แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ลอจิสติกส์ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ลอจิสติกส์ แสดงบทความทั้งหมด

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โซ่อุปทานหนังสือคืออะไร การจัดการโซ่อุปทานหนังสือจะเริ่มอย่างไร


ดร.วิทยา สุหฤทดำรง
วิทยาลัยนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง 
และ อี ไอ สแควร์ สำนักพิมพ์

หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า Demand และ Supply และเข้าใจกันอยู่บ้างแล้วว่าหมายถึงอุปสงค์และอุปทาน ตามลำดับ  และแม้ว่าหลายคนก็ได้ยินคำว่า Supply Chain หรือ โซ่อุปทาน มากขึ้นๆ  ผมยังเชื่อว่าคงมีคำถามอยู่ว่าคืออะไรกัน...

โซ่อุปทาน (Supply Chain) คือ เครือข่ายของหุ้นส่วนธุรกิจ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงผู้บริโภค และรวมการผลิต การจัดจำหน่าย การขนส่ง การค้าส่ง การค้าปลีก และผู้จัดส่งวัตถุดิบรายอื่นๆ ที่มีส่วนในการผลิต จัดส่ง และขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ  (คำนิยามจาก Council of Supply Chain Management Professional: CSCMP)  เครือข่ายเหล่านี้สร้างคุณค่า (Value หรือประโยชน์ หรือผลิตภัณฑ์/บริการก็ได้) โดยกระบวนการสร้างคุณค่าซึ่งมี 2 ขั้นตอน คือ การวางแผนและการดำเนินการ  ซึ่งกิจกรรมในการดำเนินการนี้ก็จำแนกได้ 2 ประเภท คือ กิจกรรมการผลิต (Make) กิจกรรมลอจิสติกส์ (Move)    สมาชิกในโซ่อุปทานจะเป็นผู้สร้างคุณค่าเหล่านี้และเคลื่อนย้ายมารวมกันจนเป็นคุณค่าสุดท้ายที่ลูกค้าต้องการ    กิจกรรมลอจิสติกส์ (Logistics) เป็นกิจกรรมภายในโซ่อุปทานที่เกิดจากการวางแผน ดำเนินการ และควบคุมเพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพยากร (ซึ่งหมายถึงทั้งจัดหา จัดเก็บ จัดส่ง การบริการต่างๆ และสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง) ที่จำเป็นสำหรับการนำส่งคุณค่า ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดที่มีการใช้หรือบริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ    ลอจิสติกส์จึงไม่ได้ถูกตีกรอบว่าอยู่ในบริบทของการขนส่ง การจัดเก็บและการกระจายสินค้าอย่างเช่นที่มักเข้าใจกันเท่านั้น แต่อยู่ในบริบทของกระบวนการธุรกิจตั้งแต่ต้นทางของทรัพยากร ไปจนถึงปลายทางที่มีการบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์ และมองแบบนามธรรมว่าเป็นการไหลของคุณค่า แทนการไหลของสินค้าหรือวัตถุดิบ

โซ่อุปทานหนังสือ (Book Supply Chain) จึงหมายถึง เครือข่ายของบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่ดำเนินกระบวนการต่างๆ ร่วมและต่อเนื่องกันเพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาและผลิตออกมาเป็นหนังสือ  โดยหลักๆ แล้วประกอบไปด้วย นักเขียน/นักแปล สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย และร้านหนังสือ   อย่างไรก็ตาม ยังคงมีโซ่อุปทานของคุณค่าอื่นๆ ประกอบกันเป็นโครงข่ายโยงใยนอกเหนือจากนี้อีก เช่น มีโซ่อุปทานกระดาษซึ่งประกอบด้วย ชาวไร่ปลูกต้นไม้ และโรงงานกระดาษ เป็นต้น

สมาชิกในโซ่อุปทานเหล่านี้จะสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น นักเขียนผลิตงานเขียนออกมา สำนักพิมพ์ก็ตรวจแก้และจัดทำเป็นต้นฉบับที่พร้อมเข้าสู่โรงพิมพ์ โรงพิมพ์พิมพ์หนังสือออกมาเป็นรูปเล่ม ผู้จัดจำหน่ายกระจายหนังสือไปให้ถึงร้านหนังสือที่เป็นจุดค้าปลีกที่เหมาะสม  คุณค่าเหล่านี้เป็นทั้งคุณค่าเชิงผลิตภัณฑ์ (คือทำให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์มากขึ้นๆ)  และคุณค่าเชิงลอจิสติกส์ (คือเก็บรักษาคงสภาพผลิตภัณฑ์หรือเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์ให้ใกล้ลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ) รวมเป็นผลิตภัณฑ์สมบูรณ์ตามที่ลูกค้าต้องการ ในสถานที่และเวลาที่ลูกค้าต้องการ

โซ่อุปทานเกิดขึ้นเพราะความต้องการของลูกค้ามีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น จนเราไม่สามารถสร้างคุณค่าที่ซับซ้อนหรือมีองค์ประกอบมากมายได้ด้วยองค์กรเดียว นอกจากนี้ เราอาจไม่มีความสามารถ (ความเก่ง) ในการทำทุกกระบวนการได้ดีด้วยองค์กรเดียว จึงต้องแบ่งคุณค่าต่างๆ ออกไปให้ผู้สร้างคุณค่าอื่นๆ ร่วมกันสร้างคุณค่า แล้วจึงเคลื่อนย้าย (ลอจิสติกส์) มาบูรณาการกันเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย

ภาพอย่างง่ายของโซ่อุปทานและโซ่คุณค่าหนังสือ

แม้แต่ในองค์กรเดียวกัน ยังต้องแบ่งเป็นฝ่ายเป็นแผนกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดส่ง ฝ่ายการตลาด/ขาย ฯลฯ ฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นโซ่อุปทานภายในองค์กรที่ทำหน้าที่สร้างคุณค่าเพิ่มหรือสนับสนุนการสร้างคุณค่า แล้วจึงเคลื่อนย้าย (ลอจิสติกส์) มาบูรณาการกันเป็นผลิตภัณฑ์ขององค์กร

กิจกรรมในการดำเนินการที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่า (กิจกรรมที่ไม่ใช่การผลิต หรือ Make) ล้วนเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์ หรือ Move ทั้งสิ้น    ลอจิสติกส์เป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงการจัดการการไหลของคุณค่าไปสู่ลูกค้า ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่การจัดซื้อ การจัดการผลิต การจัดเก็บ การขนส่งและการกระจายสินค้า การค้าปลีก และการบริการลูกค้า ฯลฯ รวมทั้ง เป็นได้ทั้งลอจิสติกส์ภายในองค์กรและลอจิสติกส์ระหว่างองค์กร

ประเด็นสำคัญคือ กิจกรรมลอจิสติกส์ต่างๆ ต้องมีเป้าหมายเพื่อนำส่งคุณค่าให้ถึงมือลูกค้าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์คนสุดท้ายเท่านั้น    การขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง ดังเช่นที่ผู้จัดจำหน่ายใช้บริการของผู้ให้บริการ (ไม่ว่าชื่อบริษัทจะลงท้ายว่า "ลอจิสติกส์" หรือไม่ก็ตาม) ที่รับขนส่งไปยังร้านหนังสือในต่างจังหวัด ถึงจุดหมายแล้วจบหน้าที่ โดยที่ไม่ได้คำนึงว่าสิ่งที่ส่งนั้นคืออะไร ลูกค้าคนสุดท้ายคือใคร  สภาพหนังสือที่ได้รับจะอยู่ในสภาพที่ดีที่เขาพึงพอใจหรือไม่  ทันเวลาตามที่เขาต้องการหรือไม่นั้น จึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์อย่างแท้จริง   การจัดการลอจิสติกส์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้จากการจัดการโซ่อุปทานที่ดีเท่านั้น

การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) คือ การบูรณาการของกระบวนการธุรกิจหลักๆ ตั้งแต่ผู้ใช้ปลายทางไปจนถึงผู้จัดหาวัตถุดิบตั้งต้นที่จัดหาผลิตภัณฑ์ บริการ และข้อมูลที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ลูกค้าและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียรายอื่นๆ (Lambert และคณะ, 1998)  คือ กระบวนการและเครื่องมือในการปฏิสัมพันธ์และร่วมมือกัน ที่ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ภายในโซ่อุปทานผ่านการสื่อสารส่วนตัวและการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองและข้อมูลที่สำคัญต่อพันธกิจ ทั้งข้อมูลสารสนเทศของการขาย การพยากรณ์ การวางแผน การจัดซื้อ และการเติมเต็ม โดยมีวัตถุประสงค์สูงสุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน และเพิ่มกำไร โดยการทำให้มั่นใจว่ามีการนำส่งผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง ไปยังสถานที่ที่ถูกต้อง ในเวลาที่ถูกต้อง   โดยหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกัน ทำให้ไม่มีการแข่งขันระหว่างบริษัทอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นการแข่งขันระหว่างโซ่อุปทาน (Tompkins Associates, 2000)

ดังนั้น เมื่อกลุ่มผู้สร้างคุณค่าในโซ่อุปทาน "ทำงานร่วมกัน วางแผนงานร่วมกัน" เพื่อให้เกิดเป็นแผนการดำเนินงานในโซ่อุปทาน ทั้งในด้านแผนการผลิต (สร้างคุณค่า) และทั้งแผนลอจิสติกส์ (เคลื่อนย้ายคุณค่า) ซึ่งสมาชิกในโซ่อุปทานภายในองค์กรแต่ละคนที่มีหน้าที่ต่างๆ ตามข้อตกลงที่มีร่วมกันที่จะนำแผนโซ่อุปทานมาเป็นแผนหลักในการจัดการ แผนการจัดหา แผนการผลิต แผนการจัดเก็บ แผนการจัดส่ง แผนการขาย  เมื่อทุกคนในโซ่อุปทานขององค์กรมีแผนเดียวกัน การดำเนินงานภายในองค์กรก็น่าจะสอดคล้องกัน

ในทำนองเดียวกัน ถ้าในโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ (หรือโซ่อุปทานระหว่างองค์กร) มีแผนโซ่อุปทานเดียวที่ได้รับการกำหนดและตกลงร่วมกัน ก็ย่อมสามารถทำให้สมาชิกของโซ่อุปทาน (ซึ่งก็คือบริษัทแต่ละบริษัท) สามารถวางแผนและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันทุกบริษัทในโซ่อุปทาน   ลักษณะของโซ่อุปทานแบบนี้ หมายถึง สถานะภาพของความเป็นองค์กรเสมือน (Virtual Organization) หรือทำงานร่วมกันเสมือนเป็นองค์กรเดียวกัน ที่สามารถสร้างคุณค่าในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และบริการออกมาตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า  ความเป็นองค์กรเสมือนนี้ประกอบไปด้วยองค์กรย่อยๆ หรือหน่วยงานย่อยๆ ที่เชื่อมต่อกันอย่างหลวมๆ เพื่อความยืดหยุ่น (Flexible) และการปรับตัว (Adapt) ด้วยเป้าหมายร่วมกันในการสร้างคุณค่าเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

ในอุตสาหกรรมหนังสือไทยก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าหลายองค์กรมีการบูรณาการข้ามหน่วยงานเพื่อสร้างโซ่อุปทานของตนให้ครอบคลุมขึ้น (บางแห่งเมื่อรวมบริษัทในเครือแล้ว มีตั้งแต่โรงพิมพ์ สำนักพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย จนไปถึงร้านหนังสือ)  ตามหลักแล้วก็เพื่อใช้ประโยชน์ของการเป็นองค์กรเดียวกันในการทำงานร่วมกันมากขึ้น วางแผนและแบ่งปันข้อมูลกันได้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดการโซ่อุปทานในองค์กรให้ดีขึ้นนั่นเอง

ประเด็นของการทำงานร่วมกัน (Collaboration) หมายถึง การวางแผนและตัดสินร่วมกันของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เพียงแค่ร่วมมือกัน (Cooperation) แต่จะต้องร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดและรับชอบในผลงานของทั้งเครือข่าย  ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่มีผลต่อสมรรถนะ (ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับเปลี่ยน) ของเครือข่ายโซ่อุปทาน มองเครือข่ายโซ่อุปทานเดียวกัน  ไม่ใช่มองกันแบบแยกส่วน (Silo) ทำเพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงานหรือองค์กรตนเองเป็นหลัก สิ่งที่สำคัญคือจะต้องเห็นผลประโยชน์ของเครือข่ายโซ่อุปทานเป็นหลักแทน  เพราะว่าถ้าเครือข่ายโซ่อุปทานไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้แล้ว สมาชิกทั้งเครือข่ายก็จะมีปัญหาตามมาอีก  ถ้าคุณค่าที่อยู่ในรูปของสินค้าและบริการสามารถขายได้ ทั้งเครือข่ายก็อยู่รอด แต่ถ้าขายไม่ได้ ทั้งเครือข่ายก็ไม่อยู่รอด

การทำงานร่วมกันจะกำหนดข้อตกลงและรูปแบบการดำเนินการที่สมาชิกในโซ่อุปทานทำและสื่อสารระหว่างกัน จะมีข้อมูลสารสนเทศอะไรบ้างที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ ในเวลารวดเร็วเพียงใด ถ้าประเด็นการสื่อสารนี้มีปัญหาหรือไม่ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรในการสร้างคุณค่าที่มีผลต่อการดำเนินงานแล้ว โซ่อุปทานจะมีปัญหาในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้  ข้อมูลเหล่านี้จะมีผลต่อการดำเนินงาน (Execution) ของกระบวนการในโซ่อุปทาน  แม้จะมีการตัดสินใจที่ดีแต่หากอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า ก็จะส่งผลให้การไหลของคุณค่าไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า  ทำให้เกิดภาวะที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่เพียงพอ หรือมีมากเกินไป  นอกจากนี้ ข้อมูลสมรรถนะ (ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับเปลี่ยน) ที่อยู่ในรูปของดัชนีชี้วัด (KPI) ต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายใช้ จะประเมินว่ากิจกรรมต่างๆ เชิงลอจิสติกส์ที่ส่งผลของการไหลของคุณค่า หรือการนำส่งผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นสามารถดำเนินการตามที่คาดหวังหรือตกลงร่วมกันได้หรือไม่  กล่าวคือ ดี คือ นำส่งและคงรักษาผลิตภัณฑ์ได้ในสภาพที่ดี (ทั้งส่งผลิตภัณฑ์ขาไปและขากลับเป็นสินค้าคืน) ไม่ผิดพลาดจากการนำส่ง;  เร็ว คือ นำส่งได้ทันเวลาตามที่ต้องการ; ถูก คือ นำส่งด้วยต้นทุนการดำเนินการที่สมเหตุผล

ลองหันกลับมามองโซ่อุปทานหนังสือไทย โดยเฉพาะในส่วนของการกระจายหนังสือผ่านผู้จัดจำหน่าย ผ่านร้านหนังสือ ไปยังลูกค้าที่เป็นผู้อ่าน  นอกจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างคู่ค้าที่ชัดเจนคือส่วนลดการค้าและวิธีการเก็บเงินแล้ว พวกเราได้ทำงานร่วมกัน วางแผนงานร่วมกัน มีข้อตกลงในรูปแบบการทำงาน ข้อมูลสารสนเทศที่ต้องสื่อสารระหว่างกันอย่างไรบ้าง  พวกเราใช้หลักการ ข้อมูล และเครื่องมือใดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัดสินใจ  พวกเราประเมินสมรรถนะการทำงานจากดัชนีชี้วัดใดบ้างที่นอกเหนือจากยอดขายและตัวเลขกำไรแล้ว  แล้วเรานำผลดัชนีชี้วัดนั้นมาสร้างมาตรการในการแก้ไขปรับปรุงทั้งภายในและระหว่างองค์กรอย่างไร   การจัดการโซ่อุปทานหนังสือที่ดีจึงควรเริ่มที่จุดนี้...

ประชุม 6 สถาบันฯ -- 5.สร้างยุทธศาสตร์ชาติด้วยการคิดอย่างโซ่อุปทานและลอจิสติกส์


สร้างยุทธศาสตร์ชาติด้วยการคิดอย่างโซ่อุปทานและลอจิสติกส์

จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดในบริบทของสังคมโลกจึงทำให้มีความเป็นพลวัตหรือมีความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและสังคมอยู่ตลอดเวลา แนวคิดของการจัดการโซ่อุปทานและลอจิสติกส์ก็ได้รับการตอบรับมากขึ้นเป็นลำดับ และได้รับความสนใจในระดับนโยบายระดับชาติ แต่ละหน่วยงานในระดับกระทรวงหรือ กรมต่างๆ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ศึกษาและหาข้อมูลต่างๆ  เพื่อที่จะกำหนดแนวทางและนโยบายด้านลอจิสติกส์และโซ่อุปทานในระดับชาติเพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ในระดับชาติ

คุณค่าของความเป็นชาติ
             
เมื่อพูดถึงความเป็นชาติแล้ว ทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์ไทยในมุมต่างๆ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เรื่อยมา แต่คุณค่า (Value) ของชาตินั้น สามารถที่จะมองได้ในเชิงเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของคนในชาติที่อยู่รวมกันโดยมีเป้าหมายร่วมกันและมีสัญลักษณ์ของความเป็นพวกเดียวกัน ชนในชาตินั้นก็จะถูกผลักดันด้วยวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้เกิดการสร้างและพัฒนาความเจริญของชาติ ดังนั้นคุณค่าของชาติถ้าวัดในเชิงขนาดของเศรษฐกิจก็สามารถวัดได้ที่ GDP และความสามารถในการแข่งขันในด้านต่างๆ ของแต่ละประเทศ

แนวคิดลอจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างชาติ และมีอิทธิพลโดยตรงต่อโซ่คุณค่า (Value Chain) ของประเทศนั้น แต่ละประเทศก็มีคุณค่า (Value) แตกต่างกันออกไป   ประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากก็จะสร้างผลิตผลทางการเกษตรออกมา บางประเทศที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติมากก็จะมีแหล่งอุตสาหกรรมในการแปรรูปวัตถุดิบเพื่อการส่งออกและใช้ในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ บางประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากก็จะใช้พื้นที่และแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติเพื่อบริการแก่นักท่องเที่ยวเป็นหลัก บางประเทศก็อาจจะมีคุณค่าต่างๆ มากกว่าหนึ่งคุณค่าตามความหลากหลายในความสามารถของคนภายในประเทศ ในแต่ละคุณค่าก็จะมี  Value Chain  หรือ โซ่คุณค่าของแต่ละชนิดแตกต่างกันไป
สำหรับประเทศไทยนั้นได้มีการทำวิจัยและกำหนดคุณค่าหรือกลุ่มสินค้าที่สามารถพัฒนาให้มีความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรม ICT  อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและแฟชั่น   เป็นที่แน่นอนว่าการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเพื่อที่จะผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์สินค้าไปสู่ลูกค้ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากิจกรรมการผลิตเลย ในมุมมองของประเทศหรือชาติ ลูกค้าของอุตสาหกรรมจะมีทั้งภายในประเทศและต่างประเทศหรือตลาดโลก   ดังนั้นโจทย์ของยุทธศาสตร์ชาติในด้านลอจิสติกส์และโซ่อุปทานควรจะสนับสนุนการสร้างคุณค่าและการส่งมอบคุณค่าเหล่านี้ต่อลูกค้า (Value Creation and Value Delivery)  

บทบาทของภาครัฐ

โดยปกติภาครัฐไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต่อโซ่คุณค่าและโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์   แต่ถ้ามองให้ดีแล้วภาครัฐจะเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากและยังเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต่อโซ่คุณค่านั้นๆ ซึ่งจะเป็นเหมือนจุดมุ่งหมายของภาครัฐในการสร้างความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศ ภาครัฐนั้นจะอยู่ในฐานะผู้สนับสนุนในการสร้างคุณค่านั้นๆ ออกมา  ให้ลองพิจารณาประเทศหนึ่งๆซึ่งเป็นบริษัทที่มีประชาชนทุกคนเป็นผู้ถือหุ้น โดยที่ประชาชนแต่ละคนก็ต้องเสียภาษีเงินได้ทุกปีเปรียบเสมือนค่าหุ้น เหมือนดังที่นักการเมืองทุกคนจะพูดว่าประชาชนทุกคนคือ เจ้าของประเทศ

บทบาทของภาครัฐในโซ่คุณค่าแต่ละโซ่นั้นก็มีหลายบทบาท จึงจะเห็นได้ว่าหน่วยงานของรัฐนั้นแบ่งออกเป็นหลายกระทรวงแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ นั่นเป็นแนวคิดในอดีตซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานและตัดสินใจในการดำเนินการ ปัจจุบันการทำงานของกระทรวงต่างๆ ที่แบ่งเป็นหน้าที่ต่างๆ จะต้องบูรณาการเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การสร้างคุณค่าในแต่ละโซ่คุณค่าที่เป็นยุทธศาสตร์ของชาติ  ดังนั้นบทบาทหนึ่งของภาครัฐ คือ การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การสร้างคุณค่าในแต่ละโซ่คุณค่าต่างๆ ของธุรกิจและหน่วยงานที่อยู่ในประเทศและประสานงานกับหน่วยงานต่างประเทศเพื่อให้เกิดประโยนช์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ  ในแบบจำลองโซ่อุปทานและโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ ในประเทศสามารถแสดงได้ดังในรูปที่ 1 โซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ใดๆ สามารถที่จะแสดงอยู่ในลักษณะเป็นความเชื่อมโยง (Linkage) หรือโซ่ (Chain) หรือเครือข่าย (Network) ของความร่วมมือกันของผู้จัดส่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต และผู้กระจายสินค้า จนสุดท้ายเป็นผลิตภัณฑ์หรือคุณค่าที่ได้ถูกส่งมอบไปถึงมือลูกค้า

