หรือเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์ให้ใกล้ลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ) รวมเป็นผลิตภัณฑ์สมบูรณ์ตามที่ลูกค้าต้องการ ในสถานที่และเวลาที่ลูกค้าต้องการ

โซ่อุปทานเกิดขึ้นเพราะความต้องการของลูกค้ามีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น จนเราไม่สามารถสร้างคุณค่าที่ซับซ้อนหรือมีองค์ประกอบมากมายได้ด้วยองค์กรเดียว นอกจากนี้ เราอาจไม่มีความสามารถ (ความเก่ง) ในการทำทุกกระบวนการได้ดีด้วยองค์กรเดียว จึงต้องแบ่งคุณค่าต่างๆ ออกไปให้ผู้สร้างคุณค่าอื่นๆ ร่วมกันสร้างคุณค่า แล้วจึงเคลื่อนย้าย (ลอจิสติกส์) มาบูรณาการกันเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย

ภาพอย่างง่ายของโซ่อุปทานและโซ่คุณค่าหนังสือ

แม้แต่ในองค์กรเดียวกัน ยังต้องแบ่งเป็นฝ่ายเป็นแผนกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดส่ง ฝ่ายการตลาด/ขาย ฯลฯ ฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นโซ่อุปทานภายในองค์กรที่ทำหน้าที่สร้างคุณค่าเพิ่มหรือสนับสนุนการสร้างคุณค่า แล้วจึงเคลื่อนย้าย (ลอจิสติกส์) มาบูรณาการกันเป็นผลิตภัณฑ์ขององค์กร

กิจกรรมในการดำเนินการที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่า (กิจกรรมที่ไม่ใช่การผลิต หรือ Make) ล้วนเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์ หรือ Move ทั้งสิ้น    ลอจิสติกส์เป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงการจัดการการไหลของคุณค่าไปสู่ลูกค้า ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่การจัดซื้อ การจัดการผลิต การจัดเก็บ การขนส่งและการกระจายสินค้า การค้าปลีก และการบริการลูกค้า ฯลฯ รวมทั้ง เป็นได้ทั้งลอจิสติกส์ภายในองค์กรและลอจิสติกส์ระหว่างองค์กร

ประเด็นสำคัญคือ กิจกรรมลอจิสติกส์ต่างๆ ต้องมีเป้าหมายเพื่อนำส่งคุณค่าให้ถึงมือลูกค้าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์คนสุดท้ายเท่านั้น    การขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง ดังเช่นที่ผู้จัดจำหน่ายใช้บริการของผู้ให้บริการ (ไม่ว่าชื่อบริษัทจะลงท้ายว่า "ลอจิสติกส์" หรือไม่ก็ตาม) ที่รับขนส่งไปยังร้านหนังสือในต่างจังหวัด ถึงจุดหมายแล้วจบหน้าที่ โดยที่ไม่ได้คำนึงว่าสิ่งที่ส่งนั้นคืออะไร ลูกค้าคนสุดท้ายคือใคร  สภาพหนังสือที่ได้รับจะอยู่ในสภาพที่ดีที่เขาพึงพอใจหรือไม่  ทันเวลาตามที่เขาต้องการหรือไม่นั้น จึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์อย่างแท้จริง   การจัดการลอจิสติกส์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้จากการจัดการโซ่อุปทานที่ดีเท่านั้น

การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) คือ การบูรณาการของกระบวนการธุรกิจหลักๆ ตั้งแต่ผู้ใช้ปลายทางไปจนถึงผู้จัดหาวัตถุดิบตั้งต้นที่จัดหาผลิตภัณฑ์ บริการ และข้อมูลที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ลูกค้าและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียรายอื่นๆ (Lambert และคณะ, 1998)  คือ กระบวนการและเครื่องมือในการปฏิสัมพันธ์และร่วมมือกัน ที่ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ภายในโซ่อุปทานผ่านการสื่อสารส่วนตัวและการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองและข้อมูลที่สำคัญต่อพันธกิจ ทั้งข้อมูลสารสนเทศของการขาย การพยากรณ์ การวางแผน การจัดซื้อ และการเติมเต็ม โดยมีวัตถุประสงค์สูงสุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน และเพิ่มกำไร โดยการทำให้มั่นใจว่ามีการนำส่งผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง ไปยังสถานที่ที่ถูกต้อง ในเวลาที่ถูกต้อง   โดยหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกัน ทำให้ไม่มีการแข่งขันระหว่างบริษัทอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นการแข่งขันระหว่างโซ่อุปทาน (Tompkins Associates, 2000)

ดังนั้น เมื่อกลุ่มผู้สร้างคุณค่าในโซ่อุปทาน "ทำงานร่วมกัน วางแผนงานร่วมกัน" เพื่อให้เกิดเป็นแผนการดำเนินงานในโซ่อุปทาน ทั้งในด้านแผนการผลิต (สร้างคุณค่า) และทั้งแผนลอจิสติกส์ (เคลื่อนย้ายคุณค่า) ซึ่งสมาชิกในโซ่อุปทานภายในองค์กรแต่ละคนที่มีหน้าที่ต่างๆ ตามข้อตกลงที่มีร่วมกันที่จะนำแผนโซ่อุปทานมาเป็นแผนหลักในการจัดการ แผนการจัดหา แผนการผลิต แผนการจัดเก็บ แผนการจัดส่ง แผนการขาย  เมื่อทุกคนในโซ่อุปทานขององค์กรมีแผนเดียวกัน การดำเนินงานภายในองค์กรก็น่าจะสอดคล้องกัน

ในทำนองเดียวกัน ถ้าในโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ (หรือโซ่อุปทานระหว่างองค์กร) มีแผนโซ่อุปทานเดียวที่ได้รับการกำหนดและตกลงร่วมกัน ก็ย่อมสามารถทำให้สมาชิกของโซ่อุปทาน (ซึ่งก็คือบริษัทแต่ละบริษัท) สามารถวางแผนและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันทุกบริษัทในโซ่อุปทาน   ลักษณะของโซ่อุปทานแบบนี้ หมายถึง สถานะภาพของความเป็นองค์กรเสมือน (Virtual Organization) หรือทำงานร่วมกันเสมือนเป็นองค์กรเดียวกัน ที่สามารถสร้างคุณค่าในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และบริการออกมาตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า  ความเป็นองค์กรเสมือนนี้ประกอบไปด้วยองค์กรย่อยๆ หรือหน่วยงานย่อยๆ ที่เชื่อมต่อกันอย่างหลวมๆ เพื่อความยืดหยุ่น (Flexible) และการปรับตัว (Adapt) ด้วยเป้าหมายร่วมกันในการสร้างคุณค่าเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

ในอุตสาหกรรมหนังสือไทยก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าหลายองค์กรมีการบูรณาการข้ามหน่วยงานเพื่อสร้างโซ่อุปทานของตนให้ครอบคลุมขึ้น (บางแห่งเมื่อรวมบริษัทในเครือแล้ว มีตั้งแต่โรงพิมพ์ สำนักพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย จนไปถึงร้านหนังสือ)  ตามหลักแล้วก็เพื่อใช้ประโยชน์ของการเป็นองค์กรเดียวกันในการทำงานร่วมกันมากขึ้น วางแผนและแบ่งปันข้อมูลกันได้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดการโซ่อุปทานในองค์กรให้ดีขึ้นนั่นเอง

