วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Shanghai Expo 2010 - Part 4

ผมเล่าเรื่องควันหลงจากการไปดูงาน World Expo ถึงตอนนี้ก็ตอนที่ 4 แล้วครับ

พวกเราอุตส่าห์ไปดูงาน World Expo แล้วก็น่าจะสังเกตเรื่องการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานในของการจัดงานบ้าง เพราะทุกอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ในรูปแบบสินค้าและบริการทุกอย่างนั้นถูกสร้างขึ้นมาจากโซ่อุปทาน (Supply Chain) เมื่อเรามีความอยากได้ เราต้องหาอะไรที่เป็นคุณค่า (Value) เทียบเท่ากันไปแลกกับคุณค่าที่ต้องการ พวกเราไปดูงาน Expo แล้ว ก็ไม่ได้หมายความว่า สิ่งที่ได้รับจากงาน Expo จะได้มาฟรีๆ เพราะว่าโลกนี้ไม่มีอะไรฟรีแน่ๆ อยู่แล้ว ต้องนำอะไรมาแลกไปเสมอ ผมและคณะทัวร์ต้องเอาเงินมาแลกกับการเดินทาง การกินอยู่ การได้เข้าชมงาน World Expo ของที่ระลีกที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ ให้เราลองนึกดูว่า กว่าจะมาเป็นงาน Expo นั้น ประเทศจีนซึ่งเป็นเจ้าภาพหรือเจ้าของงานจะต้องทำอะไรมาก่อนนั้นบ้าง มีใครมาร่วมกันทำอะไรบ้าง นั่นเขาเรียกกันว่า “โซ่อุปทาน” ครับ

การจัดงาน World Expo นั้นเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง เหมือนการจัดงานกีฬาโอลิมปิค ประเทศส่วนใหญ่จัดงานแล้วมักจะได้กำไร บางประเทศจัดงานไปแล้วก็ขาดทุนก็มีให้เห็น (อย่างเช่น กีฬาโอลิมปิกที่เมืองเอเธนส์) ประเทศที่เป็นเจ้าภาพงาน World Expo ก็ต้องคาดหวังผลตอบแทนจากการลงทุนในการจัดการงานเช่นกัน แต่เมื่อมองกันลึกๆ แล้ว สิ่งที่ประเทศจีนน่าจะได้จากงาน World Expo คือ การสร้างกระบวนการเรียนรู้ให้กับประชาชนของเขา ผู้นำจีนในยุคนี้ลึกล้ำอย่างยิ่ง ประเทศจีนสร้างชาติด้วยแนวทางในการสร้างคนของเขาด้วยการให้ความรู้ และสร้างความยิ่งใหญ่และความเป็นจริงในปัจจุบันให้ประจักษ์ต่อชาวโลก (ไม่ใช่มัวแต่หลงกับความยิ่งใหญ่ในอดีตเหมือนบางประเทศ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าจนจะแย่อยู่แล้ว) ซึ่งเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับประชาชนจีนของเขา เมื่อผมไปเมืองจีนแต่ละครั้งในแต่ละเมืองนั้น ผมตื่นเต้นเสมอเมื่อได้เห็นการพัฒนาแบบก้าวกระโดดของจีน และเศร้าใจอย่างยิ่งเมื่อย้อนดูการพัฒนาของประเทศไทยเรา ก็ได้แต่โทษตัวผมเองว่า ผมเองยังทำวันนี้ดีไม่พอ ประเทศเราถึงเป็นอย่างนี้ อย่าไปโทษคนอื่น เพราะถ้าเราทุกคนโทษกันไปมาแล้ว ก็คงจะไม่มีใครที่อยากจะพัฒนาตัวเอง ดังนั้นพวกเราต้องไม่หมดกำลังใจนะครับ แต่...ต้องระลึกเสมอว่าในน้ำนั้นไม่มีปลาแล้ว ในนานั้นก็ไม่มีข้าวแล้วเช่นกัน เราจะต้องคิดว่าชีวิตข้างหน้านั้น มันไม่เหมือนอดีต