กิจกรรมแรกเริ่มที่มีบทบาทในการค้าและอุตสาหกรรมของโลกก็คือ การขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ธุรกิจการขนส่ง ถือว่าเป็นธุรกิจลอจิสติกส์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกธุรกิจหนึ่ง ซึ่งต่อมาธุรกิจลอจิสติกส์ได้ขยายขอบเขตครอบคลุมมาถึงการจัดเก็บและคลังสินค้า (Warehouse) จนทุกคนเข้าใจว่า ลอจิสติกส์นั้น คือ การขนส่งและการจัดเก็บในคลังสินค้า   แต่ที่จริงแล้วแนวคิดลอจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้นมีขอบข่ายมากกว่าการขนส่งหรือการรับจัดเก็บสินค้า  จึงจะพิจารณาได้ว่าเป็นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมลอจิสติกส์ โดยที่ผู้ผลิตหรือผู้รับสินค้าไม่ได้เป็นผู้ดำเนินงานในการขนส่งหรือเคลื่อนย้าย แต่ว่าจ้างให้ผู้อื่นดำเนินการแทน ที่เห็นได้ชัดก็คือ รถขนส่งสินค้าต่าง ๆ สายเดินเรือ สายการบิน แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่ากิจกรรมการขนส่งหรือการเคลื่อนย้ายสินค้าเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์ที่อยู่นอกพื้นที่ปฏิบัติงานในบริษัทหรือโรงงาน รถขนส่งต่างๆ จะต้องเคลื่อนที่ไปบนถนนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบธุรกิจ แต่ก็คงจะไม่มีบริษัทเอกชนบริษัทไหนลงทุนสร้างถนนเอง   ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นที่จะต้องมาเป็นคนกลางสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ในการขนส่ง  จากจุดนี้จะเห็นได้ว่ากระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบในงานพัฒนาตรงนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าแผนงานลอจิสติกส์แห่งชาติที่ริเริ่มโดยกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานวางแผนทางด้านการขนส่งอื่น ๆ จึงออกมาในรูปแบบของแผนงานพัฒนาการขนส่งเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าลอจิสติกส์ไม่ได้หมายถึงการขนส่งจากโรงงานหนึ่งไปยังคลังสินค้าอีกโรงงานหนึ่งเท่านั้น แต่ลอจิสติกส์จะครอบคลุมการขนส่งและการเคลื่อนย้ายทั้งภายในและภายนอกองค์กรธุรกิจทั่วทั้งโซ่อุปทาน

หากเราเข้าใจลอจิสติกส์ดี  เราก็จะทราบว่า ที่ไหนมีลอจิสติกส์ก็ย่อมมีโซ่อุปทานตามมา แล้วโซ่อุปทานตรงการขนส่งระหว่างองค์กรมีอยู่ตรงไหนบ้าง  โซ่อุปทานสำหรับลอจิสติกส์ในช่วงการขนส่งระหว่างองค์กรก็คือ ข้อตกลงในซื้อขาย การโอนถ่ายความเป็นเจ้าของในตัวสินค้า และการส่งมอบคุณค่าในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และการบริการ  จึงเห็นได้ชัดว่า เมื่อมีสังคมเกิดขึ้นก็จะต้องมีคนกลางซึ่งก็คือภาครัฐ  ในกรณีนี้กระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลเรื่องการค้าขายระหว่างองค์กรจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการออกระเบียบวิธีการเพื่อให้เกิดความเป็นมาตรฐานในการตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน เพื่อให้เกิดการขนส่งสินค้ากัน   ยิ่งในปัจจุบันการใช้อินเตอร์เน็ตมาช่วยให้การทำรายการทางธุรกิจ (Transactions)  มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ในรูปแบบของ E-commerce  ดังนั้นบทบาทในการจัดการโซ่อุปทานระหว่างองค์กรที่มีผลกระทบโดยตรงกับปริมาณการขนส่งบนโครงสร้างพื้นฐานของการขนส่งต่าง ๆ ก็น่าจะเป็นของกระทรวงพาณิชย์

บทบาทเหล่านี้ทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์มีผลกระทบต่อโซ่อุปทานโดยรวมของสินค้าทุกชนิด แต่มีข้อสังเกตง่ายๆ คือ กิจกรรมลอจิสติกส์ที่อยู่ภายนอกทรัพย์สินของบริษัทหรือองค์กรและเป็นทรัพย์สินสาธารณะที่จะต้องใช้หรือปฏิบัติร่วมกัน ภาครัฐจะต้องเข้าไปมีบทบาท   แล้วมุมมองของลอจิสติกส์และโซ่อุปทานที่เสนอจะแตกต่างจากอดีตอย่างไร   ในอดีตแนวคิดของการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานอาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่กิจกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นมีอยู่มานานแล้ว ดังนั้นปัจจุบันและอนาคตเราจะต้องบูรณาการความคิด ข้อมูล วิสัยทัศน์ และนโยบายเชิงลอจิสติกส์เข้าด้วยกันเพื่อให้การใช้ทรัพยากรในเชิงลอจิสติกส์และการจัดการโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

อุตสาหกรรมลอจิสติกส์

กิจกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานที่อยู่นอกกรอบของพื้นที่และหน้าที่การทำงานในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เช่น การจัดเก็บและการขนส่ง ส่วนมากหลายบริษัทพยายามที่จะจัดจ้างจากหน่วยงานภายนอก (Outsourcing) โดยเฉพาะการขนส่ง ในบางบริษัทที่ต้นทุนในการดำเนินงานจัดส่งต่ำและมีการจัดการที่ดีก็อาจจะเป็นเจ้าของและจัดการยานพาหนะเอง แต่ในปัจจุบันธุรกิจลอจิสติกส์โดยเฉพาะในการขนส่งและการจัดการคลังสินค้าสามารถเสนอการบริการครบวงจรในการจัดการลอจิสติกส์ทั้งขาออกและขาเข้าให้กับลูกค้าโดยที่ลูกค้าไม่ต้องมากังวลในการบริหารจัดการลอจิสติกส์ทั้งในช่วงขาเข้าและขาออกทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ


จากรูปจะเห็นได้ว่านอกจากรัฐบาลในฐานะผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมขนส่งและการค้าพาณิชย์แล้ว  ภาคเอกชนเองสามารถเข้ามาเป็นตัวกลางในการขนส่งสินค้าและบริการข้อมูลต่างๆ ในฐานะผู้ให้บริการลอจิสติกส์ (Logistic Provider) และผู้ให้บริการ IT ( IT Provider)  ทำให้แนวโน้มของอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และ IT ได้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สนับสนุนธุรกิจซึ่งกันและกันอยู่เรื่อยมา
สำหรับอุตสาหกรรมลอจิสติกส์นั้นในอดีตก็คือธุรกิจการขนส่งและการรับฝากสินค้า จะเห็นได้จากธุรกิจการเดินเรือ การขนส่งทางบกและทางอากาศรวมทั้งคลังสินค้าต่างๆ  สังเกตได้ว่ากิจกรรมส่วนใหญ่จะอยู่นอกเหนือขอบเขตอาณาบริเวณของโรงงานผลิตหรือธุรกิจ แต่ในปัจจุบันการให้บริการจัดการกิจกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานได้ขยายขอบข่ายเข้าไปในโรงงานอุตสาหกรรมหรือที่หน่วยผลิตแล้ว ด้วยแนวคิดของการจัดจ้างจากภายนอก (Outsourcing) แต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าไปรับจ้างผลิตชิ้นส่วน

เป้าหมายของอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้นมีขอบข่ายแค่กิจกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเท่านั้น ไม่ได้รวมกิจกรรมการผลิต ดังนั้นในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานจึงประกอบด้วยวิธีการ แนวคิด แนวทางแก้ไขปัญหา เครื่องมือในการขนส่งขนถ่ายวัสดุ (Material Handling) และที่สำคัญมากก็คือ ระบบ IT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศนั่นเองที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงาน
             
เมื่อมองมาถึงจุดนี้แล้วจะเห็นได้ว่าภาครัฐเองก็มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ และ IT ให้มีส่วนในการสร้างคุณค่าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การเคลื่อนย้ายหรือขนส่งสินค้า แต่จะต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนหลายหน่วยงานที่มีกฎระเบียบของราชการเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พิธีการศุลกากรการแจ้งหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องซึ่งใช้เวลานาน  แต่ถ้าภาครัฐสามารถลดขั้นตอนลดเวลาและทำให้กระบวนการมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้   กระบวนการของลอจิสติกส์ในขั้นตอนนี้ก็จะเป็นตัวช่วยให้การเชื่อมโยงนั้นดีขึ้น

ส่วนโครงสร้างของเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ที่เห็นกันอย่างชัดเจนก็คือ กระทรวง ICT ที่จะต้องวางโครงสร้างพื้นฐานของ ICT ทั้งทางด้านนโยบาย การสนับสนุนส่งเสริมและการสร้างมาตรฐานในการติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างองค์กรธุรกิจทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ เพราะธุรกิจในปัจจุบันจะต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการรับส่งข้อมูล ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานในการรับส่งสินค้าและวัตถุดิบ คือ ถนน และการคมนาคมขนส่ง และที่สำคัญคือ การไหลของข้อมูลในระบบ IT นั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงต่อลอจิสติกส์การไหลของวัตถุดิบและสินค้า  คุณภาพของข้อมูลเชิงลอจิสติกส์ย่อมมีผลต่อลอจิสติกส์การไหลของวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อข้อมูลข่าวสารของธุรกิจ ก็น่าจะเป็นกระทรวง ICT ดังนั้นเราสามารถที่จะเห็นถึงความสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของ ICT และการคมนาคมขนส่ง ภาครัฐจะต้องพยายามสร้างสมดุลให้เป็นภาพใหญ่ของระบบเศรษฐกิจที่มีระบบลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นพื้นฐานในการเชื่อมโยงธุรกิจอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน

สร้างมุมมองใหม่ด้วยการบูรณาการ
             
การสร้างยุทธศาสตร์ชาติจึงจำเป็นที่จะต้องมองภาพใหญ่ให้เห็นอย่างเด่นชัด และที่สำคัญจะต้องเห็นถึงความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆ ในภาพนั้นด้วย ดังนั้นการมองเชิงยุทธศาสตร์ชาตินั้นจะต้องมีข้อมูลและรายละเอียดในทุกมุมมองของลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน   โดยเฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายในหน่วยงานต่างๆ  สิ่งแรกที่จะช่วยให้เกิดการบูรณาการที่ประสบผลสำเร็จคือ การมีความเข้าใจเหมือนกันในเรื่องต่างๆ  เพราะสิ่งที่เราจะต้องเชื่อมโยงหรือบูรณาการกันในเบื้องต้นก็คือ ความคิดของแต่ละหน่วยงานที่จะต้องมีผู้บริหารงานที่มีพื้นฐานความคิดตามตำแหน่งหน้าที่ในการทำงาน  ดังนั้นการสร้างยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทานนั้นจำเป็นต้องมี “คำนิยามร่วมในการดำเนินงาน” (Working Definition) ซึ่งจะต้องใช้ร่วมกันทั้งผู้วางยุทธศาสตร์และผู้ปฏิบัติรวมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน   แต่ปัจจุบันเรายังเห็นต่างคน ต่างทำ ต่างคิดกันอยู่ แล้วยุทธศาสตร์นี้จะทำให้เราไปถึงยังจุดมุ่งหมายได้อย่างไร เราจึงคงต้องช่วยกันคิดและช่วยกันทำอย่างบูรณาการ

การประชุมทางวิชาการระหว่างหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง 6 สถาบัน ครั้งที่ 2
หัวข้อ “รัฐบาลใหม่กับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย”
ประเด็นการนำเสนอ :  การบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทาน
ดร.วิทยา  สุหฤทดำรง
ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน  มหาวิทยาลัยศรีปทุม
นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 2331 สิงหาคม 2554

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

Basic – Logistics กับ Logistics Management ต่างกันอย่างไร?

เขียนเรื่องนี้เพื่อเตรียมสอนในวันเสาร์อาทิตย์นี้  ก็เลยต้องกลับไปที่พื้นฐานและแนวคิดอีกครั้งหนึ่ง  เคยจำได้ว่าได้เขียนไปบ้างแล้วในหมวด Basic  คราวนี้ลองเขียนดูให้ละเอียดอีกสักครั้งให้มันแจ่มไปเลย  ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจในความหมายของลอจิสติกส์เสียก่อน (ก็ไม่รู้ว่าอธิบายกันมากี่รอบแล้ว  ก็ลองไปค้นหากันดูในบันทึกของผมใน FB  หมวด Basic นะครับ  เรื่อง  Basic แล้วลอจิสติกส์ คือ อะไร)  ในมุมมองของผมนั้น  Logistics เป็นการไหลของทรัพยากรในการสร้างคุณค่าทั้งหมดในขอบเขตที่เราสนใจ  เช่น  ในองค์กร (จัดหา จนถึงจัดส่งและขาย) ในแผนกหรือฝ่าย (เริ่มต้นจนจบงาน) หรือทั้งอุตสาหกรรม (ต้นน้ำยันปลายน้ำจนถึงมือผู้บริโภค ) โดยเน้นที่คุณค่าในรูปแบบผลิตภัณฑ์หรือบริการที่ลูกค้าต้องการ   ดังนั้นทรัพยากรทั้งหลายจะต้องไหลมาบรรจบกันเพื่อสร้างหรือแปรสภาพให้มีคุณค่าเพิ่มตามที่ลูกค้าต้องการในสภาพที่ถูกเวลาและสถานที่   ถ้าผิดพลาดก็จะเกิดเป็นวัตถุดิบหรือสินค้าคงคลัง (ของเกิน)  และวัตถุดิบหรือสินค้าขาดแคลน (ของขาด)   ลอจิสติกส์ที่ดีก็คือ การไหลทรัพยากรทั้งหลายให้ผ่านกระบวนการสร้างคุณค่าจนเป็นผลิตภัณฑ์และบริการไปจนถึงมือลูกค้าผู้บริโภคเมื่อต้องการอย่างถูกที่และถูกจำนวน

เมื่อดูอย่างนี้แล้ว  การไหลของทรัพยากรสำหรับการสร้างคุณค่าในองค์กรเพื่อผ่านกระบวนการสร้างคุณค่าจนไปถึงมือลูกค้าจึงเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์   แต่ในองค์กรหนึ่งไม่ได้มีการไหลของทรัพยากรอย่างเดียวหรือชนิดเดียว  และไม่ได้มีกระบวนการเดียว  แต่มีกระบวนการย่อยต่างๆเชื่อมโยงเป็นองค์ประกอบทั้งหมดขององค์กร  การไหลของแต่ละช่วง  ในแต่ละกระบวนการ  ในแต่ละทรัพยากรก็ไม่เหมือนกัน  ดูอย่างไรว่าการไหลนั้นเป็นลอจิสติกส์  ผมให้มุ่งเน้นไปที่ทรัพยากรหรือวัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบของคุณค่าที่ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์และบริการ   หรืออยู่ในกระบวนการธุรกิจหลัก (Core Business Process)  ส่วนการไหลของทรัพยากรอื่นๆนั้นไม่ถือว่าเป็นลอจิสติกส์  เพราะว่าก่อนที่จะพิจารณาว่าลอจิสติกส์อยู่ตรงไหนนั้น   ต้องถามก่อนว่า  “ลอจิสติกส์ของอะไร”   เช่น ลอจิสติกส์ของคำสั่งซื้อในกระบวนการรับคำสั่งซื้อ (Order Processing) โดยมีขอบเขต (end to end) จากลูกค้าไปจนถึงฝ่ายขายที่รับคำสั่งซื้อ   ส่วนคุณค่า (Value) คือ คำสั่งซื้อของลูกค้า  แล้วลอจิสติกส์ของคำสั่งซื้อ (Order Logistics) ก็คือ  คำสั่งซื้อถูกส่งผ่าน (Flow) ไปถึงฝ่ายขายอย่างถูกเวลาและสถานที่และถูกต้องแม่นยำ    เราจะเห็นเอกสารส่งผ่าน Fax เข้ามาดำเนินงานที่ฝ่ายขาย การส่งผ่าน Fax เป็นลอจิสติกส์   หรือเราจะเห็นการส่ง E-mail โดยการส่งผ่าน E-mail เป็นลอจิสติกส์  หรือเราจะเห็นการส่งข้อมูลคำสั่งซื้อผ่าน Web  และการส่งผ่าน Web เป็นลอจิสติกส์   ดังนั้นเวลาพูดถึงลอจิสติกส์นั้นพูดลอยๆ ไม่ได้จะต้องบริบทรองรับเสมอ  เพื่อที่จะกำหนดขอบเขต (end to end) และตัวคุณค่า (Value) ที่จะส่งหรือทำการไหล (Flow)

การส่งผ่านหรือการไหลของคุณค่าระหว่างตันทางกับปลายทางนั้นจะต้องมีการคุยกันหรือประสานงานกันเพื่อส่งและรับให้เกิดความถูกต้องในการส่งและรับคุณค่า  ไม่ใช่แค่ส่งไป  ไม่รู้ว่ามีใครรับหรือไม่   ไม่ใช่แค่รอรับ  แต่ก็ไม่รู้ว่ามีใครส่งมาหรือไม่    อย่างนี้ไม่ใช่ลอจิสติกส์    ถ้าต้นและปลายมีผู้ส่งต่อระหว่างทางหลายคน   คนเหล่านี้ทุกคนก็จะต้องคุยกันประสานงานกันเห็นสถานะตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางในลักษณะโซ่อุปทาน (Supply Chain)   ไม่ใช่แค่ส่งต่อแล้วเสร็จ   หมดภาระแล้ว   แต่จะต้องติดตามสถานะให้ถึงเป้าหมาย   เพื่อให้คุณค่าหรือสิ่งที่ส่งไปมานั้นถึงปลายทางอย่างถูกเวลาและสถานที่
                   
ที่นี้ถ้าระหว่างต้นทางกับปลายทาง  มีการส่งหรือมีการไหลของทรัพยการหลายๆอย่าง  แล้วตรงไหนเป็นลอจิสติกส์    ให้ดูที่ตัวอย่างเดิมลอจิสติกส์ของคำสั่งซื้อ  เป้าหมายต้องการส่งคำสั่งซื้อไปให้ฝ่ายขาย   ให้มุ่งที่การไหลของคำสั่งซื้อเท่านั้น    โดยที่การโทรศัพท์คุยกัน  การประสานงานกันและข้อมูลต่างๆที่ไม่ใช่คำสั่งซื้อเพื่อให้เกิดการส่งคำสั่งซื้อที่ถูกต้องนั้นไม่ใช่ลอจิสติกส์ครับ   แต่เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการลอจิสติกส์  เพราะว่าฝ่ายขายจะเอาเฉพาะคำสั่งซื้อเท่านั้นที่ไปดำเนินการต่อ    นี่ยังเป็นแค่กิจกรรมลอจิสติกส์นะครับ   ยังไม่ใช่การจัดการลอจิสติกส์  เพราะฉะนั้นถ้าจะให้ว่าลอจิสติกส์เป็นอะไรหรือมีอะไรบ้างนั้น   จะต้องเป็น ลอจิสติกส์ X  ถ้าไม่บอก X มา ผมจะเข้าใจว่ากิจกรรมการไหลของคุณค่าตั้งแต่จัดซื้อจนถึงจัดส่ง หรือไม่ผมก็จะเข้าใจว่าเป็นการไหลของผลิตภัณฑ์ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำจนถึงมือผู้บริโภค  ดูแล้วมันจะวุ่นวายขนาดไหน

ส่วนเรื่องของการจัดการนั้นไม่ยาก  เพราะทุกการจัดการนั้นถ้าใช้คำว่าจัดการเหมือนกันแล้ว  ก็ควรจะมีกระบวนการคิดเหมือนกัน    เพียงแต่จะแตกต่างกันออกไปตามบริบท  เช่น  การจัดการโซ่อุปทาน  การจัดการลอจิสติกส์  การจัดการการขาย  การจัดการการตลาด  ฯลฯ  แล้วการจัดการคืออะไร?   ผมมองการจัดการเป็นกระบวนการ  มีขั้นตอนและเป็นวัฏจักร  เป้าหมายก็เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของบริบทและสิ่งแวดล้อม  เพื่อให้สิ่งที่จัดการนั้นอยู่รอด  เช่น  ทำให้มีอยู่คงที่เท่าเดิมไว้   ถ้าไม่จัดการอาจจะลดลง ทำให้มากขึ้น ถ้าไม่จัดการก็เท่าเดิมหรือลดลง ทำให้ลดลง ถ้าไม่จัดการก็เท่าเดิมหรือมากขึ้น   สุดท้ายแล้วทุกคนทุกชีวิตต้องมีการจัดการ

หัวใจของการจัดการ คือ การตัดสินใจ (Decision Making)  เพื่อให้เกิดคุณค่าที่เราต้องการ   ผมจึงมองกระบวนการการจัดการเป็น  (1) การวางแผน  (2) การดำเนินงาน  (3) การวัดผลและควบคุม  และ (4) การปรับปรุง  ทั้งสี่ขั้นตอนนี้เป็นวัฏจักรของการจัดการ   เราคิดเราตัดสินใจอยู่ที่ (1) การวางแผน    เราสร้างเราทำ  อยู่ที่ (2) การดำเนินงาน     แล้วเราก็ (3) วัดผลและควบคุมให้อยู่ในเป้าหมาย      แต่ถ้าไม่ตรงใจลูกค้าหรือเป้าหมายเปลี่ยนไป  เราก็ต้อง (4) ปรับปรุงใหม่เพื่อไปวางแผนใหม่  ดำเนินการใหม่  วัดผลและควบคุมใหม่    และอาจจะปรับปรุงใหม่อีกรอบ  เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