ประเด็นของการทำงานร่วมกัน (Collaboration) หมายถึง การวางแผนและตัดสินร่วมกันของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เพียงแค่ร่วมมือกัน (Cooperation) แต่จะต้องร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดและรับชอบในผลงานของทั้งเครือข่าย  ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่มีผลต่อสมรรถนะ (ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับเปลี่ยน) ของเครือข่ายโซ่อุปทาน มองเครือข่ายโซ่อุปทานเดียวกัน  ไม่ใช่มองกันแบบแยกส่วน (Silo) ทำเพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงานหรือองค์กรตนเองเป็นหลัก สิ่งที่สำคัญคือจะต้องเห็นผลประโยชน์ของเครือข่ายโซ่อุปทานเป็นหลักแทน  เพราะว่าถ้าเครือข่ายโซ่อุปทานไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้แล้ว สมาชิกทั้งเครือข่ายก็จะมีปัญหาตามมาอีก  ถ้าคุณค่าที่อยู่ในรูปของสินค้าและบริการสามารถขายได้ ทั้งเครือข่ายก็อยู่รอด แต่ถ้าขายไม่ได้ ทั้งเครือข่ายก็ไม่อยู่รอด

การทำงานร่วมกันจะกำหนดข้อตกลงและรูปแบบการดำเนินการที่สมาชิกในโซ่อุปทานทำและสื่อสารระหว่างกัน จะมีข้อมูลสารสนเทศอะไรบ้างที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ ในเวลารวดเร็วเพียงใด ถ้าประเด็นการสื่อสารนี้มีปัญหาหรือไม่ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรในการสร้างคุณค่าที่มีผลต่อการดำเนินงานแล้ว โซ่อุปทานจะมีปัญหาในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้  ข้อมูลเหล่านี้จะมีผลต่อการดำเนินงาน (Execution) ของกระบวนการในโซ่อุปทาน  แม้จะมีการตัดสินใจที่ดีแต่หากอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า ก็จะส่งผลให้การไหลของคุณค่าไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า  ทำให้เกิดภาวะที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่เพียงพอ หรือมีมากเกินไป  นอกจากนี้ ข้อมูลสมรรถนะ (ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับเปลี่ยน) ที่อยู่ในรูปของดัชนีชี้วัด (KPI) ต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายใช้ จะประเมินว่ากิจกรรมต่างๆ เชิงลอจิสติกส์ที่ส่งผลของการไหลของคุณค่า หรือการนำส่งผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นสามารถดำเนินการตามที่คาดหวังหรือตกลงร่วมกันได้หรือไม่  กล่าวคือ ดี คือ นำส่งและคงรักษาผลิตภัณฑ์ได้ในสภาพที่ดี (ทั้งส่งผลิตภัณฑ์ขาไปและขากลับเป็นสินค้าคืน) ไม่ผิดพลาดจากการนำส่ง;  เร็ว คือ นำส่งได้ทันเวลาตามที่ต้องการ; ถูก คือ นำส่งด้วยต้นทุนการดำเนินการที่สมเหตุผล

ลองหันกลับมามองโซ่อุปทานหนังสือไทย โดยเฉพาะในส่วนของการกระจายหนังสือผ่านผู้จัดจำหน่าย ผ่านร้านหนังสือ ไปยังลูกค้าที่เป็นผู้อ่าน  นอกจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างคู่ค้าที่ชัดเจนคือส่วนลดการค้าและวิธีการเก็บเงินแล้ว พวกเราได้ทำงานร่วมกัน วางแผนงานร่วมกัน มีข้อตกลงในรูปแบบการทำงาน ข้อมูลสารสนเทศที่ต้องสื่อสารระหว่างกันอย่างไรบ้าง  พวกเราใช้หลักการ ข้อมูล และเครื่องมือใดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัดสินใจ  พวกเราประเมินสมรรถนะการทำงานจากดัชนีชี้วัดใดบ้างที่นอกเหนือจากยอดขายและตัวเลขกำไรแล้ว  แล้วเรานำผลดัชนีชี้วัดนั้นมาสร้างมาตรการในการแก้ไขปรับปรุงทั้งภายในและระหว่างองค์กรอย่างไร   การจัดการโซ่อุปทานหนังสือที่ดีจึงควรเริ่มที่จุดนี้...

วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชุม 6 สถาบันฯ -- 4.บูรณาการยุทธศาสตร์ในทุกภาคส่วน (2) : ยุทธศาสตร์

บูรณาการยุทธศาสตร์ในทุกภาคส่วน (2) : ยุทธศาสตร์
     
จากมุมมองและความเข้าใจเบื้องต้นในการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์ในด้านอื่นๆที่รองรับยุทธศาสตร์ชาติที่เป็นเสมือนแผนแม่บท    จากผลการดำเนินงานด้วยยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว   เรามักจะพบว่าผลการดำเนินงานจากการนำยุทธศาสตร์ชาติไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง   หรือไม่มีประสิทธิภาพบ้าง  ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้เป็นผลมาจากการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติทั้งจากบนลงล่าง  การวัดผลการนำไปปฏิบัติจากล่างขึ้นบนและระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ของยุทธศาสตร์ชาติ   มุมมองที่สำคัญจะอยู่ที่การเขียนยุทธศาสตร์ชาติ  เพราะว่าถ้าการกำหนดรายละเอียดของยุทธศาสตร์ชาติที่ออกมานั้น   ไม่ได้กำหนดความเชื่อมโยงและการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างองค์ประกอบของยุทธศาสตร์ย่อยที่รองรับแล้ว   การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติที่ขาดการบูรณาการที่ดีจะทำให้ผลของการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์ขาดความเป็นองค์รวม (Holism)  ประเด็นที่สำคัญ คือ เราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะเสริมสร้างความเป็นบูรณาการของยุทธศาสตร์ชาติโดยการระบุหรือกำหนดความเชื่อมโยงขององค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติและการมีปฏิสัมพันธ์กันของส่วนย่อยของยุทธศาสตร์ชาติ

สถานการณ์ปัจจุบัน
     
โดยทั่วไปความเข้าใจถึงยุทธศาสตร์ชาติของแต่ละส่วนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละด้านหรือองค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติ   บางคนก็อาจจะเห็นความสำคัญของยุทธศาสตร์ในแต่ละด้านแตกต่างกันออกไปตามระดับของยุทธศาสตร์   บางยุทธศาสตร์เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว   บางยุทธศาสตร์เป็นยุทธศาสตร์ในระยะสั้น   แผนยุทธศาสตร์เหล่านี้จะมีความซับซ้อนที่แตกต่างกันออกไปอีกตามแต่รายละเอียดขององค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง   ยิ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักในระดับประเทศ   องค์ประกอบต่างๆของยุทธศาสตร์ก็จะมากขึ้นตามลำดับความสำคัญและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติก็จะยิ่งมากขึ้นตามลำดับด้วย
     
ปัญหาของการนำยุทธศาสตร์ชาติไปปฏิบัติ  ส่วนใหญ่ที่พบในการดำเนินงานทั่วไปในการจัดการสาธารณะ (Public Management) คือ  ความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน  ความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์   ซึ่งจะมีผลต่อผลลัพธ์ของการดำเนินยุทธศาสตร์  บางยุทธศาสตร์บรรลุผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี  แต่อาจจะขาดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์   บางยุทธศาสตร์อาจจะไม่มีคุณภาพซึ่งไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล  แต่ก็อาจจะประสบผลสำเร็จด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและภาวะผู้นำของผู้ที่นำยุทธศาสตร์ชาตินั้นไปปฏิบัติใช้ให้เกิดผลประโยชน์
     
ในภาวะปัจจุบันผู้ที่นำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติใช้งานมักจะตกอยู่ภาวะกดดันที่จะต้องบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติภายใต้บริบทหรือสิ่งแวดล้อมที่มีความเป็นพลวัต (Dynamics) ซึ่งทำให้รายละเอียดที่อยู่ในยุทธศาสตร์ชาตินั้นไม่สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  อีกทั้งผู้ที่นำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติก็มีความเสี่ยงในการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้นบรรลุเป้าหมายทั้งๆ ที่อาจจะไม่ได้มีทรัพยากรและงบประมาณเพียงพอ  รวมทั้งข้อมูลสารสนเทศที่จำเป็นต่อการตัดสินใจดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ   สถานการณ์เหล่านี้จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบรรลุถึงเป้าหมาย  และอาจจะเกิดความเสียหายต่อผู้ปฏิบัติงานเองด้วย  ผู้ปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์จึงต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่ได้อยู่ในยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์
     