ประเทศจีนพยายามที่จะประกาศให้โลกรู้ถึงการกลับมาอีกครั้งหนึ่งของประเทศจีน ส่วนหนึ่งของการประกาศศักดานั้น คือ การจัดกีฬาโอลิมปิกที่ผ่านมา ซึ่งประเทศจีนจัดได้ยิ่งใหญ่มากๆ เท่านั้นยังไม่พอ อีก 2 ปีต่อมาก็ยังมีการจัดงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีนด้วย สำหรับงาน World Expo นี้ ผมถือว่า จีนได้สร้างห้องเรียนทางนวัตกรรมทางเทคโนโลยีและสังคมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ซึ่งได้รวบรวมเอาสิ่งที่ดีๆ และ ใหม่ๆ เป็นนวัตกรรมของโลกที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมาไว้ที่เซี่ยงไฮ้ เป็นเวลา 6 เดือน ให้คนจีนหลายสิบล้านๆ คนได้เข้าชมงาน ได้เรียนรู้และสัมผัสถึงโลกอนาคตที่ประเทศจีนจะต้องก้าวไปให้ถึง ความก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและสังคมในงาน World Expo จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานในอนาคตของมนุษยชาติ

การป้อนความรู้และนวัตกรรมใหม่ๆ ของโลกให้กับประชากรของประเทศจีน น่าจะเป็นเป้าหมายที่สำคัญของการจัดงาน World Expo ซึ่งเป็นคุณค่าในรูปแบบของการบริการ (Services) ให้ความรู้และข้อมูลข่าวสาร แต่กว่าจะได้มาเป็นงาน World Expo ได้คงต้องมีผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ มากมาย ตั้งแต่คณะกรรมการจัดงาน เจ้าภาพผู้จัดงาน ผู้เข้าร่วมแสดงในงาน World Expo ผู้รับช่วงในการจัดงานในส่วนของกิจกรรมต่างๆ ผู้ร่วมสนับสนุนการจัดงานต่างๆ (Sponsor) และที่สำคัญ คือ ผู้ที่เข้ามาชมงาน ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เราเรียกกันว่า หุ้นส่วนในโซ่อุปทาน (Supply Chain Partner) การบริหารและจัดการงาน World Expo จึงเป็นเรื่องของการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานล้วนๆ เพียงแต่เราอาจจะยังไม่คุ้นเคยกับคำและความหมายเหล่านี้เท่านั้นเอง

ในปัจจุบัน เรื่องของการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นเรื่องปกติของการจัดการเรื่องราวต่างๆ ในธุรกิจในปัจจุบัน และยิ่งถ้าแนวคิดและประเด็นในการจัดการลอจิสติกส์และโซอุปทานเป็นที่รู้จักกันในวงการทั่วไปแล้ว แนวคิดนี้จะทำให้เราสื่อสารกันในมุมมองที่เป็นองค์รวม (Holistic) หรือในมุมของบูรณาการ (Integration) เพิ่มมากขึ้น แต่สิ่งที่พวกเราจะต้องคำนึงถึง คือ กิจกรรมหรือขั้นตอนการทำงานในระดับการปฏิบัติการ (Operational) ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก เพราะคุณค่าหรือประโยชน์ที่ลูกค้าต้องการจะถูกสร้างขึ้นมาจากขั้นตอนการดำเนินงานในระดับปฏิบัติการ (Operational) นี้ ทรัพยากรที่ลงทุนไปในการสร้างคุณค่าหรือการจัดงานอยู่ในระดับปฏิบัติการทั้งสิ้น ลูกค้าหรือผู้ที่เข้าชมงานจะผู้ที่สัมผัสหรือได้รับคุณค่าหรือประโยชน์จากการจัดงานนี้ ดังนั้นงาน World Expo จะประสบผลสำเร็จได้นั้น จะต้องมีลูกค้าคนชมงานเป็นไปตามจำนวนที่คาดหวังไว้ และผู้เข้าชมงานได้รับความพึงพอใจจากการเข้าชมงานด้วย

การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) ของงาน World Expo คือ การบูรณาการการจัดการลอจิสติกส์ (Integrated Logistics Management) ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลาย ตั้งแต่การประชาสัมพันธ์ การเข้าชมงานของผู้เข้าชมงานที่หลั่งไหลมาจากทั่วประเทศจีนและทั่วโลก การเดินทางเข้ามายังเมืองเซี่ยงไฮ้โดยเส้นทางต่างๆ การเข้าพักตามโรงแรมต่างๆ ทั่วเมืองเซี่ยงไฮ้ การเดินทางจากที่พักโรงแรมไปยังงาน World Expo บริเวณทางเข้าชมงาน ตั้งแต่เดินเข้าประตูจนถึงเดินออก การเข้าชม Pavilion ต่างๆ การจราจรขนส่งภายในบริเวณงาน การอำนวยความสะดวกต่างๆ จนถึงทางออก ตลอดเวลาของการเข้าชมงานอย่างทั่วถึง ทำอย่างไรให้คุ้มค่ากับการลงทุนมาชมงาน World Expo ถ้าสังเกตดูดีๆ นะครับ กว่าจะครบกระบวนการเข้าชมงานนั้น มีกลุ่มคนกลุ่มต่างๆ ที่มาร่วมกันทำให้เราเข้าชมงานได้ตลอดช่วงเวลาการชมงาน กลุ่มบุคคล กลุ่มหน่วยงาน กลุ่มบริษัท มหานครเซี่ยงไฮ้ องค์กรเหล่านี้แหละครับที่ผมเรียกว่า “โซ่อุปทาน” หรือ Supply Chain หรือเราอาจจะมองว่าเป็นลักษณะ Team ก็ได้ แต่ Supply Chain นั้นเป็นมากกว่าทีม (Team) เพราะความเป็น Supply Chain จะทำให้ Team สามารถปรับตัวได้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าได้ ถ้ามีความเป็น Supply Chain ก็จะต้องมี Team แต่ถ้าเป็น Team แล้ว อาจจะไม่มีความเป็น Supply Chain ก็ได้ โซ่อุปทานต้องทำให้ได้ ดีกว่า เร็วกว่า และถูกกว่า อยู่เสมอและตลอดไปเพื่อความรู้รอด

คราวนี้ลองนึกดูว่ากว่าจะมาเป็นงาน World Expo ได้มีใครอื่นๆ เกี่ยวข้องบ้าง คนแต่ละนั้นจะมีประโยชน์หรือคุณค่าต่อการจัดงานอย่างไรบ้าง ตั้งคนคุมคิวที่ประตูหน้างาน คนเก็บขยะทั่วงาน คนทำความสะอาดในห้องน้ำ หรืออาสาสมัครหนุ่มสาวในงาน World Expo ที่มาช่วยเหลือแนะนำคนที่มาชมงาน และอีกหลายๆ คนที่มารวมตัวกันเป็นโซ่อุปทานของงาน World Expo แล้วให้เราลองนึกดูว่าถ้าส่วนใดส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานงาน World Expo เกิดขาดไปหรือ มีปัญหา เราในฐานะลูกค้าคงจะไม่ได้รับความสะดวกในเชิงลอจิสติกส์ที่ต้องเคลื่อนตัวไปยังจุดต่างๆ ที่ต้องการภายในงาน

คุณค่า (Value) ของงาน Expo คือ การที่ผู้เข้าชมงานได้รับสารสนเทศ (Information) ในด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ถูกพัฒนาไปในแนวคิด Better City, Better Life ใน Pavilion ต่างๆ ดังนั้น ผู้เข้าชมงานจะต้องเดินหรือเคลื่อนย้ายตัวเองไปตาม Pavilion ต่างๆ ที่ต้องการได้ สถานที่ใดที่อยู่ห่างออกไป ทางงาน Expo ก็ได้จัดระบบลอจิสติกส์ที่เคลื่อนย้ายผู้เข้าชมงานด้วยยานพาหนะในการรับส่งภายในงาน ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าขนาด 8 ที่นั่ง รถบัสไฟฟ้า เรือ Ferry ข้ามแม่น้ำระหว่างฝั่งเมืองเก่าและเมืองใหม่ ทำให้ลอจิสติกส์ของผู้ที่เข้าชมสามารถไหล (Flow) ไปยังเป้าหมายได้อย่างถูกเวลา ถูกสถานที่ และด้วยต้นทุนที่ต่ำ