ตัวอย่างเช่น  การจัดการ X  มีกระบวนการดังนี้  (0) เราต้องรู้จักว่า X คืออะไร   อะไรเป็น Input ของ X  และ output ของ X  หรือพูดง่ายๆ ว่าเราต้องเข้าใจกระบวนการ X   เป้าหมายต้องได้ประโยชน์จาก X     ให้เริ่มที่ (1) การวางแผน X เป็นการตัดสินใจโดยการสร้างทางเลือกต่างๆ ของกระบวนการ X แล้วเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดภายใต้ข้อจำกัด ไม่ใช่ดีที่สุด  ช่วงการวางแผนจะมีแต่ข้อมูลและคนที่ทำการตัดสินใจ  เพื่อนำไปสู่ (2) การดำเนินการกระบวนการ X  ซึ่งจะประกอบไปด้วยทรัพยากรต่างๆ ที่ถูกกำหนดมาจากการวางแผน เพื่อให้เกิดผลลัพธ์หรือคุณค่าจากกระบวนการ X สิ่งที่สำคัญที่สุดและเป็นเป้าหมายของการจัดการก็อยู่ที่ผลลัพธ์ของกระบวนการ X  เพื่อที่จะนำไปใช้ประโยชน์  ขั้นตอนต่อไป (3)  เป็นการวัดผลและควบคุมการดำเนินการกระบวนการ X ให้ได้เป้าหมายอยู่อย่างสม่ำเสมอ    สุดท้ายเมื่อเป้าหมายเปลี่ยนแปลงไป  ก็จะต้องมี (4) การปรับปรุงกระบวนการ X ใหม่ให้สอดคล้องกับเป้าหมายใหม่  และก็เริ่มต้นวัฏจักรใหม่  ทั้งหมดนั่นก็ คือ กระบวนการการจัดการ (Management Process)

ถ้าเป็นเช่นนั้น  การจัดการลอจิสติกส์จึงไม่ใช่แค่กระบวนการลอจิสติกส์ธรรมดา   มันมีกระบวนการจัดการเข้ามาเกี่ยวข้อง  เพื่อให้กระบวนการลอจิสติกส์หรือกิจกรรมลอจิสติกส์นั้นมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น  การจัดการลอจิสติกส์จึงประกอบไปด้วย (1) การวางแผนลอจิสติกส์ (Logistics Planning)   (2) การดำเนินงานกระบวนการลอจิสติกส์ (Logistics Execution)   (3) การวัดผลและควบคุมลอจิสติกส์ (Performance Measurement)   (4) การปรับปรุงกระบวนการลอจิสติกส์ (Logistics Improvement)  อย่าลืมว่า ผลลัพธ์ของการจัดการต้องการ Output จากขั้นตอนที่ 2 นะครับ   ทรัพยากรในการสร้างคุณค่าเพื่อตอบสนองสิ่งที่ลูกค้าต้องการอยู่ในขั้นตอนที่ 2  ลูกค้าต้องการ Output จากขั้นตอนที่ 2 จากการดำเนินงานไปใช้ให้เป็นประโยชน์

ตัวอย่างเช่น  ลอจิสติกส์ขนส่ง (Transport Logistics)   และการจัดการลอจิสติกส์ขนส่ง (Transport Logistics Management)  จะประกอบไปด้วย   (1) การวางแผนลอจิสติกส์ขนส่ง ซึ่งเป็นการวางแผนการขนส่งที่นอกจากใช้ข้อมูลขององค์ประกอบในกระบวนการขนส่งแล้ว  ยังใช้ข้อมูลของกระบวนการก่อนหน้าการขนส่งและกระบวนการที่ต่อเนื่องจากการขนส่ง  ไปจนถึงลูกค้าผู้ที่ได้รับคุณค่าไปใช้ประโยชน์   หมายความความว่า  จะต้องมีภาพใหญ่ End to End หรือความเป็นโซ่อุปทานที่มีการขนส่งนี้เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วย   (2) การดำเนินงานในกระบวนการลอจิสติกส์ขนส่ง  ก็เป็นกิจกรรมการขนส่งธรรมดานี่แหละครับ  แต่เป็นการขนส่งที่อยู่ภายใต้แผนลอจิสติกส์ขนส่งที่ถูกมองอย่าง End to End หรือมองทั้ง Supply Chain   ดังนั้นในการดำเนินงานนี้ก็จะสามารถเห็นข้อมูลและสถานะการขนส่งได้จากกระบวนการก่อนหน้าการขนส่งและกระบวนการที่ต่อจาการขนส่ง  นี่คือ สิ่งที่ลอจิสติกส์ขนส่ง (Transport Logistics) แตกต่างจากการขนส่ง (Transport)   (3) การวัดผลและควบคุมการกิจกรรรมลอจิสติกส์ขนส่งให้เป็นไปตามเป้าหมายหรือแผนที่ได้วางไว้    (4) ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงของความต้องการลูกค้าในเรื่องการขนส่ง  กระบวนการลอจิสติกส์ขนส่งก็จะต้องถูกปรับปรุงและพัฒนาให้สอดคล้องกับความต้องการลูกค้าแล้วจึงกลับเริ่มต้นที่ ขั้นตอนที่ 1 ของการจัดการในวัฏจักรใหม่  แต่ถ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงในความต้องการของลูกค้า  และกระบวนการลอจิสติกส์ขนส่งยังมีทรัพยากรเพียงพอในการรองรับความต้องการ  ก็แค่รักษากระบวนการลอจิสติกส์ขนส่งไว้ให้ตรงตามเป้าหมายหรือแผนไว้

จากที่ผมได้เล่าให้ฟังมานั้น  ลอจิสติกส์และการจัดการลอจิสติกส์นั้นไม่เหมือนกัน    กิจกรรมลอจิสติกส์นั้นอยู่ภายในกิจกรรมการจัดการลอจิสติกส์   แล้วถ้ากล่าวว่า ลอจิสติกส์แบบลอยๆ  ก็ไม่ได้เหมือนกัน    น่าจะกำหนดไปเลยว่า   ลอจิสติกส์ X  และการจัดการลอจิสติกส์ X  ถ้าส่วนใหญ่ไม่ได้ระบุ X มาให้   เราน่าจะหมายถึง  ลอจิสติกส์ขององค์กรหนึ่งๆ ที่ผลิตสินค้าและบริการออกมา  End to End หรือ Supply Chain  ก็คือ จัดซื้อจนถึงจัดส่งและขาย   ลองไปนึกภาพดูนะครับว่า  เราจะสามารถแยกแยะกิจกรรมต่างๆ ออกมาเพื่อรวมกลับหรือบูรณาการ (Integrate) ให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้อย่างไร   ที่จริงแล้วกิจกรรมเหล่านี้มีอยู่แล้ว ถูกแยกออกมาเป็นกิจกรรมเดี่ยวๆ อยู่แล้ว   แต่เราไม่ได้บูรณาการเข้าด้วยกันอย่างเป็นระบบ (Systematic) และจัดการในมุมมองเชิงระบบ (Systemic) เท่านั้นเอง   จึงทำให้ไม่สามารถปรับตัวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555

Basic : Logistics Transport และ Transport Logistics นั้นต่างกันอย่างไร ?

ที่จริงแล้วผมก็หากินกันอยู่ตรงนี้ล่ะครับ  ได้เห็นได้ยินกันมานานนับสิบ  เขียนกันอย่างนี้พูดกันอย่างนี้มานานแล้ว  ผมเพิ่งจะมาคิดตีความและทำความเข้าใจในความหมายและการใช้งานของสองคำนี้      ไม่ไงจะประดิษฐ์คำว่าลอจิสติกส์ขึ้นมาทำไม    ถ้ามันไม่แตกต่างกัน      แล้วถ้าวางตำแหน่งก่อนหน้าสลับหลังแล้ว    มีความหมายเหมือนกันมันก็จะกระไรอยู่  น่าจะผิดหลักภาษาหรือไม่ก็ไม่รู้  คำที่ประดิษฐ์ขึ้นมาก็คงจะเปล่าประโยชน์ไปอีก  คงไม่สามารถใช้ในการสื่อสารได้ครบถ้วนและได้กว้างขวางตามที่ต้องการ    ในภาษาอังกฤษนั้น  คำนามหลักคือ ตัวหลัง  คำขยายคือ ตัวหน้าครับ  ส่วนภาษาไทยตรงกันข้ามกันครับ

Transport Logistics คือ ลอจิสติกส์การขนส่ง  เป็นมุมมองของลอจิสติกส์ซึ่งเป็นกิจกรรมในภาพใหญ่ที่ดูแลการไหล  การเคลื่อนย้ายสินค้า  การจัดเก็บสินค้าเพื่อเป้าประสงค์ คือ การนำพาคุณค่าที่อยู่ในรูปแบบของสินค้าและบริการไปให้ถึงมือลูกค้าหรือผู้ใช้ประโยชน์จากคุณค่าที่จะได้รับไป    นั่นคือ ลอจิสติกส์ที่มอง End to End  แต่ Transport Logistics นั้นควรจะเป็นลอจิสติกส์ที่มอง End to End โดยที่มุ่งเน้นลงไปที่ส่วนของการขนส่งที่จะมีผลในภาพรวม End to End   นั่นคือ มองใหญ่ก่อน  มองตั้งแต่ต้นจนถึงมือลูกค้า  เป้าหมายลูกค้าต้องได้รับของหรือสินค้าและบริการ     แล้วคิดว่าจะจัดการกับส่วนการขนส่งอย่างไรเพื่อให้ End to End ที่ว่านี้สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้   ประเด็นไม่ใช่จัดการการขนส่งให้ถึงผู้รับของหรือสินค้า   แต่เป็นประเด็นที่จัดการการขนส่งที่จะทำให้มั่นใจว่าลูกค้าได้รับสินค้า   ดังนั้นเราก็จะมี Purchasing Logistics, Manufacturing Logistics, Warehouse Logistics, Distribution Logistics, Retail Logistics  ด้วย  ที่มีเป้าหมายเดียวกัน  มุมมองจะเป็นการมองแบบช้างทั้งตัวหรือ Holistic View แล้วพยายามปรับองค์ประกอบภายในตัวใดตัวหนึ่งซึ่งก็จะมีผลกระทบกับตัวอื่นๆ ด้วย  ดูที่ ปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ระหว่างองค์ประกอบภายในลอจิสติกส์  และสุดท้ายก็จะมีผลกระทบต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างไรบ้าง

ส่วน Logistics Transport นั้นแตกต่างกันครับ คือ  “ขนส่งเชิงลอจิสติกส์”  คำนามหลักก็ คือ Transport  เป้าหมายหลักก็คือ การขนส่งที่สุดของการ Transport ก็คือที่หมายหรือสถานที่และมีคนมารับของหรือสินค้าไป   ไม่จำเป็นจะต้องเป็นลูกค้าผู้ที่ใช้ของนั้น  ดังนั้นขอบข่ายของ Transport จึงเล็กและแคบกว่า Logistics มากยิ่งนัก   แต่เมื่อมี คำว่า Logistics มาเป็นคำขยายอยู่ข้างหน้าแล้วเป็น  Logistics Transport นั่นหมายความว่า  การจัดการขนส่งนี้ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เห็นหรือมองแบบต้นจนปลายในมุมของลอจิสติกส์   แต่ในการจัดการขนส่งจากต้นทาง (Start) ไปยังปลายทาง (Stop) นั้น  ผู้จัดการขนส่งก็ได้ใช้ข้อมูลที่มาจากระดับการจัดการลอจิสติกส์แบบ End to End มาเป็น information เพิ่มเติมเข้าไปในการจัดการขนส่งอีก  จึงทำให้การจัดการขนส่งสินค้าหรือคุณค่าจากต้นทางจนไปถึงปลายทางการขนส่งสามารถตอบสนองต่อความต้องการลูกค้าในภาพรวมได้

เมื่อมีการมองแบบลอจิสติกส์แล้ว   ก็ต้องมี Logistics Transport  และ Transport Logistics ขึ้นมาพร้อมๆ กันเสมอ  เพียงแต่ว่าจะมองในระดับไหน   ในระดับบินสูง (End to End) ในระดับลอจิสติกส์   หรือ ในระดับบินต่ำจุดต้นทาง (Start) จนถึงปลายทาง (Stop) ในระดับกิจกรรมที่เป็นองค์ประกอบต่างๆ ภายในของลอจิสติกส์  ดังนั้น Model และข้อมูลที่ใช้ในการตัดสินใจก็แตกต่างกันออกไป  แต่ที่สุดแล้วมันจะต้องสนับสนุนซึ่งกันและกัน  เพื่อให้เกิดความเป็นองค์รวมในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

ทั้งหมดนี้เป็นมุมมองที่ผมเฝ้าสังเกตมานาน  แต่ยังไม่เห็นมีใครฟันธงลงไปชัดๆ เท่าที่เห็นทำๆ กัน ส่วนมากจะเป็น เรื่องของ Logistics Transport มากกว่า เพราะยังคงใช้ Model ของ Transportation เดิมได้หรือ Models ต่างๆ ใน OM functions (Operations Management)  เพียงแต่ใส่ข้อมูลใหม่ที่ผ่านการวิเคราะห์ในเชิงลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเข้าไปก็น่าจะใช้ได้เลย    แต่ Model ของ Logistics ที่เป็นองค์รวมนี้ยังไม่ค่อยเห็นนะครับ   Model กันยากเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับกรณีศึกษาด้วย  ผมคิดว่ามันคือ System Thinking Model หรือ System Dynamics มากกว่า  จึงเลยนำเสนอให้เพื่อนๆ ลอง Comment กันมาบ้าง เผื่อว่ามันน่าจะมีจุดบกพร่องทางความคิดตรงไหนบ้าง  แต่ถ้าทำ OM function ได้ดีแค่ไหนก็เป็นแค่ Local Optimization ถ้าจะให้คิดแบบลอจิสติกส์และโซ่อุปทานแล้วจะต้องคิดแบบ Global Optimization

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อ.วิทยา Talk at IE@CMU ตอนที่ 1



ผมได้มีโอกาสไปบรรยายในงานสัมมนาที่จัดโดยหนังสือพิมพ์ InterTransport and Logistics ร่วมกับหอการค้าเชียงใหม่เมื่อวันที่ 15 ก.ค. 53 โดยสายการบินไทย ก็ไม่เช้าเท่าใดนัก ประมาณ 7:30 น. แต่กว่าเครื่องจะลงก็ 9 โมงกว่าๆ แล้ว ต้องบรรยาย 9 โมงครึ่ง จึงรีบกันพอสมควร ผมบรรยายเรื่อง การพัฒนา Supply Chain ในกลุ่ม GMS และ AEC ซึ่งดูทันสมัยมากๆ แต่ผมสิครับ เหนื่อยจริงๆ เพราะมีหลายเรื่องมาก ผมก็ให้ได้แค่มุมมองเท่านั้น เพราะลึกๆ แล้ว ไม่มีรายละเอียดมากนัก เพราะไม่ได้ทำ ถ้าผมพูดไป ก็จะโดนโต้แย้งมาว่าผมไม่ได้ทำอีก แต่ผมว่า ผมพอจะมองออกว่าอะไรเป็นอะไรได้ พอจะอธิบายได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันเป็นเพราะอะไร ที่จริงแล้วมันควรจะเป็นอย่างไร ตามทฤษฎีแล้ว ซึ่งจะนำไปสู่การปฏิบัติอย่างไร

ช่วงบ่ายจะว่าง ก่อนหน้านี้ผมจึงวางแผนว่าจะหาที่ทำอะไรให้เป็นประโยชน์บ้าง จึงตัดสินใจโทรหา ดร.อภิชาติ โสภาแดง ที่ IE มช. (มหาวิทยาลัยเชียงหม่) แจ้งว่า ผมจะว่างตอนบ่ายวันที่ 15 ก.ค. อ.ช่วยมาเชิญผมไปบรรยายหน่อย (ผมขอร้องเองครับ) ผมอยากทำตัวให้เป็นประโยชน์กับในพื้นที่เชียงใหม่บ้าง ถ้าอ.อภิชาติ เห็นสมควร ผมก็ยินดีและเต็มใจครับ ในที่สุด ดร.กรกฎ ก็ติดต่อประสานงานมาแทน อ.อภิชาติซึ่งต้องเดินทางไปต่างประเทศ อ.กรกฎ หรืออ.เปิ้ล ถามว่าผมอยากพูดถึงเรื่องอะไรให้นักศึกษาที่เรียนปริญญาโทฟังดี ผมจึงเสนอหัวข้อ “ความสัมพันธ์ระหว่างวิศวกรรมลอจิสติกส์และการจัดการลอจิสติกส์ และบทบาทของ IE ในกิจกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน” อ.เปิ้ลก็ OK ตามนั้น

พอถึงวันที่ 15 ก.ค. ตามนัด อ.เปิ้ลก็มารับที่โรงแรมหลังจากที่ผมบรรยายช่วงเช้าเสร็จ ปรากฎว่ามี Big Surprise ครับ เพราะว่ามี อ.ดร.สิงหา นั่งติดรถมาด้วย และจะร่วมวงสนทนากับผมที่ IE@ มช ผมรู้สึกตื่นเต้นดี เพราะไม่ได้มีโอกาสได้คุยกับ อ.สิงหาในช่วงเวลายาวๆ มาก่อนเลย นึกไปถึงภาพตอนที่จะบรรยายให้นักศึกษาฟัง ถ้าอ.สิงหามาร่วมสนทนาด้วย จะดีมากเลย ดูแล้วจะกลายเป็น 3 Generation ไปเลย

แล้ว อ.เปิ้ลก็พาไปทานก๋วยเตี๋ยวเนื้อครับ อร่อยดีมากครับ จำชื่อร้านไม่ได้ ให้ไปถาม อ.เปิ้ลเองครับ ที่เด็ดมากๆ คือ ไอศครีมแบบรวมมิตร มีซ่าลิ่มพร้อมทับทิมกรอบด้วย แถมมีให้เลือกแบบแห้งหรือน้ำด้วยนะครับ ผมก็ชี้ตามรูป ดูดีครับ ในกรุงเทพผมไม่เคยเจอแบบนี้ครับ แล้ว อ.เปิ้ลก็พาไปดื่มกาแฟร้านริมถนนในคณะวิศวะ มช. บรรยากาศดีมากๆ ครับ เหมือนอยู่เมืองนอก แต่อากาศร้อนไปหน่อยครับ อย่างนี้น่าจะได้มาสอนบ้าง ได้คุยกันไปกับ อ.เปิ้ล และ อ.สิงหาระหว่างนั่งจิบกาแฟ มีอยู่หลายประเด็นเลย แล้วค่อยทะยอยเล่าให้ฟังต่อนะครับ

แล้วก็มาถึงการบรรยายให้นักศึกษาปริญญาโท IE ปกติ และป.โท ลอจิสติกส์ ดูรวมๆ แล้วไม่มากไปและน้อยไป กำลังดี ประมาณ 20-25 คน ผมก็โม้ไปเรื่อยๆ ตามประสาคนไม่ชอบอยู่เฉยๆ ขู่นักศึกษาบ้าง บังคับให้ถามบ้าง แต่พวกเขาก็ยังไม่ค่อยจะยอมถามกันเท่าใดนัก เป็นธรรมชาติของนักศึกษาไทยหรือเปล่านะครับ แต่เขาว่ากันมาอย่างนั้น

ในครึ่งแรกผมก็เริ่มบ่นในประเด็นของลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน ผมชูประด็นในเรื่องของความเป็น “วิศวะ” ของสาขาวิชาลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน มีนักศึกษาอยู่ท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า IE ของเรานี้ไม่ใช่วิศวะ ผมคิดในใจว่า “เฮ้ยคิดอย่างนี้ได้อย่างไร?” “แล้วเอ็งเรียนวิศวะหรือเปล่า” ผมถามตัวเองอยู่ในใจ ไม่ได้การแล้วล่ะ ถ้าคิดกันอย่างนี้แล้ว จะเรียน IE กันไปทำไมเล่า แต่ผมก็ไม่ได้โทษพวกเขาหรอกครับ เราต้องโทษตัวเราเองต่างหาก ทั้งคนสอนและคนวงการธุรกิจเอง เราเป็นวิศวะกันแค่ชื่อที่เรียน วิชาที่สอนและคณะที่จบ แต่มีคนมากมายที่ไม่เคยเรียนวิศวะมา แต่มีความเป็นวิศวะเต็มตัว แล้วผมก็มาถามตัวเองว่าจริงไหม? ก็ใช่ ผมเรียนก็วิชา Engineering แล้วก็จบคณะวิศวะ แต่ตัวเป็นวิศวะหรือไม่นั้น ไม่มั้ง! คิดว่าไม่ แล้วแต่โอกาสในการทำงาน แต่ผมก็ต้องมาสอนคนให้เป็นวิศวะ ผมนั้นกล้าดีอย่างไร ผมคิดเอาเองในใจ ก.ว. ผมก็ไม่ไปขอกับเขา สอนหนังสืออยู่ทุกวันนี้ มีน.ศ.วิศวะที่สอนอยู่ในสัดส่วนน้อยมาก และมีที่เดียวที่ผมสอน คือ IE พระนครเหนือ (ทุกวันนี้ก็ยังสอนอยู่ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เป็นอาจารย์ประจำที่นั่นแล้วก็ตาม)