หรือจะพูดกันอย่างง่ายๆ ว่า  ยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์หลักของประเทศที่เขียนมานั้นไม่มีคุณภาพหรือไม่ได้สะท้อนภาพเป็นจริงที่เกิดขึ้น  ผลที่เกิดขึ้นเป็นเพราะขาดการบูรณาการที่ดีของการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ  ดังนั้นถ้ายุทธศาสตร์หลักดีและมีความเป็นองค์รวมที่เกิดจาการบูรณาการที่ดี  ยุทธศาสตร์ย่อยอื่นๆก็สามารถที่จะบูรณาการการทำงานร่วมกันได้  และผู้ที่ปฏิบัติก็ต้องมีความพร้อมในการบูรณาการด้วย  เพื่อที่จะได้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์หลัก
     
ก่อนที่ยุทธศาสตร์ชาติจะถูกจัดทำและนำไปปฏิบัติ  ผู้จัดทำและผู้ที่นำไปปฏิบัติควรจะมีความเข้าใจในแนวคิดและวิธีการบูรณาการเสียก่อน   เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นจะเกิดจากการบูรณาการทั้งสิ้น   เพียงแต่ว่าความสำคัญของการบูรณาการในอดีตนั้นยังไม่ได้รับความสนใจมากเท่าไรนัก   เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมยังไม่รุนแรงและรวดเร็วเหมือนในปัจจุบัน   ยิ่งสภาวะแวดล้อมปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นการบูรณาการจึงยิ่งมีบทบาทมากขึ้นในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อม      การบูรณาการ คือ การนำสิ่งที่แตกต่างกันมารวมกันให้มีโครงสร้างที่เป็นระบบ (Systemic Structure)  ความเป็นระบบของการรวมตัวกันนั้นไม่ได้ให้แค่ประโยชน์ที่เป็นผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมายเท่านั้น  แต่ความเป็นระบบยังก่อให้เกิดเป็นความสามารถเชิงพลวัต (Dynamic Capability)  ทำให้ระบบนั้นสามารถปรับปรุงตัวและเปลี่ยนแปลงในการสร้างผลประโยชน์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพลวัตด้วย
             
ดังนั้นสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรานั้นดูเหมือนว่า  ยุทธศาสตร์ชาติกับยุทธศาสตร์ย่อยต่างๆ ยังขาดการเชื่อมโยงกันกับความเป็นจริงในการปฏิบัติงาน     สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานเพื่อสร้างผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ส่วนรวมก็ตาม   ย่อมมีความเป็นพลวัต (Dynamic) หรือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  (ไม่นิ่ง)    แต่ยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์หลักที่ถูกจัดทำออกไปกลับมีลักษณะสถิตย์ (Static) หรือนิ่ง   ความเป็นจริงในการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างผลประโยชน์ของชาตินั้นในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตทั้งในด้านความซับซ้อนและความเป็นพลวัต  ผู้ปฏิบัติงานต้องการแผนการดำเนินงานที่ยืดหยุ่น (Flexible) กับความสามารถในการปรับตัว (Adaptive)  เพื่อการตอบสนองต่อการปฏิบัติการในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน (Uncertainty) และความซับซ้อน (Complexity)ของปัญหาและความพลวัตของสภาวะแวดล้อม  ยุทธศาสตร์จึงต้องเป็นแผนงานที่มีความคล่องตัว (Agility) ที่มีลักษณะความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว   ความเป็นบูรณาการของยุทธศาสตร์ที่มีความเป็นระบบจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการทำให้เกิดความคล่องตัวเพื่อการรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ต้องเริ่มที่กระบวนการ
             
ผลลัพธ์ของคุณค่าหรือผลประโยชน์ทุกสิ่งบนโลกนี้ในมุมมองจากความต้องการมนุษย์เกิดจากกระบวนการสร้างคุณค่า (Value Creation Process) ที่สร้างสรรค์สิ่งนั้นขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์เราที่เป็นผู้สร้าง   สิ่งที่เป็นธรรมชาติก็เกิดจากกระบวนการธรรมชาติซึ่งเราอาจเข้าใจหรือรู้จักไม่ทั้งหมดและมนุษย์เราควบคุมไม่ได้ทั้งหมด   สิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาก็เกิดจากกระบวนการที่เราได้ออกแบบจากความเข้าใจในความต้องการของผลประโยชน์ของมนุษย์เองและควรจะควบคุมได้    แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้  ดังนั้นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งในธรรมชาติและในชีวิตเรานั้นก็เกิดจากผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่ได้ไม่ตรงกับใจเรา    ธรรมชาติให้ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงกับความค้องการของมนุษย์ก็เพราะกระบวนการในธรรมชาติมีปัญหา (อาจจะเป็นเพราะมนุษย์เราไปทำอะไรบางอย่างให้กระบวนนั้นผิดไป)

ในหลายๆครั้งสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองก็ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์เองได้  เพราะมนุษย์เองมีความต้องการที่ไม่รู้จบ (กิเลส)  เราจึงต้องกลับไปพิจารณาดูหรือตรวจสอบที่กระบวนการสร้างสรรค์คุณค่าซึ่งเป็นต้นทางของผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่ต้องการ   ดังนั้นปัญหาต่างๆจึงเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการซึ่งไม่ใช่ที่ผลลัพธ์   ปัญหาจึงอยู่ที่กระบวนการ  เมื่อกระบวนการหรือขั้นตอนไม่เหมาะสมหรือไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ได้เป็นไปตามแผน  เราจึงต้องมาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงที่กระบวนการสร้างผลประโยชน์   หรือที่ในอดีตเรามักจะได้ยินคำว่า  Re-engineering    หรือ  คิดใหม่  เพื่อทำใหม่   เราได้รับผลกระทบจากผลประโยชน์ที่ไม่ได้รับหรือไม่ลงตัว  เราจึงต้องไปแก้ที่กระบวนการซึ่งเป็นต้นเหตุ  ไม่ใช่ที่ผลซึ่งเป็นปลายเหตุ
             
เราต้องลองกลับมาพิจารณาดูที่กระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัวเรา   ในระบบนิเวศต่างๆทั้งระบบตามธรรมชาติและระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น   ระบบทั้งสองประเภทนี้ต่างก็เกื้อกูลกันและมีความเชื่อมโยงอย่างเป็นบูรณาการโดยที่เราไม่รู้ตัว   จึงทำให้เกิดความสมดุลที่ลงตัว แต่ถ้าเรารู้และเข้าใจในความเป็นบูรณาการหรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าองค์รวม (Holism) เราก็จะสามารถจัดการกับระบบนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นั่นหมายความว่า  ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายในระบบและจากสภาวะแวดล้อมภายนอก  เราก็ยังคงรักษาและปรับปรุงระบบให้คงอยู่และขยายผลหรือพัฒนาต่อไปได้
             
เป้าหมายสุดท้ายของระบบหรือสังคมของมนุษย์ก็ คือ การอยู่รอด (Survival)  หรือการมีชีวิตอยู่ของคนในสังคม   และคนในสังคมซึ่งต้องการปัจจัยพื้นฐานเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก็ต้องอาศัยระบบเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนคุณค่าหรือผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน   เมื่อคนในสังคมมีชีวิตอยู่รอดแล้ว  สังคมหรือประเทศก็คงอยู่รอดและวัฒนาต่อไป   ดังนั้นเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติทั้งหลายในโลกก็อยู่ที่ผลประโยชน์แห่งชาตินี้เท่านั้น  แล้วเราลองนึกดูว่าในระบบสังคมของโลกมีกระบวนการต่างๆ มากมายทั้งเกิดจากธรรมชาติและกระบวนการที่มนุษย์ได้สร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์ต่างๆ มากมายเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เป็นผลประโยชน์ต่อปัจเจกบุคคลและของสังคมหรือประเทศ