โซ่อุปทานหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องของการจัดงาน World Expo จึงต้องพยายามจะเตรียมทรัพยากรต่างๆ ที่รองรับการเคลื่อนย้ายตัวเองของผู้เข้าชมงาน ป้ายบอกทางต่างๆ ทั้งภาษาจีนและภาษาอังกฤษ รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกทางด้านอาหารและน้ำในพื้นที่จะต้องพร้อมรองรับกับจำนวนผู้เข้าชมให้ได้เหมาะสม ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกิน ที่จริงแล้วการจัดงาน World Expo เป็นเรื่องราวของการจัดการลอจิสติกส์ของผู้ที่เข้าชมงานตั้งแต่เข้างานจนออกจากงานอย่างเหมาะสม ในแต่ละ Pavilion ที่คาดว่าจะมีคนเข้าชมมากๆ จะมีการกั้นแถวให้วกวนไปเวียนมา เพื่อรองรับจำนวนคิวที่ยาวๆ เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ในการรอคิวได้อย่างเหมาะสมด้วย

ตลอดเส้นทางการเดินชมงานใน Pavilion ต่างๆ ก็จะต้องมีห้องน้ำเตรียมไว้ มีม้านั่งยาวเอาไว้นั่งพักเหนื่อยหรือเมื่อเมื่อยตลอดเส้นทางเดิน รวมทั้งภัตตาคารนานาชาติต่างๆ ก็มีไว้เตรียมพร้อมสำหรับไว้บริการผู้ข้าชมงาน และที่มีอยู่มากมายตลอดพื้นที่แสดงงาน คือ ร้านขายของที่ระลึกภายใต้ลิขสิทธิ์ ที่มีอยู่ครอบคลุมในทุกๆ ส่วนของพื้นที่จัดงาน ของที่ระลึกเหล่านี้มีมากมายหลายประเภทเท่าที่เรานึกได้ว่าจะใช้อะไรได้บ้างในชีวิตประจำวัน แล้วแต่ละแห่งที่แวะเข้าไปก็จะมีผลิตภัณฑ์ที่แตกต่างกันออกไป ร้านขายของที่ระลึกนี้เองก็เป็นแหล่งหนึ่งสามารถทำรายได้ให้กับงานได้เป็นอย่างดี

ก่อนที่จะมาเป็นงาน Expo ได้นั้นเจ้าภาพคงจะต้องมีการวางแผนกันมาก่อนเป็นอย่างดี มีการเตรียมงานมาเป็นปีๆ เจ้าภาพต้องเข้าใจความต้องการของลูกค้า โดยปกติการเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่ระดับโลกเช่นนี้ เจ้าภาพในระดับประเทศมักจะมีเป้าหมายที่ต้องการผลกระทบทางเศรษฐกิจ งานประเภทนี้เป็นงานมหกรรมทางสังคมที่ภาครัฐหรือภาคสังคมจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการผลักดันเพื่อเกิดผลต่อเนื่อง หรือเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศนั้นด้วย สำหรับประเทศจีนเองก็คงจะมีแบบจำลองธุรกิจ (Business Model) พื้นฐานเหมือนกันทุกประเทศที่ต้องการเป็นเจ้าภาพในการจัดงานระดับโลกเข่นนี้ ประเทศไทยเองก็พยายามที่จะเข้าไปยื่นข้อเสนอเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดงานมหกรรมระดับในประเภทต่างๆ ที่สำเร็จก็มี ที่ล้มเหลวไปก็มาก เพราะมันไม่ได้เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เป็นเรื่องที่ซับซ้อนเพราะเป็นผลิตภัณฑ์และบริการทางสังคมที่จะต้องลงทุนใช้เวลาเตรียมงานยาวที่นาน ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับการจัดงานได้ ในขณะที่ช่วงเวลาของงานมหกรรมอื่นมีช่วงเวลาที่ไม่ยาวนานนัก แต่งาน World Expo นี้มีเวลาแสดงถึง 6 เดือน