ผมมองเรื่องของลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นได้ทั้งวิศวะ (Engineering) และการจัดการ (Management) เราต้องไม่คิดว่า จะต้องเป็นวิศวะเท่านั้นหรือจบวิศวะเท่านั้นที่ทำงานวิศวะได้หรือทำงานอย่างวิศวะได้ คิดอย่างนั้นก็บ้าแล้ว ใจแคบจริงๆ ทำไมคนเราจะเรียนรู้อะไรจะต้องเรียนจากคณะนั้นด้วยหรือ ทำไมพวกสถาปัตย์ถึงเป็นนักแสดงได้กันมากมาย ทั้งๆ ที่ไม่ได้เรียนการแสดง ถ้าใครมีความคิดเช่นนี้ ผมคิดว่าต้องขอให้เปิดใจรับฟังกันหน่อยแล้ว

วิศวะนั้นแตกต่างจากวิทยาศาตร์ ความเป็นวิทยาศาสตร์นั้นเป็นเรื่องราวที่มนุษย์ค้นหากลไกของธรรมชาติ วิทยาศาสตร์ไม่ได้ช่วยเหลืออะไรเรานัก เพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติ แต่เทคโนโลยีนั้นเอาวิทยาศาตร์มาทำให้เกิดประโยชน์ หรือมีคุณค่า (Value) กับมนุษย์ ความเป็นวิทยาศาสตร์ทำให้เราเข้าใจกลไกของธรรมชาติ มนุษย์จึงใช้ประโยชน์จากธรรมชาติเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์เอง การดำรงอยู่ของมนุษย์ที่ใช้ธรรมชาติเป็นเครื่องมือในการดำรงอยู่ ถือว่าเป็นเทคโนโลยีในยุคแรกๆ และถูกพัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ โดยมีโจทย์จากความต้องการของมนุษย์เป็นตัวตั้ง การออกแบบและพัฒนาสิ่งต่างๆ เพื่อทำให้มนุษย์อยู่ดีกินดีทั้งหลายนั้นเป็นเรื่องงานวิศวกรรมหรือ Engineering พูดกันง่ายๆ ว่า วิศวกรรมเป็นการออกแบบเพื่อมนุษยชาติ ที่จริงแล้ว ทุกวันนี้เราก็ทำทุกสิ่งก็เพื่อตัวเองอยู่แล้วไม่ใช่หรือ

มีข้อสังเกตอยู่หนึ่งอย่าง คือ ถึงแม้ว่าวิศวกรผู้ออกแบบจะออกแบบงานทางวิศวกรรม แต่ก็อาจไม่ได้เป็นผู้สร้างคุณค่าโดยตรงหรือเผชิญหน้าโดยตรงกับผู้ใช้ประโยชน์ (Users or Consumers) แต่อาจจะมีวิศวกรผู้ควบคุมการก่อสร้างหรือการผลิตอยู่ เพราะว่าความเป็นวิศวกรจะต้องเข้าใจกลไกการสร้าง (Engineer) เหล่านั้น ผมจึงมีความเข้าใจว่า วิศวะนั้นจะต้องฟังความต้องการของลูกค้า (Requirements) แล้วมาออกแบบและสร้าง (Design and Build) สิ่งนั้นขึ้นมา ที่จะต้องดีกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า (เห็นไหมว่า เหมือนการจัดการโซ่อุปทานเลย)

วิศวกรจึงต้องใช้ความรู้ทางวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีในการออกแบบและสร้างสิ่งที่มนุษย์ต้องการในรูปแบบของสินค้าและบริการ วิศวกรทำการออกแบบและสร้างต้นแบบของผลิตภัณฑ์และบริการ แต่ผู้ใช้งานหรือผู้บริโภคก็ยังไม่มีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากคุณค่าที่อยู่ในรูปแบบสินค้าและบริการ ผู้บริโภคหรือผู้ใช้งานจะได้รับสินค้าและบริการจากกระบวนการสร้างคุณค่าหรือกระบวนการผลิตหรือกระบวนการบริการ ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะต้องถูกออกแบบโดยวิศวกร โดยเฉพาะวิศวกรอุตสาหการ (Industrial Engineer : IE) เพื่อให้ฝ่ายปฏิบัติการ (Operations) หรือฝ่ายผลิต (Productions) จัดการทรัพยากรสำหรับการผลิต (Manufacturing Resources) และจัดการกระบวนการผลิต (Manufacturing Process หรือกระบวนการการบริการ (Service Process) ที่สร้างคุณค่าซึ่งตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

เมื่อเกิดปัญหาในกระบวนการผลิตที่ฝ่ายผลิตไม่สามารถจัดการในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้ วิศวกร IE จะต้องมาปรับปรุงกระบวนการผลิตหรือออกแบบกระบวนการผลิตใหม่ เพื่อให้ฝ่ายผลิตสามารถดำเนินการผลิตได้ ส่วนฝ่ายปฏิบัติการหรือฝ่ายผลิตไม่ได้เป็นผู้ออกแบบ แต่จะเป็นผู้วางแผนและดำเนินการกระบวนการสร้างคุณค่าหรือกระบวนการผลิตหรือกระบวนการบริการให้สามารถสร้างคุณค่าในรูปแบบสินค้าและบริการให้กับลูกค้าได้ ดังนั้นวิศวกร IE จะออกแบบและดูแลปรับปรุงโครงสร้างของกระบวนการผลิตหรือกระบวนการสร้างคุณค่าซึ่งจะปรับเปลี่ยนตามโครงสร้างของผลิตภัณฑ์ที่ลูกค้าต้องการ ฝ่ายผลิตซึ่งไม่ได้ออกแบบหรือสร้างอะไร แต่จะเป็นผู้จัดสรรทรัพยากรในการจัดการและดำเนินการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า เช่นเดียวกันกับวิศวกรที่ออกแบบการผลิตและออกแบบเครื่องจักรก็ไม่ได้เป็นผู้ดำเนินการผลิตหรือไม่ได้เป็นผู้ใช้เครื่องจักร แต่กลับเป็นฝ่ายผลิตหรือฝ่ายปฏิบัติการที่เป็นผู้ใช้งานเครื่องจักรหรือกระบวนการผลิตนั้นนั้น

คราวนี้ลองกลับมาดูว่าเรื่องราวของลอจิสติกส์ว่า วิศวกรรมลอจิสติกส์ คือ อะไร และการจัดการลอจิสติกส์ คือ อะไร โดยลองใช้กรอบความคิดของวิศวกรรมดังที่ผมกล่าวมาข้างต้นมาประยุกต์ใช้ดูนะครับ ที่แน่ๆ ลอจิสติกส์ไม่ใช่การขนส่งเท่านั้น ผมและหลายท่านพูดกันมานานแล้ว แต่ก็ไม่เห็นมีใครสนใจ ผมต้องขออนุญาตเล่าให้ฟังใหม่เสมอว่า ลอจิสติกส์ต้องมองให้เป็นกระบวนการที่ไม่ได้จบเสร็จในตัวหรือในขั้นตอน แต่ต้องมองไปให้จบที่การส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าหรือผู้ใช้งาน ดังนั้นลอจิสติกส์จึงสามารถกำหนดขอบเขตได้ตามมุมมองของกระบวนการ (Process View) ที่มีจุดเริ่มต้นและจุดจบ (Start to Stop) หรือมีต้นชนปลาย (End to End) สำหรับบริษัทหรือองค์กร หรือต้นน้ำถึงปลายน้ำ (Upstream to Downstream) สำหรับทั้งวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ ลอจิสติกส์จึงต้องมองให้เห็นความเชื่อมโยงระหว่างกิจกรรมในการนำส่งคุณค่าให้กับลูกค้า

ที่จริงแล้วผู้ที่เข้าใจลอจิสติกส์ที่แท้จริงจะต้องเข้าใจถึงความเป็นโซ่อุปทาน (Supply Chain) และการจัดการโซ่อุปทานเสียก่อน แต่คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจลอจิสติกส์จากมุมมองของขนส่งและคลังสินค้า ซึ่งไม่ผิด แต่ล้าสมัยมากๆ ประเทศไทยยังคืบคลานอย่างช้าๆ กับคำว่าลอจิสติกส์อยู่เลย ไม่มองชาวบ้านเขาว่า เขาไปถึงไหนกันแล้ว Council of Logistics Management เขาก็เปลี่ยนไปเป็น Council of Supply Chain Management Professional ไปตั้งนานแล้ว พวกเราไปอยู่ที่ไหนกันมา เป็นเวลา 10 กว่าปีของแผนยุทธศาสตร์ก็มัวแต่ยุ่งกับการลดต้นทุนลอจิสติกส์กันอยู่นั่นแหละ แต่ตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะขายสินค้าอะไรเป็นหลัก จะทำมาหากินอะไรกับประเทศอื่นๆ เขา แต่ดันสนใจเรื่องลดต้นทุนของลอจิสติกส์ ถ้าจะว่ากันไปแล้ว ใครที่คิดว่าลอจิสติกส์เป็นเรื่องของการลดต้นทุน ผมคิดว่าพวกเขาคิดไม่หมด คิดไม่ครบ ลอจิสติกส์จะต้องเป็นเรื่องของ On Time In Full (OTIF) ของครบถ้วนสมบูรณ์และตรงเวลาด้วย ไม่ใช่เรื่องต้นทุนแต่เพียงอย่างเดียว และที่สำคัญมันเป็นเรื่องของคุณค่า ลอจิสติกส์จะอยู่หรือพิจารณากันเป็นเรื่องโดดๆ ไม่ได้เลย พอถึงเวลาเราก็มาบอกกันว่า ลอจิสติกส์วิกฤติแล้ว เราจะทำอย่างไรกันดี เราก็ทำได้แค่นี้ ดังนั้นถ้าจะพูดถึงเรื่องลอจิสติกส์ ต้องมองลูกค้า คุณค่า โซ่คุณค่า โซ่อุปทาน แล้วก็การผลิต (make) และลอจิสติกส์ (Move) ถ้าไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ เราก็พูดแค่โครงสร้างพื้นฐานของระบบลอจิสติกส์ที่อยู่ในโซ่อุปทาน เอาไว้วันหลังค่อยคุยกันต่อใหม่ในเรื่องเหล่านี้

แต่เมื่อมาพิจารณาถึงเส้นทางการไหลของคุณค่าที่ลูกค้าต้องการแล้ว กิจกรรมลอจิสติกส์ไม่ได้มีแค่การขนส่งและคลังสินค้าเท่านั้น ดังนั้นความเป็นลอจิสติกส์จึงเป็นเรื่องของโครงสร้างความเป็นระบบ (Systemic Structure) ของกระบวนการ (Process) ตั้งแต่ต้นจนจบที่ได้ผลลัพธ์ที่ใช้ประโยชน์ได้ (Value) และต้องคำนึงถึงประโยชน์ของลูกค้าคนสุดท้ายด้วย (End Customer Values) ถึงแม้ว่าในกระบวนการหรือระบบที่เรารับผิดชอบอยู่จะไม่ได้เชื่อมต่อกับลูกค้าคนสุดท้ายก็ตาม ดังนั้นวิศวกรรมลอจิสติกส์จึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับการออกแบบและสร้างระบบการไหลของคุณค่า (Flow of Values) หรือระบบลอจิสติกส์ตั้งแต่ต้นจนจบ สำหรับองค์กรธุรกิจ กิจกรรมลอจิสติกส์ก็จะประกอบไปด้วย กระบวนการจัดหา กระบวนการผลิต กระบวนการจัดส่ง และกระบวนการวางแผน เพื่อให้เกิดการดำเนินการการสร้างคุณค่าหรือการผลิตและบริการเพื่อส่งคุณค่าให้กับลูกค้าคนสุดท้าย ดังนั้นวิศวกรลอจิสติกส์จะต้องออกแบบและสร้างกระบวนการทั้งหมดเพื่อให้ฝ่ายปฏิบัติการหรือฝ่ายจัดการการสามารถดำเนินการสร้างคุณค่าได้ตามปริมาณและความหลากหลายของความต้องการของลูกค้าอย่างไหลลื่น (Seamless)

เมื่อโครงสร้างของระบบลอจิสติกส์หรือกระบวนการลอจิสติกส์ได้ถูกออกแบบและสร้างขึ้นมารองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าแล้ว ฝ่ายปฏิบัติการ ฝ่ายผลิต ฝ่ายลอจิสติกส์หรือขนส่ง (ที่เขาเรียกกัน) ฝ่ายขาย และฝ่ายโซ่อุปทานก็จะมาใช้กระบวนการนี้โดยการจัดสรรทรัพยากรทั้ง คน การสั่งวัตถุดิบ เครื่องจักร สารสนเทศ รวมทั้งวิธีในการดำเนินงานในแต่ละกระบวนการเพื่อให้ลูกค้าได้รับคุณค่าตามที่ต้องการ เมื่อโครงสร้างของกระบวนการหรือระบบไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในด้านความหลากหลายและปริมาณหรือโครงร่างของสินค้าหรือโซ่คุณค่า วิศวกรลอจิสติกส์จึงต้องออกแบบใหม่หรือปรับปรุงกระบวนการหรือระบบใหม่เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าให้ได้

วิศวกรลอจิสติกส์ที่จริงแล้วอาจจะไม่สามารถทำหน้าที่วิศวกรในหลายๆ ฟังก์ชั่นหน้าที่ในระบบลอจิสติกส์ได้ เพราะว่ากิจกรรมลอจิสติกส์ทั้งระบบมีหลายสาขาวิชามาบูรณาการกัน เพราะว่าลอจิสติกส์นั้นเป็นสหวิทยาการ (Multi-discipline) ผมมองว่าวิศวกรรมลอจิสติกส์นั้นทำหน้าที่เหมือนสถาปนิกที่ออกแบบบ้าน เป็นผู้ที่รู้ทุกส่วนของบ้าน ทุกฟังก์ชั่น ทุกวัสดุ และเป็นคนที่ทำให้ทุกอย่างลงตัว จนกลายเป็นบ้าน แต่ไม่ได้สร้างเองทั้งหมด วิศวกรแต่ละสาขาไปดำเนินการสร้างตามแบบที่ได้ออกแบบมา

วิศวกรรมลอจิสติกส์ก็เช่นกัน จะต้องมองระบบทั้งระบบที่จะต้องอำนวยความสะดวกให้เกิดการไหลของทรัพยากรอย่างลื่นไหล และแปรเปลี่ยนไปเป็นคุณค่าและทำให้คุณค่านั้นไหลไปถึงมือลูกค้า วิศวกรรมลอจิสติกส์จะต้องบูรณาการกระบวนการจัดหา กระบวนการผลิต กระบวนการจัดส่ง กระบวนการวางแผนให้เป็นระบบเดียวกันให้ได้ แต่อย่าลืมนะครับว่า กิจกรรมลอจิสติกส์นั้นเน้นที่การไหลของคุณค่า การเชื่อมต่อระหว่างกระบวนการการไหลจะต้องเป็นมาตรฐานและเข้ากันได้ ทั้งนี้ขึ้นกับกายภาพของการไหล (Physical of Flows) ตัวอย่างการขายข่าวของหนังสือพิมพ์ เช่น มีการไหลทางกายภาพ 3 ทาง คือ 1) ทางกายภาพที่เป็นกระดาษ ขึ้นรถบรรทุกกระจายออกไป สู่หน้าร้านแล้วมีคนมาซื้อหรือมีรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งถึงบ้าน 2) ทางกายภาพที่ผ่านทางออนไลน์ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ 3) ทางกายภาพที่ผ่านทาง SMS มือถือ การไหลทางกายภาพจะขึ้นอยู่กับลักษณะของสินค้าและบริการที่ลูกค้าต้องการ ดังนั้นหัวใจของวิศวกรรมลอจิสติกส์ ที่นอกเหนือจากการออกแบบกิจกรรมหลักๆ ที่เป็นฟังก์ชั่นในระบบลอจิสติกส์ ก็คือ วิศวกรรมระบบ (System Engineering) ที่เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์ความต้องการ การออกแบบ การสร้างและทดสอบ การดำเนินการผลิต การบำรุงรักษา การปรับปรุง และการเลิกใช้งานของระบบลอจิสติกส์ IE เราไม่ค่อยได้เน้นเรื่องเท่าใดนัก

ในส่วนที่เป็นเรื่องของการจัดการลอจิสติกส์นั้น เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องในการดำเนินงานในการอำนวยการ (Orchestrate) ให้เกิดการสร้างคุณค่าหรือการผลิตและจัดส่งให้ถึงมือลูกค้าจริงๆ ผู้จัดการลอจิสติกส์มีหน้าที่ดำเนินการใช้งานระบบลอจิสติกส์ที่ออกแบบมาโดยวิศวกรรมลอจิสติกส์ให้สามารถสร้างคุณค่าและนำส่งคุณค่าไปสู่ลูกค้าได้ การจัดการลอจิสติกส์จะต้องใช้ระบบลอจิสติกส์ที่ถูกออกแบบมาและถูกสร้างขึ้นมาเพื่ออำนวยการผลิต (Make) และนำส่ง (Move) สินค้าให้ถึงมือลูกค้า

การจัดการลอจิสติกส์ คือ การบูรณาการกิจกรรมลอจิสติกส์ซึ่งไม่ใช่แค่การจัดการการจัดซื้อ การจัดการผลิต หรือการจัดการการจัดส่ง แต่จะต้องจัดสรรทรัพยากรทั้งคน IT เครื่องจักร วัตถุดิบ รวมทั้งวิธีการให้กิจกรรมลอจิสติกส์ให้เชื่อมโยงและบูรณาการกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อให้สามารถตอบสนองการสั่งซื้อให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นหมายความว่าการจัดการลอจิสติกส์จะต้องติดต่อประสานงานกับทุกหน่วยงานขององค์กรที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและส่งคุณค่าให้กับลูกค้า หน่วยงานไหนไม่ได้เชื่อมกับลอจิสติกส์ หน่วยงานนั้นไม่สมควรอยู่ในองค์กร เพราะว่า ลูกค้าต้องการซื้อหรือรับคุณค่าจากระบบลอจิสติกส์ ถ้าไม่มีระบบลอจิสติกส์ ลูกค้าก็ไม่ได้รับคุณค่า

การจัดการลอจิสติกส์จึงเริ่มต้นตั้งแต่ ฝ่ายการตลาด ฝ่ายจัดการอุปสงค์ ฝ่าย IT ฝ่าย HR ฝ่ายจัดหา ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดส่ง ฝ่ายการเงิน ฝ่ายบัญชี หน้าที่ของการจัดการลอจิสติกส์จะต้องประสานงานกับฝ่ายต่างๆ ที่กล่าวมาเพื่อทำให้ลูกค้าได้รับสินค้าและบริการตามความต้องการ การจัดการลอจิสติกส์จะประกอบไปด้วยการวางแผน การดำเนินงาน การควบคุมและปรับปรุงการไหลของคุณค่าบนโครงสร้างเชิงกายภาพของระบบลอจิสติกส์ที่ถูกออกแบบมาจากวิศวกรรมลอจิสติกส์

ปัจจัยเข้าของวิศวกรรมลอจิสติกส์ คือ ความต้องการของระบบลอจิสติกส์ ขนาด ปริมาณ ความเร็ว ความยืดหยุ่นของระบบ ความเชื่อมโยงของกระบวนการทั้งหมด (Seamless Integration) ของโครงสร้างการไหลเชิงกายภาพ ผลลัพธ์ก็ คือ ระบบลอจิสติกส์

เมื่อได้ระบบลอจิสติกส์มาแล้วลูกค้ายังไม่ได้คุณค่าอะไรเลย ส่วนการจัดการลอจิสติกส์จะต้องเอาระบบลอจิสติกส์ที่ออกแบบและสร้างมานี้มาดำเนินการให้เกิดการสร้างคุณค่าและนำส่งคุณค่าให้กับลูกค้าด้วยการจัดการวางแผนทรัพยากร การคำนวณอุปสงค์กับฝ่ายการตลาดและการจัดเตรียมอุปทานให้พอเพียงด้วยการประสานงานกับทางผู้จัดส่งวัตถุดิบ (Suppliers) สภาพแวดล้อมของระบบลอจิสติกส์ สภาพแวดล้อมการแข่งขันเชิงธุรกิจ สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจและสังคม องค์ประกอบเหล่านี้จะมีผลต่อการตัดสินใจวางแผนเพื่อใช้งานระบบลอจิสติกส์ให้สามารถตอบสนองต่อลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด

นอกจากนั้นวิศวกรรมลอจิสติกส์ยังสามารถที่จะออกแบบระบบการจัดการลอจิสติกส์ (Logistics Management System) เพื่อที่จะทำให้ผู้จัดการลอจิสติกส์สามารถใช้เป็นเครื่องในวางแผนและตัดสินใจในระบบลอจิสติกส์อีกทีด้วย โดยเฉพาะระบบสารสนเทศต่างๆ ที่มีส่วนสนับสนุนการวางแผนและการตัดสินใจในกระบวนการลอจิสติกส์ประเภทต่างๆ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมที่สุด (Optimization) ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ผมหวังว่าท่านผู้อ่านคงจะเห็นว่าทั้งวิศวกรรมลอจิสติกส์และการจัดการลอจิสติกส์มีความเหมือนและความแตกต่างกันอย่างชัดเจน