ผลประโยชน์เกิดจากกระบวนการปฏิบัติ
             
กระบวนการในโลกนี้มีหลากหลายประเภทของกระบวนการ  ทุกๆ กระบวนการมีผลลัพธ์   แต่ทุกๆผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเป็นผลประโยชน์ที่เราต้องการ  ในขณะเดียวกันทุกผลลัพธ์จากหลายกระบวนการจะมีส่วนเชื่อมโยงหรือเป็นตัวต่อ (Building Blocks) ที่สำคัญในการนำไปสู่ผลประโยชน์ของแต่ละบุคคลและเป็นผลประโยชน์ของชาติในที่สุด
             
เราสามารถแบ่งกระบวนการออกเป็น  2  ประเภท คือ กระบวนการวางแผนหรือด้าน Soft Side  และกระบวนการปฏิบัติหรือด้าน Hard Side   หรือพิจารณาอย่างง่ายๆ เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่จะต้องมีทั้ง Software และ Hardware ซึ่งจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้    กระบวนการสร้างผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์แห่งชาติก็ตามย่อมจะมีทั้งด้าน Soft Side และ Hard Side   เหมือนกับระบบคอมพิวเตอร์   กระบวนการด้าน Soft Side จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนหรือควบคุมกระบวนการด้าน Hard Side   ผลลัพธ์จากกระบวนการ Soft Side ไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรงต่อผลประโยชน์ของบุคคลหรือประโยชน์แห่งชาติ     ส่วนกระบวนการด้าน Hard Side จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นผลประโยชน์โดยตรงกับปัจเจกบุคคลและประเทศชาติ    กระบวนการวางแผนหรือด้าน Soft Side จะเป็นตัวกำหนดกิจกรรมในกระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์หรือกระบวนการ Hard Side  ดังนั้นถ้าจะให้ผลลัพธ์ออกมาดีเป็นผลประโยชน์ต่อปัจจเจกบุคคลและเป็นผลประโยชน์แห่งชาติแล้ว   กระบวนการทั้งสองประเภทจะต้องทำงานร่วมกันเป็นระบบเหมือนกับระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความลงตัวทั้งทางด้าน Hardware และ Software   ถ้า Hardware เร็วขึ้นก็ต้องเปลี่ยน Software ใหม่เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จาก Hardware ให้เต็มประสิทธิภาพ

ต้องบูรณาการที่กระบวนการ

ทุกวันนี้ผลประโยชน์ของชาติและผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วหรือมีความเป็นพลวัตมากขึ้น  กระบวนการวางแผนและกระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย   อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เป็นตัวอย่างที่ดีได้สำหรับการเปลี่ยนแปลงทั้งความต้องการของลูกค้าและการตอบสนองของผู้ผลิตทั้งด้าน Hardware และ Software    ผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็จะมาจากกระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่า (Value Creation Process) ซึ่งต้องเชื่อมโยง (Linked) และมีปฏิสัมพันธ์ (Interactions) กับแผนงานที่เกิดจากกระบวนการวางแผน (Planning Process) อย่างบูรณาการกัน  ในขณะเดียวกันขั้นตอนต่างๆในกระบวนการวางแผนเองก็จะต้องบูรณาการกันภายในกระบวนการเองด้วยหรือเรียกกันว่า (Collaborative Planning) และในทิศทางเดียวกันกับกระบวนการปฏิบัติการในการสร้างคุณค่าก็จะต้องมีการบูรณาการภายในด้วยการเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างทรัพยากรต่างๆและขั้นตอนต่างๆในกระบวนการด้วย หรือเรียกกันว่า (Physical Compatibility)

เมื่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติได้ส่งผลไปที่ผลประโยชน์ของปัจจเจกบุคคลและส่งผลกระทบไปถึงผลประโยชน์แห่งชาติในที่สุด   แต่ถ้าเราพิจารณาย้อนกลับไปยังต้นกำเนิดของกิจกรรมต่างๆ ภายในประเทศที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์แห่งชาติ  เราก็จะพบว่ายุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ย่อยต่างๆ ที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะกำกับกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อาจจะไม่เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมปัจจุบันและในอนาคตซึ่งจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์แห่งชาติที่ตั้งเป้าหมายไว้
สิ่งที่จะต้องดำเนินการ คือ เราจะต้องกลับไปพิจารณากระบวนการทั้งหมดตั้งแต่กระบวนการวางแผน   กระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์ซึ่งประกอบไปด้วยทุกภาคส่วน  รวมทั้งความเชื่อมโยงระหว่างการวางแผนและการปฏิบัติการ   การบูรณาการกระบวนการทั้งหมดให้เป็นองค์รวม (Holism) ให้เกิดเป็นระบบ (System) โดยการเน้นที่การเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งภายในกระบวนการและระหว่างกระบวนการ  เมื่อกระบวนการทั้งหมดมีความเป็นระบบที่เกิดจากการ บูรณาการแล้ว   ระบบที่สร้างผลประโยชน์ตั้งแต่ปัจเจกบุคคลและผลประโยชน์แห่งชาตินี้ก็จะมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเองได้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวเพื่อรองรับกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ต้องทำให้ระบบมีชีวิต
             
การมีชีวิตนั้นหมายถึง การที่มนุษย์ (สิ่งที่มีชีวิต) สามารถดำรงตัวเองอยู่รอดด้วยผลประโยชน์ที่ต้องการเป็นพื้นฐาน   ดังนั้นองค์กรหรือประเทศก็จะต้องอยู่รอดได้ก็เพราะว่าคนในองค์กรหรือประเทศมีการตัดสินใจหรือวางแผนเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่ต้องการเป็นพื้นฐานให้เป็นผลประโยชน์ต่อองค์กรหรือเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ   คนซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่มีปัญญาที่สามารถใช้ความคิดและตัดสินใจเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้   แต่ทำไมเมื่อสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์มาอยู่รวมกันแล้วไม่สามารถทำให้กลุ่มมนุษย์ที่รวมตัวกันเป็นสังคมมีชีวิตอยู่รอดได้หรือไม่มีการวัฒนา   ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคนจำนวนมากไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ต่อปัจเจกบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมได้  กระบวนการต่างๆที่มนุษย์เป็นคนดำเนินการทั้งในด้านการวางแผนและการปฏิบัติการก็ไม่สามารถดำเนินการให้สอดคล้องกันได้   กลับมีแต่ความขัดแย้งในผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง  สุดท้ายองค์กรหรือประเทศก็ล่มสลาย  และในที่สุดมนุษย์ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้
             
การสร้างให้องค์กรนั้นมีชีวิต (Living Organization) ได้ คือ การที่องค์กรได้ใช้ศักยภาพของแต่ละคนและกลุ่มคนในการคิดและตัดสินใจเพื่อ “รับรู้และตอบสนอง (Sense and Response)”  ต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและรวดเร็ว  นั่นหมายความว่า  ปัญหาในการบูรณาการ คือ การขาดการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ของคนในสังคมหรือประเทศ โดยเฉพาะความคิดอ่าน   เมื่อกลุ่มคนไม่มีการทำงานร่วมกัน  ก็จะไม่เกิดกิจกรรมการแบ่งปันข้อมูลกัน   ไม่ได้คิดร่วมกัน  ไม่ได้ตัดสินใจและวางแผนร่วมกัน   ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ กิจกรรมต่างๆในแต่ละภาคส่วนมักจะเกิดขึ้นแบบแยกส่วนกัน  ต่างคนต่างทำ   ไม่ได้มีการเชื่อมโยงกันหรือมีปฏิสัมพันธ์กันในการดำเนินงาน   ทำให้ขาดพลังในการคิดและตัดสินใจและขาดกำลังในการดำเนินงาน  ทั้งๆ ที่เมื่อคนในหลายภาคส่วนจะต้องมารวมตัวกันเป็นกลุ่มคนหรือเป็นสังคมเป็นประเทศแล้วก็น่าจะทำให้ประเทศมีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้น   แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น    มีคำกล่าวอยู่เสมอว่าประเทศไทยเล่นเป็นทีมไม่เป็น   คำกล่าวนี้เป็นจริงเสมอจนถึงทุกวันนี้