สำหรับประเทศจีนแล้ว เมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วคงจะไม่ขาดทุนอย่างเป็นแน่แท้ แถมทำอะไรที่ยิ่งใหญ่อย่างนี้ด้วย แต่กลับเป็นการสร้างแรงกระตุ้นให้ประชากรรุ่นใหม่ๆ ของจีนเองในการพัฒนาประเทศในอนาคต ถ้าผู้นำจีนรุ่นต่อมาไม่หลงทางเสียก่อน งานมหกรรม World Expo สำเร็จได้อย่างยิ่งใหญ่อย่างนี้ ก็ต้องบอกว่าประเทศจีนก็มีความเข้าใจในแนวคิดการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นอย่างดี ตั้งแต่การจัดการโซ่อุปทานของการเตรียมงาน “ก่อน” วันแสดงงาน และการจัดการโซ่อุปทาน “ระหว่าง” ช่วงเวลาการแสดงงาน ซึ่งช่วงนี้สำคัญมากเพราะมีผู้เข้าชมงานเป็นตัวผลักดันที่สำคัญ ทั้งยังต้องรวมถึงการจัดการโซ่อุปทาน “หลัง” จากงานจบลงด้วย แนวคิดการจัดการโซ่อุปทานจึงจำเป็นที่จะต้องคิดให้ครบตลอดช่วงอายุของผลิตภัณฑ์และการบริการ

เห็นประเทศอื่นๆ เขาพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง แล้วสะท้อนใจว่า แล้วทำไมประเทศไทยที่เราภูมิใจนักภูมิใจนักหนาว่าสามารถรักษาเอกราชของประเทศไว้ได้ แต่กลับไม่สามารถช่วยกันพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมกับนานาประเทศได้ ผมว่าเราไม่ได้แปลความหมายหรือสร้างความเข้าใจในความเป็นเอกราชในอดีตให้คนในปัจจุบันเข้าใจ ทั้งๆ ที่ในชีวิตความเป็นอยู่จริงของคนไทยนั้นเป็นเมืองขึ้นทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจทั้งกายและใจให้ต่างชาติหมดแล้ว มีเพียงแต่ผืนแผ่นดินเท่านั้นที่เราบอกว่าเป็นเอกราช ไม่สูญเสียดินแดนให้ใคร และพยายามปกป้องรักษากันด้วยชีวิต เราก็ได้สูญเอกราชทางจิตวิญญาณของความเป็นชาติไปตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่รู้ตัวกัน ทั้งยังหลงละเมอกับอดีตที่ไม่มีวันกลับมาอีกแล้ว นั่นเป็นเพราะเราใช้ประวัติศาสตร์ในการพัฒนาสังคมให้เจริญก้าวหน้าไม่เป็น เราเพียงแต่ใช้ประวัติศาสตร์เพียงเพื่อโฆษณาชวนเชื่อไปวันๆ เท่านั้น ผมว่าเราต้องดูแนวทางของประเทศอื่นๆ ในการนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้คนในปัจจุบันพัฒนาชีวิตเพื่อสู่อนาคต หากเราใช้ประวัติศาสตร์เป็นแล้ว เราจะรู้สึกว่าประวัติศาสตร์ที่เราได้รับรู้นั้นทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่ากาลเวลาจะเปลี่ยนไปอย่างไร ผมว่าประเทศจีนทำเรื่องราวของการนำเสนอประวัติศาสตร์ได้ดีมาก เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังในตอนต่อไปครับ

สุดท้ายผมว่าเราต้องไม่ย่อท้อ เราต้องคิดให้มากกว่านี้ เราต้องทำตัวให้ฉลาดหน่อย อย่าทำตัวเหมือนคนโง่ที่ไม่มีความคิด หลงมัวเมากับภาพลักษณ์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำให้หลงทางกลับไปติดยึดความรุ่งเรืองในอดีต ทำให้เราไม่ได้คิดพัฒนาปัจจุบันให้ดีกว่าเก่า เราจึงติดกับดักความคิดและหลงตัวเองว่าเราเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่เสียเหลือเกิน ทั้งที่เราก็ไม่ได้รุ่งเรืองอะไรมากเท่าใดนัก เรารับรู้มาด้วยการเรียนประวัติศาสตร์ด้านเดียวมาตลอด แค่ได้เรียน แต่ไม่เคยเข้าใจและเราก็ไม่รู้หรอกว่า ประวัติศาสตร์ของประเทศเพื่อนบ้านหรือประวัติศาสตร์โลกเขามองเราอย่างไร สิ่งเหล่านี้อาจจะเป็นรากเหง้าของประเทศเราเองก็ได้ แต่อย่างไรผมก็ยังเชื่อว่าเราต้องพัฒนาได้ครับ!