ถ้าจะถามถึงแล้วการจัดการโซ่อุปทานอยู่ตรงไหน ก็อธิบายได้นะครับ กล่าวคือ จะรวมเอาการจัดการลอจิสติกส์และการจัดการผลิตเข้าไปด้วย แต่จะเน้นเพิ่มขึ้นมาตรงการตัดสินใจและวางแผนร่วมกันระหว่างหน่วยงานหรือองค์กร แล้วผมมาเล่าต่อในตอนหลังจะดีกว่า เดี๋ยวจะไม่จบเอา เพราะยิ่งเขียนก็ยิ่งเติมไปเรื่อยๆ แล้วจะสับสนไปเปล่าๆ

พอพักครึ่ง เหล่านักศึกษาก็ไปกินกาแฟด้วยความมึนงง พอกลับมาฟังต่อ ผมและอ.สิงหา ก็เลยมาช่วยกันตอบประเด็นปัญหาที่ค้างคากันอยู่ ที่มีคำถามว่า แล้ว Industrial Engineering นั้นเป็น วิศวะหรือไม่ สงสัยธาตุไฟจะเข้าแทรก ผมต้องขอโทษด้วยที่จำชื่อนักศึกษานั้นไม่ได้ แต่ผมเชื่อว่าเขาถามด้วยเจตนาดี และขอชื่นชมที่ถามมา คุณแน่มากที่ถาม ผมตอบได้เลย มันเป็นวิศวะอย่างแน่นอน เพราะว่ามี ก.ว. วิศวกรรมอุตสาหการด้วย เป็นสาขาวิชาที่เปิดการเรียนการสอนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ทั่วไปด้วย คุณถามอย่างนี้ได้อย่างไร ถ้า IE ไม่ใช่วิศวะ ก็แปลกแล้ว ผมมีประสบการณ์การสอนวิชาในสาขานี้มาพอสมควร ผมคิดว่าระบบการเรียนการสอนอาจจะมีปัญหาบ้าง กล่าวคือ เราสอนแต่รายวิชา ตามที่ก.ว. มี โดยเฉพาะจะต้องเน้นที่รายชื่อวิชา แต่ไม่ได้มีการเน้นไปที่ปรัชญาของวิศวกรรมอุตสาหการ หรือปรัชญาของวิศวกรรมศาสตร์ ถ้าในระบบการเรียนการสอนมีปรัชญาของวิศวกรรมศาสตร์จริง ก็ไม่น่าจะเกิดคำถามอย่างนั้นขึ้น นักศึกษานั้นไม่ผิดหรอกครับ แต่ต้องมาดูที่โครงสร้างการเรียนการสอนทั้งระบบ

ผมคิดว่า IE นั้นสัมพันธ์กับลอจิสติกส์และโซ่อุปทานโดยตรง IE เป็นแก่นของลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน แต่องค์ความรู้และแก่นของ IE แต่เพียงอย่างเดียวก็ไม่สามารถรองรับลอจิสติกส์และโซ่อุปทานได้ จากแก่นของ IE เอง เราจะต้องต่อยอดไปบูรณาการกับสาขาอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ประเด็นนี้มีมาจากความเห็นของ IE ในระดับ World Class นะครับ เพราะว่าผมเคยอ่านบทความของ IIE (Institute of Industrial Engineering) ซึ่งเป็นองค์กรวิชาชีพของ IE ในอเมริกา เมื่อประมาณราวๆ ปี 2000-2003 ชื่อบทความ คือ “Supply Chain Management : The New Role of Industrial Engineering” นั่นเป็นมุมมองใหม่ของ IE ที่ IE จะต้องบูรณาการมากขึ้นตามบริบทของสังคมและธุรกิจ ผมเชื่อว่า เรา IE ทั่วโลก สามารถทำได้และมีศักยภาพพอในองค์ความรู้ ถ้าเปิดใจรับและเข้าใจบริบทของการเปลี่ยนแปลง

ผมมอง IE ว่าจะไปมุ่งเน้นไปที่ตัวระบบหรือกระบวนการในมุมที่แยกส่วนออกมา (Reductionism) เพื่อการปรับปรุงและวิเคราะห์ แต่ลอจิสติกส์และโซ่อุปทานพยายามที่จะบูรณาการกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและส่งคุณค่าอย่างเป็นองค์รวม (Holistic) ดังจะเห็นได้ว่า หลายปีที่ผ่านมามีประเด็นในวงการวิชาชีพ IE ที่จะการเพิ่มชื่อ System Engineering เข้าไปด้วย เหมือนกับชื่อภาควิชา IE ในหลายมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา

อ.สิงหาได้เสนอประเด็นของวิวัฒนาการของ วิชา OM ซึ่งมีสอนกันอยู่ในแทบทุกมหาวิทยาลัย ในทุก Program MBA ในหนังสือ OM ยุคใหม่ๆ ก็ได้กลายสภาพเป็นหนังสือ Supply Chain หรือไม่ก็ Logistics ประเด็นนี้เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ เพราะผู้แต่งหนังสือเหล่านี้ (ผมคิดว่า) ก็ยังมีความเข้าใจไม่ตรงกันเท่าไหร่นัก มันไม่ผิดหรอก แต่เป็นการมองกันคนละมุม เป็นการใช้คำที่ไม่ถูก เช่น ชื่อหนังสือ Supply Chain Management : Logistics Approach หรือ Logistics Management : Supply Chain Approach แต่เมื่อดูๆ ไปแล้ว มันก็คือ OM นั่นเอง แล้วมันต่างกันอย่างไรบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับมุมที่นำเสนอ

แล้วผมมอง OM อย่างไรบ้าง ผมว่าเมืองไทยไม่ได้ให้ความสำคัญ OM มากเท่าใดนัก ไม่เหมือน Marketing หรือ Finance แต่ในต่างประเทศ OM เป็นกลุ่มวิชาชีพที่แข็งแกร่งมาก เช่น APICS เมืองไทยเราเองก็ไม่ค่อยให้ความสนใจในสาขาวิชาชีพ OM เท่าใดนัก เราก็จัดการผลิตแบบลูกทุ่งไปเรื่อยๆ ผมมอง OM ว่าคือ การมอง Logistics และ Supply Chain แบบแยกส่วน (Reductionism) เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์ปัญหา แต่ไม่ได้แก้ไขปัญหาในองค์รวม วิชา OM เป็นเหมือนการไม่ได้มองช้างทั้งตัว แต่เป็นการมองแต่ละส่วนของช้าง แล้วแก้ปัญหาที่ละส่วน ทำให้ไม่ได้เห็นภาพช้างทั้งตัว ทำให้ปัญหาในภาพใหญ่ทั้งระบบไม่ได้รับการแก้ไข

วิชา OM เล่าถึงกระบวนการย่อยต่างๆ ใน Supply Chain ตั้งแต่ต้นจนจบก็จริง เป็นอย่างนี้มานานแล้ว แต่ไม่ได้บอกถึงการจัดการโซ่อุปทานโดยรวม แต่ระยะหลายปีที่ผ่านมา หนังสือ OM ทุกเล่มจะเพิ่มบทที่เป็น Supply Chain ขึ้นมาตอนท้าย ให้เห็นภาพจากภายนอก แต่กลไกภายในของการจัดการโซ่อุปทานนั้นไม่ชัดเจน ผู้เขียนหนังสือในวงการ OM มาเขียนหนังสือ Supply Chain ก็หลายเล่ม แต่ผมก็คิดว่ายังไม่ใช่ Supply Chain แต่มันเป็น OM แบบรวมมิตร

แล้วอ.วิทยา กล้าดีอย่างไร... ไม่ได้กล้าอะไรหรอกครับ แต่กล้าคิดสักหน่อย ผมเปรียบเทียบอย่างนี้ครับ การเรียน OM นั้นเป็นการเรียนในเรื่องการคิดและการวางแผนตัดสินใจเรื่องต่างๆ ในโซ่อุปทานที่เป็นเรื่องๆ ไป เรื่องต่างๆ ใน OM นั้นจบในบทเป็นบทๆ ไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจเสร็จสมบูรณ์ คุณทำ Forecast ได้ แล้วไง คุณวางแผนการผลิตได้ แล้วไง การวางแผนการจัดส่งได้ แล้วไง ธุรกิจจะเสร็จสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อลูกค้าได้รับสินค้าครบถ้วนและจ่ายเงินครบด้วย นั่นเป็นเป้าหมายของธุรกิจและโซ่อุปทาน มีใครบ้างเหล่าถึงกระบวนการทั้งหมดอย่างเชื่อมโยงกันเป็นระบบเดียวกันหรือไม่ ในความเป็นจริงนั้นมันเชื่อมโยงกันเป็นระบบเดียว เราถึงได้คุณค่าออกมา

เรียน OM ก็เหมือนเป็นการเรียนเครื่องมือหรืออุปกรณ์การทำอาหารในแต่ละชิ้น แต่ยังไม่ได้ทำอาหาร เรื่องของการจัดการโซ่อุปทานและลอจิสติกส์เป็นเรื่องของการรับ Order ว่าลูกค้าสั่งอาหารอะไรมา จะกินอะไร แล้วจึงไปทำอาหารด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์และส่งให้ถึงโต๊ะผู้สั่งด้วยอาหารที่มีรสชาดเยี่ยม การจัดการโซ่อุปทานและลอจิสติกส์จึงเป็นเรื่องของการต่อยอดจาก OM ด้วยการเชื่อมโยงการตัดสินใจต่างๆ ใน OM เข้าด้วยกันเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ผลของการตัดสินใจหนึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจถัดไปจนไปถึงการตัดสินใจที่นำส่งสินค้าและบริการให้ถึงมือลูกค้า

ผมยังมีประเด็นค้างอยู่หลายเรื่อง ที่อ.สิงหาชูประเด็นขึ้นมาระหว่างสนทนาที่ IE@CMU ครับ แล้วผมจะมาเขียนต่อครับ

อ.วิทยา

ปริญญาโท กับ แฟชั่นการศึกษา

บทความนี้ ผมเขียนถึงนักศึกษาปริญญาโท MS.LSCM#3 ของมหาวิทยาลัยศรีปทุมครับ นำมาแบ่งปันเพื่อเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่นๆ ด้วย


เรื่องการเรียนปริญญาโทด้านลอจิสติกส์ ที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นความเห็นชอบผมคนเดียวหรอก เพราะว่าหลายๆ คน รวมทั้งหลายๆ อาจารย์ก็เห็นด้วย ผมก็เลยได้ทำมาหากินกับแฟชั่นนี้ไปด้วย ประเด็นก็คือ แล้วพวกคุณจะหาประโยชน์จากแฟชั่นในการเรียนปริญญาโทได้อย่างไร แรกๆ การเรียนปริญญาโทก็อาจจะไม่ได้มีความจำเป็นเท่าไรในอดีต แต่เราต้องเข้าใจว่า แล้วมาเรียนกันทำไม ผมเข้าใจว่ามันจะต้องมีคนเริ่มกันมาก่อน เหมือนแฟชั่นเสื้อผ้าทั่วไป แฟชั่นก็คือแฟชั่น ไม่ผิดหรอก ต้องมีคนได้ประโยชน์สิ แล้วก็มีคนเรียนและก็มีคนสอนตอบรับอุปสงค์ มันก็สมเหตุสมผลดีอยู่แล้ว

โครงสร้างของการเรียน การสอนใน ป.ตรี ป.โท และ ป.เอก ของเรา มันน่าจะสมดุลกันดีอยู่แล้ว พอเรามีการเปิด ป.ตรีกันได้ง่ายขึ้น คนอยากจะไต่ขึ้นไปเรียน ป.โท กันมากขึ้น และตามด้วยป.เอก ตามลำดับ ดังนั้น มหาวิทยาลัยก็ตอบสนองด้วยหลักสูตรต่างๆ มากมาย ผมมีความเชื่อและมีประสบการณ์ว่า คนที่เรียนส่วนใหญ่จะเรียนเพื่อ “ใบปริญญา” ซึ่งก็ควรจะเป็นอย่างนั้น ถามผมว่าจำเป็นหรือไม่ ก็ต้องตอบว่าใช่ จริงๆ แล้วมันจำเป็น “ดูไปแล้วอาจจะเป็นการดูถูกคนเรียนไปหน่อยไหม อาจารย์วิทยา” ก็แล้วแต่จะคิดนะ บางคนทำมาฟอร์มสร้างภาพว่ามาเรียนเอาความรู้ ผมบอกกลับไปว่า ถ้าอย่างนั้นแล้ว พอเรียนจบ ก็ไม่ต้องรับปริญญานะ เอาแต่ความรู้ไป ทุกคนเงียบหมด สรุปแล้ว ทุกคนมาเรียนเพื่อปริญญาใบนั้น

แต่ผมก็ให้ทุกคนที่มาเรียนตั้งเป้าหมายในการเรียนว่า จะต้องได้ใบปริญญาเป็นอันดับแรก ประสบการณ์และความรู้ตามมาที่สอง และอื่นๆ อีกแล้วแต่คนเรียนจะตั้งเป้าหมาย เพราะว่าอะไร... หลายคนที่ผมรู้จัก เรียนปริญญาโทประมาณ 3-4 รอบ ในหลายหลักสูตรและหลายมหาวิทยาลัย กว่าจะได้ปริญญาโทสักใบ ด้วยความทรนงหรือมั่นใจอะไรก็ตาม ไม่เห็นด้วยกับหลักสูตร ไม่ชอบอาจารย์ มีอุดมการณ์ของตัวเองกับเรื่องที่ไม่สร้างประโยชน์ให้กับตัวเองหรือองค์กรธุรกิจ มันเสียทั้งเงินและเวลาไปเปล่าๆ

พวกเราต้องเข้าใจกระบวนการทางสังคมว่าเรามาเรียนกันทำไม อะไรเป็นประเด็นที่สำคัญในการศึกษา มีสิ่งหนึ่งที่ปรัชญาการศึกษาไม่ได้บอกไว้ คือ คนในสังคม เมื่อไม่รู้จักกัน เขาดูกันที่ว่าใครจบปริญญาอะไรมา จบมาจากที่ไหน เรียนมาทางด้านไหน เพราะว่าในชีวิตเราจะต้องเจอคนมากขึ้น ปริญญาจึงเป็นเครื่องมือในการกรองผู้คนที่จะเข้ามาร่วมงานกับเรา การเรียนหนังสือจึงเป็นแฟชั่นหนึ่งของคนในสังคมที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มคนหรือบุคคลที่เราต้องการจะคบหรือทำงานร่วมด้วยหรือหาประโยชน์ด้วย ผมเองก็เป็นหนึ่งที่ใช้แฟชั่นของการศึกษาในการชุบตัวเองให้เข้าถึงกลุ่มคนที่ผมต้องการทำงานด้วยหรือทำธุรกิจ เพราะว่าการใช้ชีวิตคือธุรกิจครับ เราหลีกเลี่ยงธุรกิจไม่ได้ ตัวอย่าง เช่น ป.ตรี ผมต้องเรียนวิศวะ นั่นเป็นความคิดตอนนั้น จบป.ตรีแล้วต้องไปเรียนเมืองนอก ต้องเป็นนักเรียนนอก พ่อผมก็ส่งไปครับ เสร็จแล้วต้องเรียนเอกต่อ ถ้าจะให้เท่ห์ต้องเป็นนักเรียนทุนรัฐบาลสิ แล้วผมก็ได้เป็นนักเรียนทุนรัฐบาล ดูสิผมทำตามแฟชั่นทั้งนั้น แต่ก็เป็นแฟชั่นกลุ่มเล็กๆ ที่ผมคิดว่าผมสามารถหาประโยชน์ได้ในอนาคต ผมคิดเป็นธุรกิจนะครับ

การเรียนหรือการศึกษาเป็นแฟชั่นที่ดีมาก เพราะได้ประโยชน์กับผู้ที่เรียน แต่ประเด็นคือ คุณจะได้ประโยชน์อย่างไรจากแฟชั่นเหล่านั้น หลายคนจบป.โทมาหลายใบ ถามว่าเรียนไปทำไมเยอะๆ คนนั้นก็ตอบไม่ได้มาก เพียงแต่แค่อยากรู้อะไรเพิ่มเติม ประเด็นคือ เมื่อคุณไม่รู้อะไรก็เลยต้องมาเรียนปริญญาโทอีกใบหรือ นั่นเป็นความคิดที่ไม่ถูกเลย แล้วปริญญาที่เคยเรียนมาอีกหลายใบนั้นล่ะ ทำไมไม่ได้ใช้ประโยชน์จากมันเลยหรือ เขาก็บอกว่ามันต่างสาขากัน สิ่งที่เรียนนี้มันเป็นเรื่องใหม่ นั่นก็แสดงว่าปริญญาโทที่เรียนมานั้นให้แต่เนื้อหาความรู้เท่านั้น ไม่ได้ให้ระบบคิด กระบวนการเรียนรู้และภาวะผู้นำ

ถ้าเราคิดกันได้อย่างนี้ ก็แสดงว่าระบบการศึกษาไทยยังไม่ได้ทำให้คนไทยมีการศึกษาที่แท้จริง การศึกษาไทยทั้งป.ตรี ป.โท และป.เอก ก็แค่ทำให้คนไทยที่เรียนในระบบการศึกษาไทย ได้แต่ “เรียน” และได้แค่ “รู้” เท่านั้น แต่ยังศึกษาไม่เป็นหรือเรียนรู้ไม่เป็น เมื่อมีปัญหาขึ้นมาก็จะต้องกลับเข้ามาสู่ระบบการศึกษาใหม่เพื่อรับการเรียนและรู้โดยการสอนของอาจารย์ในระบบปริญญาทั้งหลาย ซึ่งที่จริงก็ไม่ผิดหรอก แต่ผมว่า ที่จริงเอาแต่แค่หลักสูตรสั้นๆ ก็พอ แล้วรีบกลับแก้ปัญหาหรือซื้อหนังสือมาอ่านและหาหนทางแก้ปัญหาด้วยตัวเอง มีกระบวนการหาคำตอบด้วยตัวเอง ไม่ต้องให้ใครมากำหนดคำตอบหรือกำหนดชีวิตเรา แต่บางคนว่างจริงและขี้เกียจจะอ่านหรือศึกษาเองก็เลยมานั่งเรียนในระบบการสอนแบบเก่าและไม่เหงาดีด้วยมีเพื่อนๆ ร่วมรุ่นอีกต่างหาก ที่จริงการเรียนในแต่ละปริญญาแล้วแต่คนที่เรียนด้วย บางคนเรียนเอา Connection ก็เยอะไปครับ อย่างนี้ไม่เกี่ยวกับระบบการศึกษาและปรัชญาการศึกษา

เคยมีคนมาถามผมว่า “อาจารย์ครับ ผมจะเรียนลอจิสติกส์ที่ไหนดีครับ” ผมถามกลับว่า “แล้วจบอะไรมาล่ะ” เขาตอบว่า “จบ MBA มาครับ” แล้วผมก็ถามต่อไปว่า “แล้วทำไมถึงอยากจะมาเรียนล่ะ” เข้าตอบว่า “เจ้านาย กำลังสนใจเรื่องลอจิสติกส์อยู่ เพราะมีปัญหาด้านนี้ เจ้านายอยากจะนำมาใช้ ผมก็เลยคิดว่าน่าจะมาเรียนปริญญาโทด้านนี้” ผมสลดใจอย่างมาก อะไรกันเนี่ย แค่สนใจและมีปัญหาถึงกับต้องมาเรียนปริญญาโทกันใหม่เลยหรือ ถ้ายังไม่จบโทมาก่อนก็ไม่เป็นไร ใช้สาขาลอจิสติกส์ที่กำลังเป็นแฟชั่นอยู่นี้เป็นการเรียนป.โทไปก็ไม่เห็นเสียหายเลย แล้วเขาไม่คิดหรือว่าปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นจะต้องถูกแก้ไขโดยเร็วหรือไม่ การแก้ปัญหาคงจะรอไม่ได้เป็นปีๆ ถ้าคิดและเป็นกันอย่างนี้ จบปริญญาโทมาแล้วยังมีความคิดแค่นี้ ผมว่ามันใช้ไม่ได้ หลักสูตรที่เรียนมาเขาไม่ได้สอนให้คิดได้มากกว่านี้หรือ? เพราะว่าคนที่มาเรียนปริญญาโทนี้ ไม่ได้มาเรียนเอาความรู้ แต่ต้องได้กระบวนการเรียนรู้และภาวะผู้นำในการเรียนรู้ ความรู้ในแต่ละสาขาวิชานั้นเป็นแค่เครื่องมือในทำให้คุณรู้และเข้าใจถึงกระบวนการเรียนรู้และใช้บริบทในสาขาวิชาที่เรียนสร้างภาวะผู้นำในการนำเสนอหัวข้อวิจัยต่างๆ เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้เป็นปริญญาโทหรือเป็น Master

การเรียนปริญญาโทไม่ได้สร้างให้คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แต่ป.โท และป.เอก จะสร้างคุณให้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับตัวเองด้วยภาวะผู้นำ เมื่อคุณจบการศึกษาไปแล้ว สังคมมีองค์ความรู้ใหม่และไม่มีอาจารย์ที่ปรึกษาแล้ว คุณสามารถเรียนรู้องค์ความรู้ใหม่และใช้สิ่งที่เรียนรู้ใหม่นั้นให้เกิดผลประโยชน์ต่อชีวิตและองค์กรธุรกิจได้ และที่สำคัญ คุณไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้หรือศึกษาในสาขาที่จบป.โทมาก็ได้ สิ่งที่คุณมีอยู่กับตัวซึ่งไม่ใช้ ตัว Thesis คือ ความสามารถในการเรียนรู้หรือการศึกษาและภาวะผู้นำนั่นเอง เขาถึงเรียกคุณว่ามหาบัณฑิต หรือ Master