ยุทธศาสตร์การบูรณาการ คือ ต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่
             
ความเป็นจริงที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือ ทุกคนมีความแตกต่างกัน  ผลประโยชน์ที่ต้องการก็แตกต่างกันออกไป  แต่ทุกคนต้องอยู่รวมกันเพื่อสร้างพลังอำนาจที่ทุกคนต้องการเป็นพื้นฐานในการรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของแต่ละคน   แต่ถ้าทุกคนไม่มีพลังอำนาจของสังคมที่ทุกคนต้องมีไว้เป็นพื้นฐาน   คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ส่วนตัวได้ซึ่งจะทำให้แต่ละคนไม่สามารถอยู่รอดได้   ดังนั้นผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์แห่งชาตินั้นจึงเป็นการพึ่งพากันอย่างเป็นระบบ (Systemic) ตั้งแต่ระบบของแต่ละบุคคล (Personal System)   ระบบของแต่ละภาคส่วน (Sector System) ที่สนับสนุนบุคคลให้สร้างผลประโยชน์   และระบบของประเทศ (National System) ที่ประกอบขึ้นจากระบบของแต่ละภาคส่วน  ระบบทั้งหมดอยู่รวมกันเป็นระบบนิเวศทางสังคม (Social Ecology) ซึ่งบูรณาการกันอย่างที่เราไม่รู้ตัว     ความเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์ถูกสร้างขึ้นภายในระบบอย่างไม่เป็นทางการ ในอดีตความเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์เหล่านี้อาจจะไม่ได้มีบทบาทหรือมีผลกระทบออกมาให้เห็นกันอย่างเด่นชัด   แต่เมื่อบริบทหรือสิ่งแวดล้อมแปรเปลี่ยนไปอย่างเป็นพลวัต   บทบาทหรือความสำคัญของความเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์เหล่านั้นกลับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สังคมอยู่รอด   เมื่อสังคมอยู่รอดแล้ว คนแต่ละคนก็น่าจะอยู่รอดด้วย
             
สังคมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติของมนุษย์  ไม่ใช่เป็นธรรมชาติของโลก   ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิดอ่านก็ขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของความคิดของคนในสังคมนั่นเอง   ไม่เกี่ยวกับธรรมชาติของโลก ธรรมชาติของคนเองก็แตกต่างจากธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย   ดังนั้นการอยู่รวมกันของคนหลายคนสามารถสร้างผลประโยชน์ได้และสามารถสร้างความเสียหายให้กับแต่ละบุคคลและต่อสังคมได้เช่นกัน  เพราะแต่ละคนมีความคิดอ่านที่แตกต่างกันออกไป   การที่จะทำให้ทุกคนมาหล่อหลอมรวมกันเพื่อบูรณาการความคิดและศักยภาพเพื่อสร้างพลังอำนาจใหม่ให้สามารถสร้างผลประโยชน์ร่วมกันได้ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ
             
สิ่งที่จะให้คนอยู่รวมกันได้ก็ คือ วัฒนธรรมที่คนในกลุ่มได้ตกลงร่วมกัน คิดที่จะสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน  สำหรับสังคมประเทศที่มีความเป็นชาติย่อมมีวัฒนธรรมร่วมกันซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สร้างผลประโยชน์แห่งชาติร่วมกัน  วัฒนธรรม  (Culture) จะเป็นเสมือนสิ่งที่เป็นมาตรฐานทางด้านความคิด (Standardization for Thinking) ของคนในสังคมที่ชี้นำให้คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างผลประโยชน์ของสังคม   วัฒนธรรมจะเป็นเหมือนพื้นฐานของการพัฒนาในด้านต่างๆ  วัฒนธรรมจะนำไปสู่ความมีวินัย (Discipline) ของคนในสังคมซึ่งจะนำไปสู่การสร้างกฎและระเบียบของสังคม  สังคมใดสร้างให้คนมีวินัยในตัวเองแล้ว  การจัดการสังคมก็จะง่ายขึ้น   การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสังคมก็จะสำเร็จและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น   การมีวินัยเป็นพื้นฐานของการเคารพกฎระเบียบในสังคม  การมีวินัยเป็นพื้นฐานสำหรับความไม่เห็นแก่ตัว   ในทางตรงกันข้ามความมีวินัยจะทำให้คนในสังคมเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก   มีคำขวัญที่ติดไว้ในค่ายทหารแห่งหนึ่งเขียนไว้ว่า “ความมีวินัยอาจจะริดรอนความสุขสบายส่วนบุคคล  แต่ก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม”
             
วัฒนธรรมใหม่นี้ต้องเป็นวัฒนธรรมแห่งการบูรณาการ  ซึ่งไม่ใช่การบูรณาการในระดับปฏิบัติการที่เป็นด้าน Hard Side  แต่เป็นการบูรณาการในด้านความคิดอ่านของคนในสังคมซึ่งเป็นด้าน Soft Side  ความหมายของการบูรณาการแสดงถึงความเป็นองค์รวม (Holism) ซึ่งเปรียบเสมือนกับอวัยวะต่างๆที่อยู่ในร่างกายเราที่มารวมประสานกันเป็นร่างกายที่มีชีวิต   เราไม่สามารถแยกอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งออกจากร่างกายได้   ไม่เช่นนั้นแล้วความเป็นชีวิตของเราก็จะหมดไป   สังคมก็เช่นกัน   คนในสังคมจะต้องเห็นประเทศเป็นหน่วยเดียวโดยที่ทุกคนในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ   จะขาดใครคนหนึ่งไม่ได้  แต่ในความเป็นจริงประเทศหนึ่งมีประชาชนมากมาย  การขาดคนไปบ้างก็คงไม่เป็นไรนัก   แต่ในความหมายของยุทธศาสตร์ชาติ  การขาดองค์ประกอบของยุทธศาสตร์องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไปอาจจะทำให้ยุทธศาสตร์ชาติขาดความสมบูรณ์และขาดความเป็นองค์รวมไป   ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ไม่มีความยืดหยุ่นและไม่สามารถปรับตัวได้

ดังนั้นเมื่อทุกคนคิดและวางแผนจะทำอะไรก็ตาม  ก็ต้องคิดและทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก  แล้วค่อยเป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัว  ความมั่นคงในผลประโยชน์แห่งชาติก็จะเกิดขึ้น  ถ้าวัฒนธรรมแห่งการบูรณาการถูกพัฒนาขึ้นและตอกย้ำเข้าไปในสังคมอย่างต่อเนื่อง   จากวัฒนธรรมเดิมเพื่อสร้างให้คนในสังคมสามารถเชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นเพื่อประโยชน์ในภาพรวมและความเป็นองค์รวมของสังคมมากกว่าตัวเอง   เปรียบเสมือนกับทีมฟุตบอลที่นักฟุตบอลบางคนไม่ยิงประตูให้กับตัวเอง แต่ส่งผ่านบอลไปให้เพื่อนที่มีโอกาสยิงประตูได้มากกว่าได้ยิงประตู   เพื่อให้ทีมชนะมากกว่าการทำแต้มการยิงประตูให้กับประวัติของตัวเอง
             