รออ่านต่อนะครับ!

อ.วิทยา สุหฤทดำรง

วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Shanghai Expo 2010 - Part 3

หลังจากที่ได้เขียนเรื่องประสบการณ์การไปงาน World Expo ไป 2 ตอน ผมก็ได้กลับไปเช็คสถิติจำนวนผู้เข้าชมงาน ปรากฎว่าคณะทัวร์ของเราได้เข้าชมงาน World Expo ในวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม ซึ่งเป็นวันที่มีผู้เข้าชมงานมากที่สุด ตั้งแต่เปิดงานมา คือ มากกว่า 500,000 คน (http://en.expo2010.cn/yqkl/index.htm) อย่างไรก็ตาม ในอนาคตก็อาจจะมีผู้เข้าชมงานต่อวันมากกว่านี้ก็เป็นไปได้ และไหนๆ พวกคณะทัวร์ของเราก็เป็นผู้ที่ฝักใฝ่ทางด้านการจัดการโซ่อุปทานอยู่แล้วก็นน่าจะหันมามองงาน World Expo อย่างการจัดการโซ่อุปทานบ้าง ให้สมกับเป็นนักลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน

ผมเห็น Slogan ของงาน World Expo ที่ว่า “Better City, Better Life ก็เมื่อเดินทางมาถึงที่เซี่ยงไฮ้แล้ว คำว่า Better นั้นมีความหมายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในมุมมองของการจัดการที่จะต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องและอย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ Theme ของงานนี้จะเป็นเรื่องของเมืองซึ่งเป็นสถานที่ที่มนุษย์อาศัยอยู่ เมืองหรือ City นับว่าเป็นประเด็นเชิงสังคมที่เราสามารถจับต้องได้ดีที่สุดในชีวิตประจำวัน สามารถสัมผัสได้ ผมมองว่า Theme ที่ว่า Better City, Better Life นี้เป็นการต่อยอดจากประเด็นเรื่องโลกร้อนและการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผมเชื่อว่าเรื่องโลกร้อนนั้นก็เป็นผลพวงมาจากการที่เราไม่เข้าใจในการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติ จึงทำให้เราไม่ได้สร้างเมืองและสร้างสังคมมนุษย์อย่างเอื้ออาทรกับธรรมชาติ เราเพียงแต่หวังว่าจะเอาประโยชน์เข้าตัวเองมากที่สุดมาโดยตลอด โดยเฉพาะฉวยประโยชน์จากธรรมชาติ โดยมิได้ตอบแทนกลับ จนธรรมชาติได้ส่งสัญญาณโลกร้อนออกมาทวงคืน ทำให้มนุษย์พอจะคิดได้บ้าง และสามารถทำความเข้าใจหรือ ลดละความโลภลง จนหันมาประนีประนอมกับธรรมชาติได้บ้าง