เมื่อคุณก้าวเข้ามาเรียนป.โท หรือ ป.เอก แล้ว คุณทำได้แค่ตามแฟชั่นการเรียนที่ได้ใบปริญญามาหรือ? แล้วคุณได้แฟชั่นในการเรียนรู้ด้วยตนเองรวมทั้งภาวะผู้นำในการเรียนรู้ไปด้วยหรือเปล่า? เห็นไหมครับว่า ตามแฟชั่นก็ไม่เห็นเสียหายเลย เพียงแต่คุณเข้าใจคุณค่าของแฟชั่นนั้นหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะใช้ประโยชน์จากแฟชั่นนั้นอย่างไร เพราะคนที่เข้าใจแฟชั่นและทำตามแฟชั่นก็คงจะไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร ฉันจะทำของฉันล่ะ ฉันได้ประโยชน์จากแฟชั่นของฉันแน่ๆ ในทางตรงกันข้าม พวกที่แค่ทำตามแฟชั่นไป แต่ก็ไม่รู้ว่าได้ประโยชน์อะไรนั้น ก็เสียเวลาไปเปล่าๆ จริงไหมครับ

เมื่อการเรียนปริญญาโทเป็นแฟชั่นไปแล้ว อาจารย์และหลักสูตรตามมหาวิทยาลัยต่างๆ ก็ตอบสนองกันได้เป็นอย่างดี รายได้ดีเป็นอย่างมาก ผมและเพื่อนๆ เองก็มีรายได้จากตรงนี้พอสมควร เอาแค่คนสอนนะครับ ไม่ได้พูดถึงหลักสูตรที่มีคนเรียนกันเป็นร้อยๆ คน จะได้กำไรมากขนาดไหน ผมกำลังตั้งคำถามว่า แล้วนักศึกษาได้ความเป็น Master ไปหรือไม่ หรือได้แค่ความรู้ใหม่ๆ อย่างเช่น สาขาลอจิสติกส์ ซึ่งผมก็ต้องตอบว่า มันเป็นแฟชั่นจริงๆ ครับ เขาเป็นกันทั้งโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหน ต่างก็เปิดสาขานี้กันทั้งนั้น ไม่ว่าที่อังกฤษหรืออเมริกาหลายคนมาเรียนลอจิสติกส์ก็เพราะแฟชั่น เห็นว่าเป็นเรื่องใหม่ ไม่อยากตกยุค เห็นใครๆ เขาก็จบมาทางด้านนี้ แต่บางคนอาจจะไม่เห็นด้วยกับคำกล่าวอ้างนี้ ใช่ครับ บางคนมาเรียนเพราะทำงานอยู่ในสาขานี้พอดีและอยากจะรู้เพิ่มเติม ก็เลยมาเรียนเพื่อจะรู้เพิ่ม ไม่เป็นไร เราไม่ว่ากัน ผมไม่รู้หรอกว่าใครๆ เขาคิดกันอย่างไร ผมเคารพความคิดเห็นส่วนตัวครับ

มาถึงตรงนี้แล้วเราจะทำให้แฟชั่นที่ต้องเรียนลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นมากกว่าแฟชั่นได้อย่างไร เราต้องคิดว่า เราจะหาประโยชน์จากแฟชั่นนี้ได้อย่างไร เราจะเข้าถึงแก่นของลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเพียงแค่นั้นหรือ เราจะต้องเข้าถึงแก่นของความเป็นปริญญาโทในรูปแบบของกระบวนการเรียนรู้และภาวะผู้นำผ่านบริบทของสาขาวิชาลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน และผมอยากจะบอกว่าแก่นของลอจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้นจับต้องไม่ได้ เพราะเนื้อหาวิชาทั้งหมดในการเรียนลอจิสติกส์และโซ่อุปทานไม่ได้เป็นของใหม่ แต่ความเป็นลอจิสติกสฺและโซ่อุปทาน คือ กระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองและภาวะผู้นำในการเปลี่ยนแปลงในปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนขึ้น ดังนั้นเมื่อโลกแห่งการดำเนินงานซับซ้อนขึ้น วิธีการคิดและการจัดการก็ควรจะซับซ้อนขึ้นตาม เพื่อทำให้เราสามารถจัดการกับบริบทหรือสิ่งแวดล้อมที่ซับซ้อนขึ้น ถ้ามาเรียนลอจิสติกส์แล้วก็เป็นเรื่องเก่าๆ เหมือนกับที่ทำงานอยู่ทุกวัน ก็ใช้ไม่ได้น่ะสิครับ มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเอาสิ่งง่ายพื้นๆ ไปแก้ไขหรือจัดการกับสิ่งที่ซับซ้อนหรือสิ่งที่ยากกว่า ลอจิสติกส์และโซ่อุปทานจึงเป็นมากกว่าเครื่องมือในการจัดการ แต่เป็นแนวคิดและวิธีคิดในการใช้เครื่องมือต่างๆ ในการจัดการ นั่นคือแก่นของลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน ซึ่งจะตรงกับมุมมองด้านปรัชญาของการเรียนปริญญาโทของผม

นั่นหมายความว่า เมื่อคุณจบปริญญาโทไปแล้ว คุณไม่ได้แค่นำเอาความรู้ที่ได้เรียนในหลักสูตรไปใช้งานหรือสร้างประโยชน์เท่านั้น แต่คุณจะต้องเอาประสบการณ์จากกระบวนการการคิด การนำเสนอปัญหา การหาเหตุและผลรองรับ การดำเนินการแก้ปัญหา การนำเสนอผล และการเผยแพร่การวิจัยและแก้ปัญหาต่างๆ ไปใช้ในชีวิตประจำวันในการทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ในสาขาเดียวกันหรือไม่ ยิ่งมีสาขาใหม่หรือองค์ความรู้ใหม่ คนที่จบปริญญาโทมาก็ยิ่งจะต้องใช้ประสบการณ์และความสามารถและภาวะผู้นำตรงนี้สร้างกระบวนการเรียนรู้ขึ้นมาให้กับตัวเองและองค์กรเพื่อการแก้ปัญหาและพัฒนาปรับปรุงอย่างยั่งยืน นี่ก็เป็นแฟชั่นที่คนที่จบปริญญาโทไปแล้วควรจะต้องสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นกับตัวเองและองค์กรธุรกิจที่ตัวเองทำงานอยู่

ทั้งหมดนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเป็นความผิดของผู้ที่ไปเรียนปริญญาโท แต่ผมว่ามันเป็นเรื่องของผู้ที่บริหารและการจัดการหลักสูตรและอาจารย์ผู้ที่สอนจะต้องคิดและปรับปรุงกระบวนการการจัดการหลักสูตร เป้าหมายและปรัชญาของหลักสูตรคืออะไร ผมว่าทุกหลักสูตรมีเขียนไว้ แต่ผมก็ไม่แน่ใจว่าผู้บริหารหลักสูตรเข้าใจในสิ่งที่เขียนไว้หรือไม่ แต่อาจจะเป็นเพราะคนเขียนหลักสูตรไม่ได้มาบริหารเอง การจัดการหลักสูตรจึงไมได้เป็นไปตามปรัชญาของหลักสูตร อาจารย์ส่วนใหญ่ รวมทั้งผมเอง ก็ไปได้แค่สอนหนึ่งวิชาหรือหลายวิชาเท่านั้น ที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของหลักสูตรไป เป้าหมาย คือ นักศึกษาต้องจบออกไป จะจบออกไปอย่างไร ผมก็ไม่รู้จริงๆ เพราะไม่ได้เป็นผู้จัดการหลักสูตร

แต่ถ้าหลักสูตรปริญญาโทในเมืองไทยเป็นมากกว่าแค่การเรียนหนังสือ สอบแล้ว ทำรายงานแล้วได้ปริญญา จะดีมากเลย เพราะว่าถ้าหลักสูตรปริญญาโทสามารถเปลี่ยนเป็นหลักสูตรการสร้างผู้นำได้ จะประเสริฐมาก เพราะว่าหลักสูตรปริญญาโทในปัจจุบันกลายเป็นหลักสูตรสร้างขยะทางวิชาการไปแล้ว โดยไปเน้นที่ผลงานทางิชาการที่ไม่ได้เอาไปใช้จริง เพราะมีเป้าหมายที่แค่ทำให้ผ่านกรรมการสอบเพื่อให้ได้ใบปริญญา หรือไม่ก็ให้อาจารย์เอาผลงานไปตีพิมพ์เป็นผลงานวิชาการเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ผิดหรอกครับ มันเป็นการ “สมยอม” กันทางวิชาการ ทุกคนได้ประโยชน์กันทุกฝ่าย ไม่มีใครเสียหาย ก็ไม่มีใครร้องเรียนกัน แต่เมื่อมองจากข้างนอกสำหรับคนที่ไม่มีผลประโยชน์ร่วมด้วยแล้ว ผมว่าเราก็สามารถสร้างประโยชน์จากระบบการศึกษาที่เป็นอยู่อย่างนี้ได้มากเลย โดยเฉพาะปริญญาโท ผมเองก็เห็นหน่วยงานรัฐในด้านการวิจัยหลายหน่วยก็พยายามที่จะใช้ประโยชน์จากระบบการศึกษาในระดับปริญญาตรีและโทนี้ แต่ก็อาจจะมองคนละมุมกับผมไปบ้าง แต่ที่สุดแล้วไม่ว่าจะมองในมุมไหน เราก็อยู่ในกระบวนการสร้างคุณค่าเดียวกัน คือ การทำหลักสูตรปริญญาโท เพียงแต่จะสร้างประโยชน์ในมุมต่างๆ ได้อย่างไร

ผมมองการเรียนหรือการทำหลักสูตรปริญญาโทเป็นการสร้างผู้นำ ผลผลิตสุดท้ายของปริญญาโท คือ มหาบัณฑิต หรือคนที่คิดเป็น คนที่มีภาวะผู้นำและมีกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ พวกเราไปเน้นที่ Thesis หรือการทำวิจัย ทั้งๆ ที่ก็มีประโยชน์เช่นกัน ก็แล้วแต่ว่าใครจะเอาไปหาประโยชน์ ว่าผลลัพธ์ที่ออกมาจะเป็นงานวิจัยเป็น Thesis หรือ บทความวิชาการที่เป็นเลิศ ที่จริงแล้วผมว่าต้องไปเน้นที่การสร้างผู้ที่ทำวิจัย ไม่ควรเน้นที่การเรียนเนื้อหาความรู้ เพราะว่าผู้ที่ทำวิจัยจะค้องมีภาวะผู้นำและมีกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ต้องเน้นที่สร้างคนทำวิจัยครับ สร้างคนที่มีความเป็นนักวิชาการในตัว แต่ไม่ได้เป็นนักวิชาการโดยอาชีพ เพราะว่าโลกปัจจุบันนั้น มีความรู้มากมายที่เราไม่สามารถเรียนรู้ได้ทั้งหมดภายในเวลา 1-2 ปี กับอีก 36-48 หน่วยกิตได้ ความรู้นั้นเป็นพลวัต (Dynamic) เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา แล้วเราจะเป็น Master ในเรื่องเหล่านั้นได้อย่างไร สิ่งที่หลักสูตรปริญญาโทน่าจะทำได้ คือ การพิสูจน์ตัวผู้เรียนเองว่า เขาเป็น Master ของตัวเอง และพิสูจน์ตัวเองด้วยกระบวนการเรียนรู้ในเรื่องราวต่างๆ ที่นำเสนอและดำเนินการรวมทั้งนำเสนอและเผยแพร่ เพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าตัวผู้เรียนมีความพร้อมในการเป็น Master ในการเรียนรู้เรื่องราวใหม่ๆ ในโลกของความเป็นจริงที่เป็นพลวัต แล้วลองมานึกถึงหลักสูตรปริญญาโทต่างๆ ที่เปิดอยู่เป็นอย่างไรกันบ้าง ผมรู้สึกเสียดายเวลาและทรัพยากรที่ทำให้ได้มาแค่กระดาษหนึ่งใบ แต่คนที่จบออกมานั้นสามารถเป็นผู้นำหรือมีกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองหรือไม่? นั่นยังเป็นคำถามของผมอยู่
หรือถ้ามองอีกด้านหนึ่ง อย่างน้อย คนที่จบปริญญาโทมานั้นจะต้องเป็นนักวิชาการหรือนักวิจัยให้กับองค์กรธุรกิจหรือให้กับตัวเองได้ ผลที่ได้ คือ กำไรในองค์กรธุรกิจ หรือมีชีวิตที่ดีกว่า ส่วนผู้ที่เป็นนักวิชาการโดยอาชีพนั้นก็ใช้หลักการเดียวกันกับผู้ที่จบ ป.โทมาเหมือนกัน แต่เป้าหมายก็ คือ ใช้กระบวนการเรียนรู้ของตนเองไปสร้างประโยชน์ให้กับองค์กรธุรกิจอื่นๆ เพราะว่านักวิชาการมีความสามารถตรงนี้มากกว่าคนในองค์กรธุรกิจ อีกทั้งปริญญาโทยังต้องสอนหรือฝึกให้คนมีความเป็นนักวิชาการในตัวมากขึ้น ดังนั้นเราก็คงหลีกหนีวิชาการและนักวิชาการไม่ได้เลย ยิ่งเรียนปริญญาโทแล้ว ก็ยิ่งต้องคิดอย่างนักวิชาการหรือนักวิจัยมากยิ่งขึ้น

ผมคิดว่า ตรงนี้น่าเป็นส่วนหนึ่งของความตกต่ำทางวิชาการของไทยในมุมมองแคบๆ ของวงการปริญญาโทที่เราได้เห็นและสัมผัส ซึ่งที่จริงแล้ววิชาการนั้นไม่ใช่อยู่ในมหาวิทยาลัยเสมอไป แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจของเราเสมอ และธุรกิจก็คือชีวิตของเราที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย การที่เราดำเนินชีวิตได้นั้น ก็เพราะเราทำธุรกิจชีวิตเพื่อให้เรามีชีวิตอยู่รอด ดังนั้นวิชาการต้องเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้นเราคงจะมองแค่มุมมองในปัญหาเรื่องการศึกษาในระดับปริญญาโทไม่ได้ เพราะมันเป็นแค่รูปแบบ (Pattern) เท่านั้น แต่เราต้องมองในลักษณะของโครงสร้าง (Structure) เราต้องไปแก้กันที่โครงสร้าง เราควรจะคิดกันเชิงระบบ (Systems Thinking) มากกว่านี้ แล้วผมจะมาเล่ามุมมองผมต่อนักวิชาการใหม่ในมุมที่กว้างขึ้นนะครับ แค่นี้คงจะยาวไปพอสมควรแล้วครับ ขอให้โชคดี

Cheers,

อ.วิทยา

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วิพากษ์ ทางออกวิกฤติโลจิสติกส์ไทย (บางประเด็น)

โดย อ.วิทยา สุหฤทดำรง

วิพากษ์นี้เป็นควันหลงจากงาน
ทางออกวิกฤติโลจิสติกส์ไทย ที่จัดเมื่อ วันที่ 22 กรกฎาคม 2553 ครับ แม้ผมไม่ได้ไป แต่ก็ได้รับฟังเทปสัมมนา จาก FM 87.5 สถานีวิทยุรัฐสภา และมีคนบอกผมมาว่า มีท่านวิทยากรท่านหนึ่ง พูดบนเวทีว่า ประมาณ เวลา 11.50 น ในวันนั้น สรุปใจความมาได้สั้นๆ ว่า “อาจารย์ด้านโลจิสติกส์มีจำกัด ทำให้อาจารย์ด้านนี้ต้องบินไปสอนหลายที่ ขับรถไปสอนหลายที่ จนไม่เต็มที่กับวิชาที่สอน และมหาวิทยาลัยก็อยากเปิดสอนด้าน Logistics ทั้งๆ ที่อยู่หลังเขา ไม่ต้องบอกว่ามหาวิทยาลัยไหนหรอก อาจารย์ด้านนี้ไม่มีประสบการณ์ด้านการปฏิบัติงาน ทำให้สอนแต่ทฤษฎี ซึ่ง Logistics ต้องการด้านทักษะที่สามารถนำไปใช้ได้ในธุรกิจ” บังเอิญผมไม่ได้มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นในช่วงเวลานั้น และด้วยความเคารพต่อวิทยากรท่านนั้น ก็เลยขอใช้เวทีนี้ในการแสดงความคิดเห็นในฐานะที่ถูกพาดพิงหลายอย่าง

ใช่ครับวิกฤติแน่ ไม่ใช่ลอจิสติกส์ที่วิกฤติ แต่เป็นเพราะความเข้าใจของเราต่อลอจิสติกส์ต่างหากที่วิกฤติ พวกเรายังไม่เข้าใจลอจิสติกส์จริงๆ ครับ ผมได้ยินได้ฟังเรื่องราวต่างๆ ของ “ลอจิสติกส์” ที่กล่าวกันว่ามีปัญหาหรือวิกฤติแล้ว ก็พบว่าความเข้าใจของพวกเรายังอยู่กับที่จริงๆ ไม่ได้พัฒนาหรือเปลี่ยนความคิดหรือมุมมองไปเลย ความเข้าใจเรื่องราวของลอจิสติกส์ไทยเรายังคงเหมือนเดิม ที่เกี่ยวข้องกับโครงสร้างพื้นฐาน และกระบวนการขนส่ง การ Shipping การออกของ การเอาของเข้าตู้และออกตู้ (ขอถอนหายใจดังๆ ครับ) ทำไมจึงต้องทำให้คนที่ไม่รู้จักลอจิสติกส์มาเข้าใจลอจิสติกส์ในรูปแบบนี้ด้วย แล้วใครเป็นคนบอกว่า นี่คือลอจิสติกส์ทั้งหมด ลองคิดดูสิครับว่า เครื่องดนตรีมีทั้งหลายชนิด ไม่ใช่ “เปียโนคือเครื่องดนตรีแต่เพียงอย่างเดียว” ถ้าคิดกันอย่างนี้ผม รับรองว่าวิกฤติจริงแน่ ที่สำคัญคือกลุ่มคนคิดเพียงมุมแคบๆ เพราะไม่เข้าใจ แต่ตั้งใจอย่างนี้กลับกลายเป็นคนที่มีส่วนในการวางแผนใน “ระดับชาติ” แล้วกิจกรรมลอจิสติกส์อื่นๆ ที่เหลือเล่าครับ ไม่มีความสำคัญหรือ ทำไมจึงไม่ให้ความสำคัญกล่าวถึงด้วยครับ มัวแต่คิดสร้างโครงสร้างพื้นฐานกันส่วนใหญ่ (Hard Side) แต่เรื่องของ “การเชื่อมโยง” (Soft Side) กลับไม่ได้สนใจกัน อย่างนี้แล้วจะปรับตัวกันได้อย่างไร

เพราะลอจิสติกส์เป็นโครงสร้างความคิดในการจัดการที่เตรียมพร้อมสำหรับการปรับตัวในยุดปัจจุบัน ไม่ใช่ลดต้นทุนกันแล้ว ถ้าปรับตัวได้ อยู่รอดขายของหรือสินค้าได้ ก็มีกำไรแล้ว ลอจิสติกส์ไม่ได้มีไว้ลดต้นทุน แต่มีไว้ทำให้ขายได้ เพื่อทำกำไร ความคิดที่ว่า “ต้นทุนที่ลดได้ คือ กำไรที่คืนมา” เป็นความคิดที่ขาดมิติและไม่เป็นแนวคิดเชิงรุกเลย ผมมองว่าเป็นแนวคิดแบบคนจนตรอกไปหน่อย ทำไมหรือครับ ก็ผมไม่คิดว่าเราจนตรอกไง แต่จนใจและจนความคิดไปหน่อยเท่านั้นเอง คิดดูสิครับว่า ลอจิสติกส์เป็นปัจจัยที่สำคัญต่อการแข่งขันได้อย่างไร ผมไม่เชื่อว่า ถ้าเราเข้าใจลอจิสติกส์ว่าคือแค่การนำสินค้าเข้าตู้ ออกตู้ การทำพิธีการศุลกากร การทำ Shipping การขนส่ง และคลังสินค้า คิดได้แค่นี้หรือ เราแข่งขันกันด้วยสินค้าและบริการครับ และก็ไม่ใครพูดถึงสินค้าและบริการกันเลย ขอโทษครับ ได้ฟังแล้วเหนื่อยจริงๆ ผมจะต้องออกแรงพูดหรือสอนให้มากขึ้นอีกเท่าใดหนอ

มันเป็นความคิดที่ผิดอย่างมากๆ ครับ ที่บอกว่ากิจกรรมที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมดนั้นคือ “ลอจิสติกส์” แล้วทำไมในอดีต ถึงไม่เรียกว่า “ลอจิสติกส์” แล้วตอนนี้กลับมาเรียกว่า “ลอจิสติกส์” กิจกรรมเหล่านี้ในอดีตเรียกกันอย่างไร ปัจจุบันก็ยังคงเรียกกันอย่างนั้น แต่พอมาเป็นลอจิสติกส์แล้ว มันจะต้องเป็นเรื่องที่พิเศษกว่ากิจกรรมเดิมใช่ไหมครับ ต้องไม่เหมือนเดิม ไม่ใช่มาบอกว่า ลอจิสติกส์ คือ การขนส่ง ระบบราง การออกของ การคิดค่าระวางสินค้า คลังสินค้า Single Windows และโครงสร้างพื้นฐาน โดยไม่อธิบายให้ละเอียดว่า อะไรคือลอจิสติกส์ หรือคนพูดนั้นไม่ได้รู้จริง แต่ไปฟังฝรั่งหรือประเทศที่พัฒนาแล้วมาพูดโดยไม่ได้ใช้การสื่อสารในการทำความเข้าใจให้ถ่องแท้แล้วถ่ายทอดออกไป เพื่อให้ทุกคนใช้ประโยชน์จริงๆ จากลอจิสติกส์ แล้วประโยชน์จริงจากลอจิสติกส์คืออะไร?