ถ้าคนในสังคมมีพื้นฐานวัฒนธรรมที่ทำงานร่วมกันและทำงานเป็นทีมเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติหรือส่วนรวมก่อนที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว  กิจกรรมต่างๆ ในกระบวนการสร้างคุณค่าหรือประโยชน์ต่างๆ ในสังคมก็จะมีความเป็นบูรณาการในตัวเอง  ตั้งแต่ระบบการคิด   ระบบการศึกษา   ระบบการวางแผน   ระบบการปฏิบัติการ  รวมทั้งการตัดสินใจในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ในภาวะฉุกเฉิน   ความตระหนักในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงสังคมหรือประเทศเกิดจากวัฒนธรรมใหม่นี้เพื่อที่จะธำรงรักษาและพัฒนาผลประโยชน์แห่งชาติให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน   กิจกรรมต่างๆในกระบวนการสร้างผลประโยชน์ต่างๆ สำหรับภาคส่วนต่างๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องถูกปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทและสภาพแวดล้อมที่มีสภาพความเป็นพลวัตในปัจจุบัน

ดังนั้นโครงสร้างการทำงานในกระบวนการแบบดั้งเดิม  ที่มีความเชื่อมโยงและการปฏิสัมพันธ์แบบดั้งเดิมซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้   เพราะยังขาดการบูรณาการที่เหมาะสมหรือระดับของการบูรณาการไม่เพียงพอต่อการปรับเปลี่ยน  วัฒนธรรมเชิงบูรณาการหรือการมองให้เป็นองค์รวม (Holism) มากขึ้น   ซึ่งจะทำให้เราไม่ได้มองสังคมแบบแยกส่วนเป็นฟังก์ชั่นการทำงานหรือมองเฉพาะโครงสร้าง   แต่จะต้องมองและคิดแบบกระบวนการ (Process Thinking) ที่มีหลักคิดแบบองค์รวม (Holistic Thinking) ที่มองถึงการเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก

ถ้าเราจะสร้างยุทธศาสตร์ชาติที่เป็นพื้นฐานของสังคม  ยุทธศาสตร์ชาตินั้นจะต้องมียุทธศาสตร์หลักที่เป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่เป็นวัฒนธรรมหลักของชาติที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์หลักแห่งชาติ  วัฒนธรรมหลักของชาติจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงแนวคิดต่างๆที่อยู่ในคนทุกคนในทุกภาคส่วนของประเทศ   ผลประโยชน์ต่างๆจากทุกภาคส่วนก็จะถูกบูรณาการกันตั้งแต่ระบบความคิด  การศึกษา  รวมทั้งการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติของประเทศ  ตลอดจนการนำไปปฏิบัติงานอย่างบูรณาการเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แห่งชาติอย่างมีความมั่นคงและยั่งยืนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม

การประชุมทางวิชาการระหว่างหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง 6 สถาบัน ครั้งที่ 2
หัวข้อ “รัฐบาลใหม่กับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย”
ประเด็นการนำเสนอ :  การบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทาน
ดร.วิทยา  สุหฤทดำรง
ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน  มหาวิทยาลัยศรีปทุม
นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 2331 สิงหาคม 2554

วันพุธที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2555

ประชุม 6 สถาบันฯ -- 1.มุมมองความเข้าใจในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ

มุมมองความเข้าใจในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ

เรื่องความมั่นคงแห่งชาติโดยทั่วไปจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันประเทศ เรื่องของความปลอดภัยในชีวิตและความเป็นอยู่ของคนในสังคม แต่ในโลกยุคใหม่สังคมก็ถูกคุกคามได้ด้วยภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ทั้งที่ก็ยังมีความปลอดภัยในชีวิตและความเป็นอยู่ ไม่ว่าจะมุมไหนๆก็เป็นความมั่นคงเหมือนกันและถูกทั้งหมด เพียงแต่ว่าเราจะสามารถหาประโยชน์จากมุมมองของความมั่นคงแห่งชาติในความเป็นองค์รวม (Holism) ที่บูรณาการทุกภาคส่วนได้ครบถ้วนสมบูรณ์ได้อย่างไร? ทุกๆหน่วยงานต่างก็มีมุมมองในเรื่องความมั่นคงแห่งชาติตามภาระหน้าที่ของแต่ละคนที่จะต้องบรรลุวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้ ความมั่นคงแห่งชาติเป็นเรื่องของทุกคน ของทุกภาคส่วน และของทุกหน่วยงานในทุกระดับชั้น ความมั่นคงแห่งชาติเป็นเรื่องที่สำคัญมาก เพราะว่าถ้าชาติไม่มีความมั่นคงแล้ว ก็คงจะไม่มีชาติหรือเกิดความสั่นคลอนในความเป็นชาติซึ่งจะมีผลกระทบต่อความมั่นคงของคนในชาติได้

ความมั่นคงแห่งชาติสามารถพิจารณาออกเป็น 2 ส่วน คือ ความมั่นคงและความเป็นชาติ ความมั่นคงเป็นเรื่องของศักยภาพของชาติในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อที่จะอยู่รอดหรือปรับเปลี่ยนเพื่อความอยู่รอดในท่ามกลางสถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นอย่างเป็นพลวัต (Dynamics) รุนแรง (Severe) และไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Unpredictable) ความมั่นคงอาจจะไม่ใช่เรื่องของความแข็งแรงหรือแข็งแกร่งอีกต่อไปแล้ว ยิ่งในอนาคตต่อไปนี้ใครสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ก็ย่อมจะเป็นผู้ที่อยู่รอด (Survival) และคงอยู่ได้ (Existing) ส่วนคำว่าชาตินั้น ปัจจุบันนี้อาจจะไม่ได้มีความหมายถึงกลุ่มคนที่จะต้องเป็นเชื้อชาติเดียวกันแล้ว เพราะว่าความเป็นโลกาภิวัฒน์และเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้เราทุกคนเป็นประชากรของโลกเดียวกัน แต่มนุษย์เราก็ยังมีการแบ่งคนออกเป็นกลุ่มๆ เป็นชาติต่างๆ เป็นประเทศต่างๆ ซึ่งอาจจะเริ่มจากความเป็นเชื้อชาติเดียวกัน แต่ในปัจจุบันหลายประเทศเกิดจากการรวมกลุ่มกันจากหลายเชื้อชาติที่มารวมกันเป็นชาติ เพราะว่ามีจุดมุ่งหมายหรือมีผลประโยชน์ร่วมกัน ถ้าคนในชาติสามารถอยู่ร่วมกันได้ มีชีวิตอยู่ร่วมกันจนเป็นสังคมที่มีระบบการจัดการตัวเองได้ (Self-Organization) สังคมหรือประเทศชาตินั้นก็อยู่รอดได้

ความมั่นคงของชาติในอีกมุมมองหนึ่งที่นอกเหนือจากการป้องกันประเทศ คือ ความมั่นคงของมนุษย์ที่เป็นปัจเจกบุคคลและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกบุคคลที่จะทำให้เกิดเป็นสังคมที่สามารถปรับตัวได้กับสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันที่มีลักษณะที่ซับซ้อน (Complex) และปรับเปลี่ยน (Adaptive) อยู่ตลอดเวลา หรือที่เรียกว่ามีความเป็นพลวัต (Dynamics) ดังนั้นการสร้างและการดำรงไว้ของความมั่นคงแห่งชาติ ก็คือ การสร้างและพัฒนาสังคมที่มารวมตัวกันเป็นชาติให้มีลักษณะเป็นระบบซับซ้อนที่สามารถปรับตัวได้ (Complex Adaptive System : CAS)

ระบบ (System) ในความหมายทั่วไปจะประกอบด้วยองค์ประกอบย่อยต่างๆ (Components) หรือระบบย่อยต่างๆ (Sub-System) ภายในที่ถูกเชื่อมโยงกัน (Connectedness) โดยมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน จะขาดส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นความเป็นระบบนั้นจะหายไป ความเป็นระบบที่สร้างคุณค่าหรือประโยชน์ให้กับมนุษย์เรานั้นจะขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ (Components) และการมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน (Interactions) ระหว่างองค์ประกอบภายในระบบ ถ้าขาดความเชื่อมโยงและขาดการมีปฏิสัมพันธ์กัน ความเป็นระบบก็จะไม่เกิดขึ้น สิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นแค่สิ่งของที่ถูกนำมากองรวมกัน (Collections) ไม่ได้เกิดเป็นประโยชน์ใหม่หรือคุณค่าใหม่ (Values) หรือเป็นแค่กลุ่มคนที่ไม่ได้สร้างประโยชน์อะไร การเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์กันขององค์ประกอบในระบบหรือสังคมที่สร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์ร่วมกัน คือ พื้นฐานของการบูรณาการ (Integration)