ก่อนไปต่อ จะต้องทำความเข้าใจในความหมายของโซ่อุปทาน (Supply Chain) กันอีกนิดก่อน เพราะคุณค่า (Value) หรือประโยชน์แต่ละอย่างที่เราใช้สำหรับการดำรงชีวิตล้วนมาจากโซ่อุปทานทั้งสิ้น คุณค่าเหล่านั้นอยู่ในรูปแบบของสินค้าและบริการที่แต่ละบุคคลต้องกินและต้องใช้ รวมทั้งสาธารณะสมบัติต่างๆ ที่ผู้คนในสังคมใช้ประโยชน์ร่วมกัน ดังนั้น เมืองหรือ City จึงกลายเป็นแหล่งรวมคุณค่าต่างๆ ที่หลากหลายซึ่งมาจากโซ่อุปทานที่หลากหลายเช่นกัน เรามีซีวิตอยู่ในเมือง มนุษย์สร้างเมืองขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองได้อาศัยอยู่และสร้างประโยชน์ให้กับตัวมนุษย์เอง โดยส่วนใหญ่ มนุษย์ในเมืองมิได้คำนึงถึงธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เมืองและมนุษย์จะต้องพึ่งพาอาศัย ความเป็นเมืองนั้นเกิดขึ้นจากการพึ่งพาอาศัยกันระหว่างมนุษย์กันเองเพื่อให้เกิดเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน เมืองให้คุณค่าหรือประโยชน์กับประชากรของเมือง คุณค่าหรือประโยขน์ของเมืองในฐานะที่เป็นสาธารณูปโภคต่างๆ จะเป็นประโยชน์ที่ประชากรของเมืองใช้ร่วมกัน ส่วนคุณค่าอื่นๆ ที่เป็นความต้องการของแต่ละบุคคลก็จะถูกสร้างขึ้นมาด้วยโซ่อุปทานที่สร้างขึ้นมาและตั้งอยู่ในเมืองหรืออาจจะถูกสร้างจากโซ่อุปทานที่เชื่อมโยงมาจากเมืองอื่นๆ ดังนั้นเมืองหนึ่งๆ จะประกอบและโยงใยไปด้วยสายโซ่อุปทานต่างๆ มากมาย โดยโซ่อุปทานทั้งหมดจะมีเป้าหมายเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของประชากรในเมืองหรือเมืองอื่นๆ ถ้าปราศจากโซ่อุปทานแล้ว ความเป็นเมืองก็จะหมดไป สาธารณูปโภคก็จะไม่มีคนใช้งาน เมืองก็จะไม่มีคนอยู่ ความมีชีวิตของเมืองก็จะหายไป และก็จะไม่มีสังคม

ผมพูดเรื่องราวของงาน World Expo ให้เป็นเรื่องราวของโซ่อุปทานหนักๆ มากไปหรือเปล่าครับ ความหมายของ Better City, Better Life นั้นสามารถขยายความได้อีกมากมายในหลายมุมมอง เมื่อพูดถึงเมืองหรือ City แล้ว เราคงต้องมองเห็นสิ่งปลูกสร้างและคนมากมายที่มารวมตัวกันเป็นสังคม เมืองจึงเป็นรากฐานของสังคมและการสร้างคุณค่าในโซ่อุปทาน ยิ่งในปัจจุบันนี้ การเปลี่ยนแปลงได้กลายเป็นประเด็นสำคัญมากกว่าการควบคุมในมุมมองการจัดการ ดังนั้น คำว่า Better นั้นจึงเป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงการจัดการโซ่อุปทานที่ต้องทำให้เกิดคุณค่าที่ดีกว่าเดิมอยู่ตลอดเวลา คำว่า Better City ก็คงไม่ได้หมายความว่าสาธารณูปโภคที่ดีกว่าเดิม มีตึกที่สูงกว่า มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีกว่าเดิมเท่านี่น ประเด็นที่ดีกว่าเดิมนั้นเป็นเรื่องที่ดีและควรจะดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่เราก็ต้องคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและข้อจำกัดต่างๆ ที่จะต้องทำให้เกิดความสมดุลระหว่างเมืองที่มนุษย์สร้างขึ้น กับธรรมชาติที่มนุษย์และเมืองที่มนุษย์ต้องอาศัยพี่งพิงอยู่ คำว่า Better อาจหมายถึงความสามารถในการปรับตัวเข้าสู่สมดุลของการอยู่รวมกันกับธรรมชาติของมนุษย์ด้วยก็ได้