เรื่องลอจิสติกส์เป็นเรื่องของแฟชั่นก็จริง ผมเห็นแห่ตามกันไปเรียนมากมาย แล้วพวกเราแห่ตามกันใช้คำว่า “ลอจิสติกส์” นี้โดยไม่รู้ความหมายที่แท้จริง โดยที่ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองพูดหรือเข้าใจนั้น ใช่หรือไม่ใช่อย่างไร ทั้งๆ ที่ตัวเองอาจกำลังทำลอจิสติกส์อยู่แท้ๆ แต่ก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำลอจิสติกส์อยู่ นั่นก็เป็นเพราะว่าไม่รู้และไม่เข้าใจ กิจกรรมพื้นๆ ในการขนส่งหรือขนสินค้า ที่ผ่านพิธีการต่างๆ ได้กลายเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์ได้อย่างไร แต่ผมก็ไม่ได้เถียงว่ากิจกรรมเหล่านี้ไม่สำคัญนะครับ แต่มันก็ยังไม่ใช่ลอจิสติกส์ ให้ลองนึกถึงเครื่องเล่นที่ให้เสียงต่าง เช่น กีตาร์ กลอง ไวโอลีน เปียโน เครื่องดนตรีนี้เมื่อมีคนเล่นก็ให้เสียงออกมาเป็นเพลง เราเรียกว่า ผู้เล่นเครื่องดนตรีเหล่านี้ว่า นักกีตาร์ มือกลอง นักไวโอลีน นักเปียโน แต่เมื่อเอาคนเหล่านี้มารวมกันเป็นวงดนตรี เราเรียกคนเหล่านี้ว่า “นักดนตรี” คำว่า “ลอจิสติกส์” ก็เหมือนคำว่า “นักดนตรี” เมื่อเจอนักดนตรีสักคนในวงดนตรี เราก็ถามว่าเขาเล่นเครื่องดนตรีอะไร หมายความว่าเล่นดนตรีอะไรในวงดนตรี ดังนั้นเวลาเราพูดกันถึงเรื่องของนักดนตรี เราพูดกันแต่เรื่องนักเปียโนคนเดียวหรือเปล่า ความหมายของลอจิสติกส์นั้นไม่ได้เป็นกิจกรรมเดี่ยวๆ แต่จะต้องอยู่รวมกันเป็นกระบวนการ (Process) หรือเป็นโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่ “สร้างคุณค่าให้กับลูกค้า” หรือที่วงดนตรีบรรลงเป็นเพลงนั่นเอง ดังนั้น ลอจิสติกส์ไม่ใช่เป็นเหมือนเครื่องดนตรีชิ้นหนึ่ง แต่เครื่องดนตรีหลายชิ้นที่ถูกเล่นร่วมกันเป็นวงดนตรีนั้นด้วยโน้ตเพลงเดียวกัน ถ้าคิดอย่างนี้ได้ คุณก็รู้ว่าลอจิสติกส์มีมากกว่าที่กล่าวมาข้างต้น และลอจิสติกส์เป็นมากกว่าที่กล่าวมาด้วย

ลอจิสติกส์เป็นกิจกรรมที่เป็นมากกว่าการใช้ “แรง” ในการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บสินค้า แต่กลับเป็นการใช้ “สมองและปัญญา” ในการวางแผนและตัดสินใจเพื่อเคลื่อนย้ายและจัดเก็บอย่างบูรณาการตลอดโซ่อุปทาน ที่สำคัญคือเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า ดูสิครับ สิงคโปร์เก่งเรื่องลอจิสติกส์ พวกเขาเน้นการใช้สมองใช้ความคิดมากกว่าใช้แรง กล่าวคือ คิดก่อนจะไปทำ ที่สำคัญคือกิจกรรมการคิดและวางแผนในการเคลื่อนย้ายและจัดเก็บรวมทั้งการดำเนินการตามแผนจะเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์ ก็ต่อเมื่อการคิดและวางแผนนั้นเป็นผลมาจากการวางแผนร่วมกัน (Collaborative Planning) ของสมาชิกในโซ่อุปทาน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

ถึงตรงนี้มีใครงงไหมครับ แล้วโซ่อุปทานคืออะไร นั่นล่ะครับ คือปัญหาของประเทศ เพราะแค่ลอจิสติกส์เอง เป็นเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมาก็ยังเข้าใจกันผิดๆ แล้วโซ่อุปทานที่ซับซ้อนกว่ามาก จะใช้เวลาอีกกี่ทศวรรษ แล้วเราจะไปสู้เขาได้อย่างไรในตลาดโลก ทั่วโลกเขาก้าวข้ามผ่านลอจิสติกส์กันไปแล้ว ไทยเรายังมั่วๆ กับการลดต้นทุนลอจิสติกส์กันอยู่ มัวแต่จะสร้างหรือไม่สร้าง ทางเดี่ยว ทางคู่ ท่าเรือ สนามบิน แต่ละกระทรวงก็บอกว่าบูรณาการกัน แต่ในความเป็นจริงก็ยังไม่เห็นว่าจะเชื่อมโยงกันอย่างไร ที่สำคัญคือต้องเข้าใจโซ่อุปทานเสียก่อน ต้องรู้จักลูกค้าและสินค้ารวมทั้งการบริการด้วย ถึงจะกำหนดลอจิสติกส์ได้

เรื่องของลอจิสติกส์ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับทักษะในการปฏิบัติงานเท่านั้น แต่ทักษะที่สำคัญของลอจิสติกส์ คือ ทักษะในการคิดและวางแผนเพื่อนำไปปฏิบัติให้เกิดการตอบสนองต่ออุปสงค์ที่เป็นความต้องการของลูกค้า คุณอาจจะมีทักษะในการทำงานและปฏิบัติงานได้ดี คือ เคลื่อนย้ายและจัดเก็บ รวมทั้ง การขนส่ง ระบบราง การออกของ การคิดค่าระวางสินค้า คลังสินค้า Single Windows กิจกรรมเหล่านี้ยังไม่ใช่ลอจิสติกส์ มันเป็นแค่การปฏิบัติงาน กิจกรรมเหล่านี้สามารถเรียนรู้ได้ในบริบทของการทำงานครับ ไม่ต้องไปเรียนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย มีหน่วยงานหรือสมาคมวิชาชีพเป็นผู้สอนครับ พวกเราอาจารย์ที่สอนลอจิสติกส์กันนั้น เราสอนให้ทุกคนมองปัญหาออก สอนให้คิดเป็น วางแผนเป็น สอนให้บูรณาการเรื่องต่างๆ ให้ได้ สร้างมาตรฐานความคิดให้ได้ โดยส่งผลต่อการเคลื่อย้ายและจัดเก็บเพื่อตอบสนองต่ความต้องการของลูกค้า นั่นจึงเป็นลอจิสติกส์ครับ แต่ถ้าคิดไม่เป็น วางแผนไม่เป็น และมีทักษะในการทำงานเหมือนเดิม โดยที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะไม่เคยเข้าใจการเปลี่ยนแปลง ไม่มีภาวะผู้นำในการเปลี่ยนแปลง ทักษะการทำงานเหล่านี้เหล่านั้นก็ไม่มีประโยชน์ต่อการดำเนินงานในอนาคต เพราะว่างานประเภทนั้นจะกลายเป็นอัตโนมัติไปหมดในอนาคต

ทักษะที่สำคัญในการจัดการลอจิสติกส์ คือ การคิดและวางแผนเพื่อให้เกิดความเหมาะสมที่สุด หรือ Optimization ภายใต้ข้อจำกัดที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวนี้ล่ะครับที่สามารถทำให้เรามีกำไรได้ ทำให้เราลดต้นทุนได้ ผมอยากรู้จริงๆ ว่า คนที่ชอบบอกว่าทำลอจิสติกส์แล้วลดต้นทุนนั้น เขาทำกันอย่างไร นอกจากลดขั้นตอนแล้ว ยังต้องทำอะไรอีก พวกที่ลดขั้นตอนนั้น ผมเรียกว่า “โจรกลับใจ” คือ เริ่มมีสติขึ้น รู้ว่าไม่ควรทำในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ อย่างนี้เป็นเรื่องง่ายๆ ที่ควรจะปลูกฝังไว้ตั้งแต่แรกๆ ของการทำงานหรือการดำรงชีวิตเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่เพิ่งมารู้ก็สายไปเสียแล้ว บริษัทในระดับ World Class ที่ทำลอจิสติกส์พวกเขาทำกันมากกว่านี้มากนัก ก็ต้องถามกันว่า แล้วนักลอจิสติกส์ทั้งหลายรู้จัก Optimization กันหรือไม่ หรือถ้าคุณเป็นนักจัดการแล้วไม่รู้จัก Optimization แล้วล่ะก็ คุณไม่ใช่นักจัดการ และคุณก็ไม่ใช่นักลอจิสติกส์

ส่วนที่ว่ากันถึงอาจารย์ทั้งหลายที่วิ่งรอกกันสอนในเมืองไทย ขึ้นเครื่องบินกันสอนกันให้วุ่นนั้น ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นและยังมีอีกหลายท่าน ถ้าผมมีโอกาสอีกก็จะพยายามไปสอนให้เยอะๆ ใครจะว่าอย่างไรก็ไม่สน เพราะว่าจะได้คนไทยเข้าใจกันมากขึ้น จะได้ทำลอจิสติกส์กันจริงๆ ไม่ใช่แค่ทำการขนส่ง ระบบราง การออกของ Shipping เอาของเข้าตู้และเอาของออกจากตู้ การคิดค่าระวางสินค้า คลังสินค้า Single Windows หรือโครงสร้างพื้นฐาน เนื่องจากลอจิสติกส์เป็นมากกว่านั้นมากนัก

พวกเราอาจารย์นั้นสอนกันจริงๆ สอนกันด้วยใจเพราะอยากให้รู้ พวกเราเป็นนักวิชาการโดยอาชีพ ไม่ได้สอนกันเพราะสร้างภาพลักษณ์ให้ตัวเองดูดีในสังคม ไม่ว่าจะอยู่หลังเขาหรือชายแดน พวกเราหลายๆคนก็ไปสอนมาแล้ว ถ้าพวกเขาที่เรียนจากพวกผมไปใช้ประโยชน์ในองค์ความรู้เหล่านั้นได้ มันจะผิดอะไร มหาวิทยาลัยเหล่านั้นถึงแม้จะอยู่ชายแดน จะหน้าเขาหรือหลังเขา ก็ขึ้นอยู่กับคนมอง แต่มหาวิทยาลัยเหล่านั้นก็ไม้ได้ด้อยความรู้เลย กลับพยายามสร้างบุคลากรและหาผู้ที่รู้มาถ่ายทอดเพื่อให้เกิดการนำความรู้มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในพื้นที่และจังหวัด ไม่เห็นจะเสียหายตรงไหน ผมเองสนับสนุนทุกอย่างครับ

อีกอย่างครับที่ผมโดนด่าเป็นประจำ คือ ทำไมไม่สอนปฏิบัติล่ะ อาจารย์ทำเป็นไหม คำตอบคือ ทำไม่เป็นและจะไม่ทำ เพราะผมไม่ได้ใช้แรงงานหรือปฏิบัติการ ผมหากินกับการสอนคนให้คิดและทำให้เป็น การปฏิบัติที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอนนั้นเป็นการปฏิบัติที่สร้างขึ้นมาสนับสนุนการคิดหรือทฤษฎีทั้งหลายเพื่อให้เข้าใจ เป็นตัวอย่างในการนำทฤษฎีสู่การปฏิบัติ ไม่มีการหลักสูตรเรียนการสอนที่ไหนเขาลงลึกเพื่อการปฏิบัติจริงหรอก แต่มีให้เห็นเพื่อที่จะสนับสนุนทฤษฎีเท่านั้น เพราะอะไรล่ะครับ ก็เพราะการปฏิบัติจริงมี “บริบท” ที่แตกต่างกัน มีการ “เปลี่ยนแปลง” อยู่เสมอ ไม่เหมือนเดิมตลอด ผู้ปฏิบัติจะต้องมีความเข้าใจในสิ่งที่ทำหรือปฏิบัติอยู่ ไม่ใช่แค่รู้หรือจำได้แล้วก็ทำอย่างเดิมไปตลอด จึงทำให้การปฏิบัติมีปัญหา สำหรับคนที่มีอาชีพสอนกันจริงๆ ในมหาวิทยาลัยนะครับ ซึ่งไม่ใช่อาจารย์พิเศษผู้เป็นนักปฏิบัติ เขาเหล่านี้จะสอนภาพรวมและหลักการเพื่อให้ผู้ที่เรียนสามารถไปปฏิบัติใช้งานจริงในบริบทต่างๆ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจในทฤษฎีและบริบทต่างๆ ในการปฏิบัติของผู้ที่เรียนมา ถ้ามีปัญหาในการปฏิบัติก็ต้องโทษผู้ปฏิบัติ แต่ถ้าผู้ปฏิบัติทำถูกแล้ว ก็ต้องโทษผู้บริหารหรือผู้นำองค์กรที่ไม่มีวิสัยทัศน์มากพอในการที่จะเปลี่ยนแปลงขั้นตอนการปฏิบัติให้ดีขึ้น ทั้งๆ ที่ผู้นำเหล่านี้ก็ร่ำเรียนมากันตั้งมาก อย่างน้อยก็ปริญญาโท แต่ไม่เข้าใจทฤษฎีและประยุกต์ไม่เป็น

ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้น มักเกิดขึ้นในขั้นตอนของการปฏิบัติ มันไม่เกี่ยวกับอาจารย์ที่สอนในมหาวิทยาลัยว่าได้สอนปฏิบัติหรือไม่ มันเกี่ยวกับผู้ที่เป็นเจ้าของบริบทหรือพื้นที่นั้นสามารถสอนงานหรือให้รายละเอียดการปฏิบัติการได้ครบถ้วนหรือไม่ ถ้าไม่เช่นนั้น ผู้ปฏิบัติก็จะต้องเตรียมตัวเองในสาขาวิชาชีพนั้นๆ โดยเฉพาะ ซึ่งมีโรงเรียนเฉพาะทางสอน หรือสมาคมวิชาชีพต่างๆ ที่ให้ความรู้ในขั้นตอนการปฏิบัติงานต่างๆ อยู่แล้ว ไม่ใช่หน้าที่ของอาจารย์มหาวิทยาลัยที่จะต้องมาสอนในขั้นตอนปฏิบัติเหล่านี้ เพราะว่าอาจารย์สอนนักศึกษาจำนวนมาก นักศึกษาแต่ละคนก็ไม่รู้อนาคตว่าจะไปทำงานที่ไหนบ้าง ในสาขาการปฏิบัติงานอะไรบ้าง

แต่ที่แน่ๆ เมื่อเรียนจากมหาวิทยาลัยแล้วจะต้องเข้าใจในทฤษฎีและหลักการเป็นเบื้องต้นพร้อมที่จะประยุกต์ใช้งานในบริบทของธุรกิจต่างๆ ให้ดีขึ้นจนเป็นขั้นตอนปฏิบัติงานใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพกว่า มันต้องตรงนี้ ไม่ใช่มาบ่นว่า อาจารย์มหาวิทยาลัยไม่สอนปฏิบัติ ผมสอนให้คนคิดเป็นและไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปฏิบัติงาน โดยทำให้ดีกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า และในหลายๆ ครั้งถ้าเขาเหล่านั้นไม่สามารถประยุกต์ใช้ความรู้เหล่านั้นได้ ก็เพราะท่านผู้ปฏิบัติงานเดิมนั้นหรือท่านผู้บริหารใจไม่กว้างพอไม่อยากเปลี่ยน อยากที่จะทำเหมือนเดิม เมื่อเป็นเช่นนี้การปฏิบัติงานจึงวิกฤติไงครับ ไม่ได้เกี่ยวกับการวิ่งรอกสอน ถ้าไม่สอนแล้วใครจะรู้ได้เล่า ใช่ไหมครับ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกคนสอนได้ครบถ้วนนะครับ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้เรียน จริงไหมครับ

สำหรับมหาวิทยาลัยหลังเขานั้น ผมก็ไปสอนมาหมดแล้วทุกมหาวิทยาลัยในจังหวัดชายแดนนั้น ผมยังให้กำลังใจเขาเหล่านั้นอยู่เสมอนะครับ ถึงแม้จะเป็นชายแดนก็ตาม แต่หัวใจอินเตอร์นะครับ และที่สำคัญ มันเป็นจุดผ่านแดนที่สำคัญที่มีกิจกรรมลอจิสติกส์อยู่ รวมทั้งโอกาสทางธุรกิจลอจิสติกส์ต่างๆ อีกมาก มันจึงกลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งที่เชื่อมโยงกับประเทศจีน ถ้าเราไม่ให้กำลังใจหรือสนับสนุนแล้ว คงจะไม่ได้ ยิ่งหลังเขาหรือหน้าเขาก็ไม่ใช่เป็นประเด็นหรอก แต่เขาอยู่ในพื้นที่และทำหน้าที่ให้ความรู้และพัฒนาความคิดของคนในพื้นที่ ผมสนับสนุนเต็มที่ ยิ่งอยากเรียนผมก็ยิ่งไปสอน ผมก็ไปสอนหมดแล้วประเภทชายแดนทั้งหลาย ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเรียนรู้ และผมว่าเขาต้องเรียนรู้เพื่อนำไปปฎิบัติให้ถูกต้อง พวกที่อยู่ในเมืองกลับไม่เห็นจะกระตือรือร้นเสียเท่าไหร่กันนัก

ผมคิดว่า ที่วิกฤติกันนั้น มันวิกฤติเฉพาะที่ แล้วอย่ามาเหมารวมว่าลอจิสติกส์ทั้งหมดจะวิกฤติ และที่วิกฤตินั้นก็จะวิกฤติตอนทำ เพราะว่าไม่ได้คิดหรือวางแผนมาก่อน และต้องคิดร่วมกันและวางแผนร่วมกันแบบการจัดการโซ่อุปทาน ไม่ใช่พอทำอะไรไม่ได้แล้วก็มาอ้างว่าวิกฤติ ทำไม่ได้แล้ว เรื่องอย่างนี้จะต้องคิดเสียก่อนว่า ที่ทำลงไปนั้นผ่านกระบวนการ “คิดและวางแผนร่วมกัน” หรือไม่เป็นสำคัญ ผมว่าอาจารย์ที่ไปสอนทั้งก็พยายามที่จะสอนหลักคิดและทฤษฎีเพื่อจะไปปฏิบัติให้ได้ แต่เรื่องของลอจิสติกส์เป็นเรื่องการฝึกคิดและวางแผนระบบการไหลของคุณค่าในโซ่อุปทานโดยเฉพาะการคิดร่วมกัน เพราะว่าคนลอจิสติกส์ไม่ใช่ Operator ในการขนส่ง ระบบราง การออกของ การเอาของเข้าตู้และออกจากตู้ การคิดค่าระวางสินค้า คลังสินค้า Single Windows แต่เพียงเท่านั้น แต่นักลอจิสติกส์เป็นคนวางแผนและประสานงานกับทุกส่วนในโซ่อุปทาน กรุณาอย่าเอามารวมกันอย่างมั่วๆ และอย่าคิดว่าสิ่งที่ทำๆ กันมาคือ “การปฏิบัติ” เพราะว่าการปฏิบัติที่ดีจะต้องมีหลักวิชาการที่ถูกต้องรองรับ

ดังนั้นใครที่เป็นนักปฏิบัติที่ดีจึงสามารถอธิบายหลักการที่อยู่เบื้องหลังได้ หลักวิชาการที่ถูกต้องจะต้องมาก่อนและเป็นตัวกำหนดการปฏิบัติ เพราะว่าเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง นักปฏิบัติที่มีหลักวิชาการจะปรับตัวได้ดีกว่า ต้นทุนจึงต่ำกว่า และรักษาลูกค้าได้ ส่วนพวกที่ทำมาแต่อดีต ก็ต้องพยายามทดลองทำต่อไปตามประสบการณ์ที่เคยทำ โดยไม่รู้ถึงหลักการ ถ้าเป็นอย่างนี้ ต้นทุนก็จะสูง ส่งของไม่ทัน ที่ถูกแล้วควรจะต้องคิดก่อนแล้วจึงทำ ไม่ใช่ลองทำ แล้วทำได้ จึงไม่ได้คิดหรือคิดไม่เป็น ปกติแล้วคุณสอนคนให้ทำเลยหรือว่าสอนให้คิดก่อนแล้วค่อยทำ และทำให้ดีกว่า เร็วกว่า ถูกกว่า คนลอจิสติกส์และโซ่อุปทานต้องคิดอย่างนี้ครับ ไม่ใช่เอาแต่คิดถึงแค่กิจกรรมการขนส่ง ระบบราง การออกของ การเอาของเข้าตู้และออกตู้ การคิดค่าระวางสินค้า คลังสินค้า Single Windows ซึ่งไม่ใช่ลอจิสติกส์ ผมคิดแล้วอยากร้องไห้ ทำไมเราคิดกันได้แค่นี้