ถ้าระบบที่ไม่ซับซ้อนมาก เราก็สามารถที่จะเข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ภายในระบบได้ จึงทำให้เราสามารถควบคุมระบบได้ แต่ส่วนมากแล้วระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมานั้น มนุษย์เราจะเป็นคนกำหนดและออกแบบระบบนั้น มนุษย์จึงมีความเข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งหมดของสิ่งนั้นหรือระบบนั้นๆ มนุษย์เราจึงสามารถควบคุมระบบได้ทั้งหมด แต่ระบบหลายระบบทั้งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาและที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ เราก็อาจจะยังไม่สามารถควบคุมได้ทั้งหมด เพราะเรายังไม่สามารถเข้าใจถึงองค์ประกอบทั้งหมดและความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งหมด ระบบในอดีตนั้นจะดูเรียบง่าย (Simple) เพราะว่าเรามีความเข้าใจในองค์ประกอบและเข้าใจในความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของระบบนั้น

ในหลายๆระบบนั้นเรามีความเข้าใจและได้เห็นพฤติกรรมของความสัมพันธ์ขององค์ประกอบนั้นในลักษณะที่เป็นเส้นตรง (Linear) หรือเป็นเหตุเป็นผลโดยตรง เช่น เราใส่ปัจจัยเข้า (Input) ไปในระบบน้อยก็ควรจะได้ปัจจัยออก (Output) มาน้อย ใส่ปัจจัยเข้าไปในระบบมากก็ควรจะมีปัจจัยออกมามาก มีความแปรผันกันโดยตรงระหว่างปัจจัยเข้าและปัจจัยออก เราสามารถคาดการณ์ (Predict) พฤติกรรมของระบบได้ ซึ่งในความเป็นจริงในปัจจุบันอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป เพียงแต่สิ่งที่เราได้รับรู้หรือเห็นนั้นเป็นไปในลักษณะที่เป็นเชิงเส้น (Linear) เราจึงเรียกว่าเป็นระบบแบบเรียบง่าย (Simple)

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันได้ทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกนึกคิดและความสามารถในการตัดสินใจของคนในสังคมได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน ซึ่งจะมีผลต่อโครงสร้างและพฤติกรรมของสังคมโดยเฉพาะการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในสังคม รวมทั้งความรวดเร็วของข้อมูลข่าวสารในการติดต่อสื่อสารจึงทำให้การตัดสินใจของคนในสังคมเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว สังคมต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จึงเป็นผลต่อเนื่องทำให้สภาวะแวดล้อมของสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างซับซ้อนและรวดเร็วเช่นกัน จากสังคมดั้งเดิมที่เป็นระบบที่ง่ายๆ (Simple) มาเป็นสังคมยุคใหม่ที่เป็นระบบที่ซับซ้อนขึ้น (Complex) ซึ่งหมายถึง เป็นระบบที่ยากต่อการคาดการณ์หรือไม่สามารถคาดการณ์ได้ (Unpredictable) หรือว่ามีลักษณะพฤติกรรมเป็นแบบไม่เป็นเชิงเส้น (Non-linear) ซึ่งหมายถึง เราใส่ปัจจัยเข้า (Input)ไปในระบบน้อย แต่กลับมีปัจจัยออก (Output) มามากกว่า หรือเราใส่ปัจจัยเข้าไปในระบบมากแต่กลับได้ปัจจัยออกมาน้อยกว่า หรือระบบมีพฤติกรรมลักษณะโกลาหลวุ่นวายจนควบคุมไม่ได้ ที่เรียกว่า Chaos

ระบบที่เป็นสังคม

ในระบบที่มีความสามารถในการคิดและตัดสินใจเองได้ ระบบก็จะปรับตัวเอง (Self Organization) เพื่อความอยู่รอด ทำให้ระบบนั้นมีความสามารถในการปรับตัว (Adaptive) ดังนั้นสังคมที่เราอยู่นี้จึงประกอบไปด้วยคนที่มีสติปัญญาและความรู้สึกนึกคิดและสามารถเอาตัวรอดได้หรือมีปัญญา (Intelligence) สังคมในปัจจุบันจึงเป็นระบบซับซ้อนที่สามารถปรับตัวเองได้ (Complex Adaptive System : CAS) ถ้าเราจะจัดการกับสังคมของเราหรือจะสร้างความมั่นคงให้กับชาติซึ่งเป็นสังคมขนาดใหญ่ที่ประกอบด้วยสังคมขนาดเล็กๆมากมายอย่างสลับซับซ้อนและมีความเป็นพลวัตสูง แต่ละสังคมและคนในสังคมก็ต้องปรับตัวเองอย่างอิสระภายใต้กฎของสังคม เราคงจะต้องกลับมาทบทวนวิธีการคิดและวิธีการมองความมั่นคงของชาติในมุมมองใหม่ในสภาวะแวดล้อมปัจจุบันและอนาคต พร้อมทั้งเครื่องมือในการวิเคราะห์ (Analysis)และการสังเคราะห์(Synthesis) ด้วยการมองแบบองค์รวม (Holistic) ไม่ใช่เป็นการมองแบบแยกส่วน (Reductionism) เหมือนในปัจจุบันที่ยังแยกกันคิด แยกกันทำ แล้วจึงการนำมารวมกัน (Collections) แต่ยังไม่ได้เป็นนำมาบูรณาการกัน (Integration) อย่างเป็นองค์รวม

ในระบบทั่วไปจะมีองค์ประกอบภายในที่มีการปฏิสัมพันธ์กัน (Interactions) อย่างมีจุดมุ่งหมายเดียวกัน (Same Purpose) ผลลัพธ์ของระบบนั้นก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบย่อยแต่ละองค์ประกอบและยังรวมถึงปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบย่อยของแต่ละองค์ประกอบด้วย ชาติเป็นสังคมที่ประกอบด้วยสังคมย่อยๆและแต่ละสังคมก็ประกอบไปด้วยปัจเจกบุคคลแต่ละบุคคล สังคมจึงเป็นระบบ (System) ที่แตกต่างจากระบบอื่นๆที่เกิดจากธรรมชาติหรือระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น เพราะว่าองค์ประกอบของสังคมคือ มนุษย์ที่มีความรู้สึกนึกคิดและมีสติปัญญา (Intelligence) ที่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่างๆที่มีผลต่อตัวเอง (Self Interest)ได้ และมีผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล (Interpersonal) ซึ่งจะมีผลต่อสังคมหรือระบบโดยรวมด้วย

องค์รวมของความมั่นคงแห่งชาติ

ดังนั้นเราจึงต้องมองความมั่นคงของชาติอย่างเป็นองค์รวม(Holism)โดยมุ่งเน้นไปที่ความมั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงของสังคมที่มนุษย์คนนั้นอาศัยอยู่และขยายผลไปสู่ความมั่นคงของชาติที่ประกอบไปด้วยสังคมย่อยต่างๆ สิ่งที่เป็นพื้นฐานของปัจเจกบุคคลที่เราต้องพิจารณา ก็คือ การดำรงชีวิตอยู่ของคนในสังคม ให้มีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต มีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตและหน้าที่การงาน คนหรือประชาชนในชาติต้องได้ผลประโยชน์ (Values) ในการดำรงชีวิต และต้องสร้างผลประโยชน์ให้กับส่วนรวมด้วย ภาพที่ 1 -1 แสดงให้เห็นถึงภาพรวมขององค์ประกอบของความมั่นคงแห่งชาติในบริบทของสังคมโลก ยุทธศาสตร์ชาติประกอบไปด้วยองค์ประกอบเหล่านี้ คือ 1) การเมืองภายในประเทศ 2) การเมืองต่างประเทศ 3) เศรษฐกิจ 4) สังคมจิตวิทยา 5) การป้องกันประเทศ 6) วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 7) การพลังงาน 8) ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม 9) เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ (ICT)