และยิ่งคิดกันว่า ลอจิสติกส์ คือ ความสามารถในการแข่งขันของประเทศด้วยแล้ว ก็ยิ่งคิดผิดกันไปใหญ่ ลองคิดดูว่า คนจ่ายเงินเพื่อฟังเพลงที่เส่นจากทั้งวงดนตรี แต่ต่างคนต่างเล่น เล่นเก่งอยู่คนเดียว แล้วจะเป็นเพลงหรือไม่ ผมเชื่อเสมอว่า
“ลูกค้าต้องการซื้อสินค้า ไม่ได้ซื้อลอจิสติกส์” และต้องเข้าใจว่าถ้าไม่มีลอจิสติกส์แล้ว สินค้าก็ผลิตไม่ได้ สินค้าก็จะไม่ถึงมือลูกค้า ถ้าจะ Focus จะต้องมุ่งเน้นที่ “โซ่อุปทานของ Product” ที่จะต้องใช้ระบบลอจิสติกส์ในการนำส่งวัตถุดิบไปให้ถึงมือผู้ผลิต และนำสินค้าให้ไปถึงมือลูกค้า สำหรับเรื่องต้นทุนยิ่งไม่ต้องพูดถึง ประเด็นอยู่ที่ว่าเราต้องลดต้นทุนด้วยจิตวิญญาณ ด้วยการไม่ทำพลาด ด้วยการไม่ทำในสิ่งที่ลูกค้าต้องการ ไม่ใช่ลดต้นทุนด้วยลอจิสติกส์ มันเป็นเรื่องตลกมากๆ เพราะว่าในคำนิยามไม่ได้พูดถึงเรื่องลดต้นทุนเลย ถ้าทำถูกเรื่อง ต้นทุนต่ำ ถ้าทำผิดเรื่อง ไม่ได้วางแผน ต้นทุนก็สูง เมื่อสถานการณ์รอบๆ เปลี่ยนแปลงไป ความต้องการลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป โซ่อุปทานก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป การผลิตก็เปลี่ยนแปลง ลอจิสติกส์ก็ต้องเปลี่ยนตามไปด้วย ลอจิสติกส์จึงเป็นเรื่องการจัดการการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การขนส่ง ระบบราง การออกของ การเอาของเข้าตู้และออกจากตู้ การคิดค่าระวางสินค้า คลังสินค้า Single Windows หรือโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่ง “ไม่ใช่” ลอจิสติกส์ครับ แต่ “เป็นส่วนหนึ่ง” ของระบบลอจิสติกส์และการจัดการลอจิสติกส์ ซึ่งยังเป็นส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานและการจัดการโซ่อุปทาน งงไหมล่ะครับ ยังมีอีกเยอะครับ

พอแค่นี้นะครับ ยิ่งเขียน ยิ่งโกรธ ยิ่งสงสารตัวเอง วิกฤติมากๆ มันเป็นความเข้าใจของพวกเราเองที่วิกฤติ

แล้วเจอกันใหม่ครับ

อ.วิทยา
24 ก.ค. 2553

วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Shanghai Expo 2010 - Part 4

ผมเล่าเรื่องควันหลงจากการไปดูงาน World Expo ถึงตอนนี้ก็ตอนที่ 4 แล้วครับ

พวกเราอุตส่าห์ไปดูงาน World Expo แล้วก็น่าจะสังเกตเรื่องการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานในของการจัดงานบ้าง เพราะทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในรูปแบบสินค้าและบริการทุกอย่างนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากโซ่อุปทาน (Supply Chain) เมื่อเรามีความอยากได้ เราต้องหาอะไรที่เป็นคุณค่า (Value) เทียบเท่ากันไปแลกกับคุณค่าที่ต้องการ พวกเราไปดูงาน Expo แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ได้รับจากงาน Expo จะได้มาฟรีๆ เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีแน่ๆ อยู่แล้ว ต้องนำอะไรมาแลกไปเสมอ ผมและคณะทัวร์ต้องเอาเงินมาแลกกับการเดินทาง การกินอยู่ การได้เข้าชมงาน World Expo ของที่ระลีกที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ให้เราลองนึกดูว่า กว่าจะมาเป็นงาน Expo นั้น ประเทศจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพหรือเจ้าของงานจะต้องทำอะไรมาก่อนนั้นบ้าง มีใครมาร่วมกันทำอะไรบ้าง นั่นเขาเรียกกันว่า “โซ่อุปทาน” ครับ

การจัดงาน World Expo นั้นเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เหมือนการจัดงานกีฬาโอลิมปิค ประเทศส่วนใหญ่จัดงานแล้วมักจะได้กำไร บางประเทศจัดงานไปแล้วก็ขาดทุนก็มีให้เห็น (อย่างเช่น กีฬาโอลิมปิกที่เมืองเอเธนส์) ประเทศที่เป็นเจ้าภาพงาน World Expo ก็ต้องคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในการจัดการงานเช่นกัน แต่เมื่อมองกันลึกๆ แล้ว สิ่งที่ประเทศจีนน่าจะได้จากงาน World Expo คือ การสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับประชาชนของเขา ผู้นำจีนในยุคนี้ลึกล้ำอย่างยิ่ง ประเทศจีนสร้างชาติด้วยแนวทางในการสร้างคนของเขาด้วยการให้ความรู้ และสร้างความยิ่งใหญ่และความเป็นจริงในปัจจุบันให้ประจักษ์ต่อชาวโลก (ไม่ใช่มัวแต่หลงกับความยิ่งใหญ่ในอดีตเหมือนบางประเทศ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าจนจะแย่อยู่แล้ว) ซึ่งเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนจีนของเขา เมื่อผมไปเมืองจีนแต่ละครั้งในแต่ละเมืองนั้น ผมตื่นเต้นเสมอเมื่อได้เห็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของจีน และเศร้าใจอย่างยิ่งเมื่อย้อนดูการพัฒนาของประเทศไทยเรา ก็ได้แต่โทษตัวผมเองว่า ผมเองยังทำวันนี้ดีไม่พอ ประเทศเราถึงเป็นอย่างนี้ อย่าไปโทษคนอื่น เพราะถ้าเราทุกคนโทษกันไปมาแล้ว ก็คงจะไม่มีใครที่อยากจะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นพวกเราต้องไม่หมดกำลังใจนะครับ แต่...ต้องระลึกเสมอว่าในน้ำนั้นไม่มีปลาแล้ว ในนานั้นก็ไม่มีข้าวแล้วเช่นกัน เราจะต้องคิดว่าชีวิตข้างหน้านั้น มันไม่เหมือนอดีต

ประเทศจีนพยายามที่จะประกาศให้โลกรู้ถึงการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของประเทศจีน ส่วนหนึ่งของการประกาศศักดานั้น คือ การจัดกีฬาโอลิมปิกที่ผ่านมา ซึ่งประเทศจีนจัดได้ยิ่งใหญ่มากๆ เท่านั้นยังไม่พอ อีก 2 ปีต่อมาก็ยังมีการจัดงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนด้วย สำหรับงาน World Expo นี้ ผมถือว่า จีนได้สร้างห้องเรียนทางนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งได้รวบรวมเอาสิ่งที่ดีๆ และ ใหม่ๆ เป็นนวัตกรรมของโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาไว้ที่เซี่ยงไฮ้ เป็นเวลา 6 เดือน ให้คนจีนหลายสิบล้านๆ คนได้เข้าชมงาน ได้เรียนรู้และสัมผัสถึงโลกอนาคตที่ประเทศจีนจะต้องก้าวไปให้ถึง ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและสังคมในงาน World Expo จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานในอนาคตของมนุษยชาติ

การป้อนความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ ของโลกให้กับประชากรของประเทศจีน น่าจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญของการจัดงาน World Expo ซึ่งเป็นคุณค่าในรูปแบบของการบริการ (Services) ให้ความรู้และข้อมูลข่าวสาร แต่กว่าจะได้มาเป็นงาน World Expo ได้คงต้องมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ มากมาย ตั้งแต่คณะกรรมการจัดงาน เจ้าภาพผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วมแสดงในงาน World Expo ผู้รับช่วงในการจัดงานในส่วนของกิจกรรมต่างๆ ผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงานต่างๆ (Sponsor) และที่สำคัญ คือ ผู้ที่เข้ามาชมงาน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เราเรียกกันว่า หุ้นส่วนในโซ่อุปทาน (Supply Chain Partner) การบริหารและจัดการงาน World Expo จึงเป็นเรื่องของการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานล้วนๆ เพียงแต่เราอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับคำและความหมายเหล่านี้เท่านั้นเอง

ในปัจจุบัน เรื่องของการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นเรื่องปกติของการจัดการเรื่องราวต่างๆ ในธุรกิจในปัจจุบัน และยิ่งถ้าแนวคิดและประเด็นในการจัดการลอจิสติกส์และโซอุปทานเป็นที่รู้จักกันในวงการทั่วไปแล้ว แนวคิดนี้จะทำให้เราสื่อสารกันในมุมมองที่เป็นองค์รวม (Holistic) หรือในมุมของบูรณาการ (Integration) เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่พวกเราจะต้องคำนึงถึง คือ กิจกรรมหรือขั้นตอนการทำงานในระดับการปฏิบัติการ (Operational) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะคุณค่าหรือประโยชน์ที่ลูกค้าต้องการจะถูกสร้างขึ้นมาจากขั้นตอนการดำเนินงานในระดับปฏิบัติการ (Operational) นี้ ทรัพยากรที่ลงทุนไปในการสร้างคุณค่าหรือการจัดงานอยู่ในระดับปฏิบัติการทั้งสิ้น ลูกค้าหรือผู้ที่เข้าชมงานจะผู้ที่สัมผัสหรือได้รับคุณค่าหรือประโยชน์จากการจัดงานนี้ ดังนั้นงาน World Expo จะประสบผลสำเร็จได้นั้น จะต้องมีลูกค้าคนชมงานเป็นไปตามจำนวนที่คาดหวังไว้ และผู้เข้าชมงานได้รับความพึงพอใจจากการเข้าชมงานด้วย

การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ของงาน World Expo คือ การบูรณาการการจัดการลอจิสติกส์ (Integrated Logistics Management) ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย ตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ การเข้าชมงานของผู้เข้าชมงานที่หลั่งไหลมาจากทั่วประเทศจีนและทั่วโลก การเดินทางเข้ามายังเมืองเซี่ยงไฮ้โดยเส้นทางต่างๆ การเข้าพักตามโรงแรมต่างๆ ทั่วเมืองเซี่ยงไฮ้ การเดินทางจากที่พักโรงแรมไปยังงาน World Expo บริเวณทางเข้าชมงาน ตั้งแต่เดินเข้าประตูจนถึงเดินออก การเข้าชม Pavilion ต่างๆ การจราจรขนส่งภายในบริเวณงาน การอำนวยความสะดวกต่างๆ จนถึงทางออก ตลอดเวลาของการเข้าชมงานอย่างทั่วถึง ทำอย่างไรให้คุ้มค่ากับการลงทุนมาชมงาน World Expo ถ้าสังเกตดูดีๆ นะครับ กว่าจะครบกระบวนการเข้าชมงานนั้น มีกลุ่มคนกลุ่มต่างๆ ที่มาร่วมกันทำให้เราเข้าชมงานได้ตลอดช่วงเวลาการชมงาน กลุ่มบุคคล กลุ่มหน่วยงาน กลุ่มบริษัท มหานครเซี่ยงไฮ้ องค์กรเหล่านี้แหละครับที่ผมเรียกว่า “โซ่อุปทาน” หรือ Supply Chain หรือเราอาจจะมองว่าเป็นลักษณะ Team ก็ได้ แต่ Supply Chain นั้นเป็นมากกว่าทีม (Team) เพราะความเป็น Supply Chain จะทำให้ Team สามารถปรับตัวได้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ ถ้ามีความเป็น Supply Chain ก็จะต้องมี Team แต่ถ้าเป็น Team แล้ว อาจจะไม่มีความเป็น Supply Chain ก็ได้ โซ่อุปทานต้องทำให้ได้ ดีกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า อยู่เสมอและตลอดไปเพื่อความรู้รอด

คราวนี้ลองนึกดูว่ากว่าจะมาเป็นงาน World Expo ได้มีใครอื่นๆ เกี่ยวข้องบ้าง คนแต่ละนั้นจะมีประโยชน์หรือคุณค่าต่อการจัดงานอย่างไรบ้าง ตั้งคนคุมคิวที่ประตูหน้างาน คนเก็บขยะทั่วงาน คนทำความสะอาดในห้องน้ำ หรืออาสาสมัครหนุ่มสาวในงาน World Expo ที่มาช่วยเหลือแนะนำคนที่มาชมงาน และอีกหลายๆ คนที่มารวมตัวกันเป็นโซ่อุปทานของงาน World Expo แล้วให้เราลองนึกดูว่าถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานงาน World Expo เกิดขาดไปหรือ มีปัญหา เราในฐานะลูกค้าคงจะไม่ได้รับความสะดวกในเชิงลอจิสติกส์ที่ต้องเคลื่อนตัวไปยังจุดต่างๆ ที่ต้องการภายในงาน

คุณค่า (Value) ของงาน Expo คือ การที่ผู้เข้าชมงานได้รับสารสนเทศ (Information) ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาไปในแนวคิด Better City, Better Life ใน Pavilion ต่างๆ ดังนั้น ผู้เข้าชมงานจะต้องเดินหรือเคลื่อนย้ายตัวเองไปตาม Pavilion ต่างๆ ที่ต้องการได้ สถานที่ใดที่อยู่ห่างออกไป ทางงาน Expo ก็ได้จัดระบบลอจิสติกส์ที่เคลื่อนย้ายผู้เข้าชมงานด้วยยานพาหนะในการรับส่งภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าขนาด 8 ที่นั่ง รถบัสไฟฟ้า เรือ Ferry ข้ามแม่น้ำระหว่างฝั่งเมืองเก่าและเมืองใหม่ ทำให้ลอจิสติกส์ของผู้ที่เข้าชมสามารถไหล (Flow) ไปยังเป้าหมายได้อย่างถูกเวลา ถูกสถานที่ และด้วยต้นทุนที่ต่ำ

โซ่อุปทานหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องของการจัดงาน World Expo จึงต้องพยายามจะเตรียมทรัพยากรต่างๆ ที่รองรับการเคลื่อนย้ายตัวเองของผู้เข้าชมงาน ป้ายบอกทางต่างๆ ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทางด้านอาหารและน้ำในพื้นที่จะต้องพร้อมรองรับกับจำนวนผู้เข้าชมให้ได้เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกิน ที่จริงแล้วการจัดงาน World Expo เป็นเรื่องราวของการจัดการลอจิสติกส์ของผู้ที่เข้าชมงานตั้งแต่เข้างานจนออกจากงานอย่างเหมาะสม ในแต่ละ Pavilion ที่คาดว่าจะมีคนเข้าชมมากๆ จะมีการกั้นแถวให้วกวนไปเวียนมา เพื่อรองรับจำนวนคิวที่ยาวๆ เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ในการรอคิวได้อย่างเหมาะสมด้วย

ตลอดเส้นทางการเดินชมงานใน Pavilion ต่างๆ ก็จะต้องมีห้องน้ำเตรียมไว้ มีม้านั่งยาวเอาไว้นั่งพักเหนื่อยหรือเมื่อเมื่อยตลอดเส้นทางเดิน รวมทั้งภัตตาคารนานาชาติต่างๆ ก็มีไว้เตรียมพร้อมสำหรับไว้บริการผู้ข้าชมงาน และที่มีอยู่มากมายตลอดพื้นที่แสดงงาน คือ ร้านขายของที่ระลึกภายใต้ลิขสิทธิ์ ที่มีอยู่ครอบคลุมในทุกๆ ส่วนของพื้นที่จัดงาน ของที่ระลึกเหล่านี้มีมากมายหลายประเภทเท่าที่เรานึกได้ว่าจะใช้อะไรได้บ้างในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ละแห่งที่แวะเข้าไปก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป ร้านขายของที่ระลึกนี้เองก็เป็นแหล่งหนึ่งสามารถทำรายได้ให้กับงานได้เป็นอย่างดี

ก่อนที่จะมาเป็นงาน Expo ได้นั้นเจ้าภาพคงจะต้องมีการวางแผนกันมาก่อนเป็นอย่างดี มีการเตรียมงานมาเป็นปีๆ เจ้าภาพต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยปกติการเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่ระดับโลกเช่นนี้ เจ้าภาพในระดับประเทศมักจะมีเป้าหมายที่ต้องการผลกระทบทางเศรษฐกิจ งานประเภทนี้เป็นงานมหกรรมทางสังคมที่ภาครัฐหรือภาคสังคมจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันเพื่อเกิดผลต่อเนื่อง หรือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศนั้นด้วย สำหรับประเทศจีนเองก็คงจะมีแบบจำลองธุรกิจ (Business Model) พื้นฐานเหมือนกันทุกประเทศที่ต้องการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานระดับโลกเข่นนี้ ประเทศไทยเองก็พยายามที่จะเข้าไปยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมระดับในประเภทต่างๆ ที่สำเร็จก็มี ที่ล้มเหลวไปก็มาก เพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเพราะเป็นผลิตภัณฑ์และบริการทางสังคมที่จะต้องลงทุนใช้เวลาเตรียมงานยาวที่นาน ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการจัดงานได้ ในขณะที่ช่วงเวลาของงานมหกรรมอื่นมีช่วงเวลาที่ไม่ยาวนานนัก แต่งาน World Expo นี้มีเวลาแสดงถึง 6 เดือน

สำหรับประเทศจีนแล้ว เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วคงจะไม่ขาดทุนอย่างเป็นแน่แท้ แถมทำอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ด้วย แต่กลับเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้ประชากรรุ่นใหม่ๆ ของจีนเองในการพัฒนาประเทศในอนาคต ถ้าผู้นำจีนรุ่นต่อมาไม่หลงทางเสียก่อน งานมหกรรม World Expo สำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่อย่างนี้ ก็ต้องบอกว่าประเทศจีนก็มีความเข้าใจในแนวคิดการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นอย่างดี ตั้งแต่การจัดการโซ่อุปทานของการเตรียมงาน “ก่อน” วันแสดงงาน และการจัดการโซ่อุปทาน “ระหว่าง” ช่วงเวลาการแสดงงาน ซึ่งช่วงนี้สำคัญมากเพราะมีผู้เข้าชมงานเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ทั้งยังต้องรวมถึงการจัดการโซ่อุปทาน “หลัง” จากงานจบลงด้วย แนวคิดการจัดการโซ่อุปทานจึงจำเป็นที่จะต้องคิดให้ครบตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์และการบริการ

เห็นประเทศอื่นๆ เขาพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง แล้วสะท้อนใจว่า แล้วทำไมประเทศไทยที่เราภูมิใจนักภูมิใจนักหนาว่าสามารถรักษาเอกราชของประเทศไว้ได้ แต่กลับไม่สามารถช่วยกันพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับนานาประเทศได้ ผมว่าเราไม่ได้แปลความหมายหรือสร้างความเข้าใจในความเป็นเอกราชในอดีตให้คนในปัจจุบันเข้าใจ ทั้งๆ ที่ในชีวิตความเป็นอยู่จริงของคนไทยนั้นเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจทั้งกายและใจให้ต่างชาติหมดแล้ว มีเพียงแต่ผืนแผ่นดินเท่านั้นที่เราบอกว่าเป็นเอกราช ไม่สูญเสียดินแดนให้ใคร และพยายามปกป้องรักษากันด้วยชีวิต เราก็ได้สูญเอกราชทางจิตวิญญาณของความเป็นชาติไปตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัวกัน ทั้งยังหลงละเมอกับอดีตที่ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะเราใช้ประวัติศาสตร์ในการพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้าไม่เป็น เราเพียงแต่ใช้ประวัติศาสตร์เพียงเพื่อโฆษณาชวนเชื่อไปวันๆ เท่านั้น ผมว่าเราต้องดูแนวทางของประเทศอื่นๆ ในการนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนในปัจจุบันพัฒนาชีวิตเพื่อสู่อนาคต หากเราใช้ประวัติศาสตร์เป็นแล้ว เราจะรู้สึกว่าประวัติศาสตร์ที่เราได้รับรู้นั้นทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร ผมว่าประเทศจีนทำเรื่องราวของการนำเสนอประวัติศาสตร์ได้ดีมาก เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ

สุดท้ายผมว่าเราต้องไม่ย่อท้อ เราต้องคิดให้มากกว่านี้ เราต้องทำตัวให้ฉลาดหน่อย อย่าทำตัวเหมือนคนโง่ที่ไม่มีความคิด หลงมัวเมากับภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้หลงทางกลับไปติดยึดความรุ่งเรืองในอดีต ทำให้เราไม่ได้คิดพัฒนาปัจจุบันให้ดีกว่าเก่า เราจึงติดกับดักความคิดและหลงตัวเองว่าเราเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ทั้งที่เราก็ไม่ได้รุ่งเรืองอะไรมากเท่าใดนัก เรารับรู้มาด้วยการเรียนประวัติศาสตร์ด้านเดียวมาตลอด แค่ได้เรียน แต่ไม่เคยเข้าใจและเราก็ไม่รู้หรอกว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านหรือประวัติศาสตร์โลกเขามองเราอย่างไร สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นรากเหง้าของประเทศเราเองก็ได้ แต่อย่างไรผมก็ยังเชื่อว่าเราต้องพัฒนาได้ครับ!

รออ่านต่อนะครับ!

อ.วิทยา สุหฤทดำรง