จากภาพที่ 1-1 คนในชาติจะต้องมีกระบวนการทางสังคม (Social Process) ซึ่งมีกฎหมายที่ควบคุมและพัฒนาคนในสังคม เราสามารถพิจารณาประเด็นด้านสังคมจิตวิทยาเป็นองค์ประกอบด้านความมั่นคงที่สำคัญเป็นแกนกลางของความมั่นคงแห่งชาติได้ เพราะถ้าคนในชาติอ่อนแอเสียแล้ว ชาติก็อ่อนแอเช่นกัน อาวุธยุทธโธปกรณ์ต่างๆก็ไร้ความหมาย ประเด็นด้านเศรษฐกิจจะมาช่วยให้คนในสังคมได้จัดสรรและสร้างสมดุลทรัพยากรต่างๆในการสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคม เนื่องจากสังคมมนุษย์เป็นระบบซับซ้อนที่สามารถปรับตัวเองได้ สังคมย่อมจะเกิดแรงกดดันในการเปลี่ยนแปลงทั้งจากภายในสังคม ระหว่างสังคม และจากสังคมของชาติอื่นๆในสังคมโลก

สังคมในโลกนี้จริงๆแล้วเป็นระบบเปิด (Open System) เพราะทุกคนอยู่ในระบบโลกเดียวกัน ในเชิงกายภาพเราทุกคนในโลกนั้นเชื่อมโยงกันหมด เพียงแต่เราสร้างเส้นแบ่งกั้นกันในเชิงสังคม (Social Boundary) เท่านั้นเพื่อผลประโยชน์ในการใช้ทรัพยากรในการดำรงชีวิตและความสุขสะดวกสบายของคนในแต่ละสังคม ดังนั้นคนในสังคมจะต้องมีข้อตกลงกันในสังคมและในชาติเพื่อให้เกิดการจัดการสังคมให้เกิดความสมดุล ประเด็นเรื่องการเมืองในประเทศจึงเข้ามามีบทบาทในการจัดการสังคมให้มีประสิทธิภาพและให้มีความสมดุล รวมทั้งประเด็นเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่เชื่อมโยงสังคมในชาติกับสังคมชาติอื่นๆทั่วโลกเพื่อแลกเปลี่ยนและแบ่งสรรผลประโยชน์ร่วมกัน เรื่องของการเมืองนั้นจึงเป็นการสร้างข้อตกลงระหว่างกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ไม่ใช่ประโยชน์ส่วนตัวหรือพวกพ้อง ทั้งนี้ก็เพื่อลดแรงกดดันและสร้างสมดุลให้เกิดขึ้นทั้งภายในชาติและระหว่างชาติอื่นๆด้วย ในการสร้างประโยชน์ให้กับสังคมในชาติ

กระบวนการทางสังคมจะทำให้คนในชาติเกิดการพัฒนา เมื่อคนในชาติเกิดการพัฒนาแล้ว สังคมก็จะพัฒนาตามไปด้วย อย่างไรก็ตามคนแต่ละคนมีระดับของศีลธรรมและจริยธรรมที่แตกต่างกันไป ปัญหาสังคมจึงเกิดขึ้นจนเป็นข้อจำกัดในการพัฒนาและยกระดับของสังคม ดังนั้นการทำงานร่วมกัน (Collaborations) หรือที่เราสามารถเรียกว่าเป็นการสมานฉันท์จึงเป็นประเด็นที่จะต้องได้รับการส่งเสริมให้เกิดขึ้นกับคนในสังคมและในชาติ เพื่อให้เกิดผลประโยชน์ร่วมกันทั้งหมด โดยไม่ใช่ของคนใดคนหนึ่ง การสมานฉันท์จึงไม่ใช่การที่จะยอมรับข้อตกลงใดๆ เพื่อความสงบเรียบร้อยหรือการยอมกันเพื่อให้สงบ แต่เป็นข้อตกลงเพื่อผลประโยชน์โดยส่วนรวมในปัจจุบันและในอนาคต ซึ่งต้องมาก่อนประโยชน์ส่วนตนและกลุ่มหรือพวกพ้อง

นอกจากนั้นประเด็นของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ประเด็นของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ประเด็นของสิ่งแวดล้อม ประเด็นของพลังงาน ก็เป็นองค์ประกอบที่สนับสนุนกระบวนการทางสังคมและกระบวนการดำรงชีวิตของปัจเจกบุคคลให้คงอยู่ในท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อม
ประเด็นสุดท้าย คือ ประเด็นของการป้องกันประเทศซึ่งเป็นประเด็นที่เริ่มจากการใช้กำลังเข้าควบคุมสังคมด้วยการใช้การทำลายล้างฝ่ายตรงข้ามหรือคุกคามฝ่ายตรงข้าม เพื่อไม่ให้มีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต กระบวนการในการป้องกันประเทศจะถูกใช้เมื่อประเด็นทางด้านความมั่นคงอื่นๆล้มเหลวลง เช่น ไม่สามารถเจรจากันระหว่างประเทศได้ การขาดแคลนทรัพยากรจนกลายเป็นการแย่งชิงพื้นที่และทรัพยากรต่างๆ ความเข้าใจกันระหว่างคนในสังคมระหว่างชาติหรือภายในชาติ เพื่อปกป้องและรักษาความมั่นคงพื้นฐานให้กับชาติก่อนการดำเนินการในด้านอื่นๆเพื่อให้สังคมหรือชาติกลับคืนสู่ความมั่นคง
ในอดีตนั้นการป้องกันประเทศจะเน้นไปที่การป้องกันภัยคุมคามทางกายภาพ การคุกคามด้วยอาวุธสงครามและการทำลายล้าง แต่ปัจจุบันรูปแบบของภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติเปลี่ยนแปลงไปในหลายมิตินอกเหนือจากการทำสงครามทำลายล้างแล้ว ความมั่นคงของชาติยังถูกคุกคามในด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติและเรื่องของพลังงาน

ดังนั้นความมั่นคงของชาตินั้นจึงไม่ใช่เรื่องของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่ง แต่เป็นหน้าที่ของทุกหน่วยงานที่เป็นองค์ประกอบของสังคมในชาติ ความมั่นคงของชาติเป็นหน้าที่ของทุกคนในชาติ ทุกองค์ประกอบที่เป็นองค์ประกอบของชาติย่อมมีผลต่อความมั่นคงของชาติ เพียงแต่ว่าภัยคุกคามจะมาในรูปแบบไหน ในบริบทไหนบ้าง และเราได้รับรู้ถึงความเป็นองค์รวม (Holism) ของความเป็นชาติอย่างไรบ้าง เราเข้าใจความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของความเป็นชาติอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะทำให้ชาติของเรานั้นสามารถมีความเป็นพลวัต (Dynamics) ในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมที่มีความซับซ้อนและเป็นพลวัต (Complex and Dynamics Environment) เพื่อให้เกิดความมั่นคงของมนุษย์และความมั่นคงของสังคมต่างๆจนกลายเป็นความมั่นคงของชาติในที่สุด


การประชุมทางวิชาการระหว่างหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง 6 สถาบัน ครั้งที่ 2
หัวข้อ “รัฐบาลใหม่กับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย”
ประเด็นการนำเสนอ : การบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทาน
ดร.วิทยา สุหฤทดำรง
ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน มหาวิทยาลัยศรีปทุม
นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 23