ผมชอบ Theme ของงาน World Expo นี้ เพราะเป็นการต่อยอดหรือทำให้ประเด็น Global Warming สามารถนำเข้าสู่ประเด็นของการประยุกต์แนวคิดนี้ให้เข้าชีวิตประจำวัน ในเมืองที่เป็นที่อยู่ของมนุษย์ ถึงแม้ว่าจะมีการเปิดประเด็นนี้มานานแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้รับการตอบรับจากทุกภาคส่วนของสังคม Theme ของงานนี้จึงถูกใช้เป็นเครื่องมือในการนำเสนอและสร้างความตระหนักในด้านพลังงาน โลกร้อน สีเขียว สู่สังคมมนุษย์ ในเมื่องาน World Expo ได้กลายเป็นงานมหกรรมทางด้าน Human Development ของมนุษยชาติ ก็คงจะไม่ได้ผิดแนวทางในการนำเสนอประเด็นที่ไปในแนวทางที่จะคำนึงถึงการสร้างสังคมเมืองให้ผู้คนมีชีวิตที่ดีกว่าและอยู่อย่างยั่งยืน นวัตกรรมและเทคโนโลยีที่นำมาแสดงในงาน World Expo ในครั้งนี้ก็น่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องและสนับสนุนแนวคิดนี้ด้วย นั่นเหมือนเป็นการประกาศของมนุษยชาติแล้ว ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป (Life will never be the same) นั่นหมายความว่า เรามนุษย์เองจะต้องเป็นผู้กำหนดความเป็นของชีวิตเรา สิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ไม่ว่าจะเป็นไปในทางบวกหรือลบก็ล้วนเกิดขึ้นมาจากน้ำมือของมนุษย์ทั้งสิ้น ดังนั้นความเป็นไปบนโลกนี้ก็อยู่ที่ความคิดของเรานั่นเอง เราคิดอย่างไร ส่วนมากเราก็ทำอย่างนั้น ถ้าเรามีความคิดในการสร้างสมดุลกับธรรมชาติ เพื่อเมืองที่ดีกว่าซึ่งจะนำพามาสู่ชีวิตที่ดีกว่า ความฝันที่จะทำให้การดำรงอยู่ของชีวิตมนุษย์และธรรมชาติมีความยั่งยืนมากยิ่งขึ้นก็จะเป็นจริงมากขึ้น

เมื่อตอนเป็นความคิดก็คงจะง่าย แต่ในความเป็นจริงนั้นคงไม่ง่ายเลย เพราะในโลกนี้ประกอบไปด้วยเมืองหลายๆ เมืองที่มีสังคมมนุษย์เป็นองค์ประกอบ การที่จะปลูกฝังแนวคิดนี้ให้มนุษย์บนโลกเรานี้ คงจะไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะความตระหนักในเรื่องการอยู่ร่วมกันกับธรรมชาติไม่ได้เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์ เรื่องนี้ไม่สามารถถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นทางด้านพันธุกรรมกันได้ ประเด็นนี้จึงจะต้องเรียนรู้กันด้วยการยกระดับของจิตใจของผู้คนในสังคม และจะต้องมีการถ่ายทอดผ่านการเรียนรู้ร่วมกันในสังคมหรือการสร้างวัฒนธรรมของสังคมมารองรับการเปลี่ยนแปลง

Blog ตอนที่ 3 นี้ออกจะเครียดๆ ไปบ้าง แต่ผมไม่อยากจะให้เราไปดูงาน World Expo ในมุมมองที่การพัฒนาของเทคโนโลยีแต่เพียงอย่างเดียว แต่น่าจะมองเห็นการพัฒนาทางด้านสังคมไปพร้อมๆ เศรษฐกิจและเทคโนโลยี อย่างน้อยถ้าศึกษาหรือสังเกตประวัติศาสตร์บ้าง เราอาจจะเห็นความเชื่อมโยงของเรื่องราวความเป็นไปของโลกที่โยงใยอย่างคล้องจองกันไป ซึ่งจะทำให้เราสามารถคาดการณ์เรื่องราวต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นกับโลกเราในอนาคตได้ ผมหวังว่า เราน่าจะเห็นแนวคิดโซ่อุปทานใน Theme ของงาน World Expo 2010 ที่ Shanghai ยิ่งมีจำนวนประชากรในเมืองหรือ City มากขึ้นเท่าใด ความซับซ้อนในการจัดการก็มากขึ้นเท่านั้น และคงต้องใช้องค์ความรู้ในการจัดการความซับซ้อนแนวคิดใหม่ๆ มากขึ้นเช่นกัน นอกจากจะมีเทคโนโลยีในการช่วยเราทุ่นแรงแล้ว ยังต้องมีเครื่องมือที่จะช่วยเราคิดด้วย โดยเฉพาะมองในมุมมองของระบบของสังคมหรือที่มีความซับซ้อน (Complexity) มากยิ่งขึ้น

เอาล่ะครับ เครียดกันพอควรแล้วครับ แล้วจะเขียนมาอีกครับ จะพยายามวิเคราะห์เรื่องการจัดการ Supply Chain ของงาน World Expo และพาไปดู (ให้ข้อมูล) Pavilion ต่างๆ นะครับ ถ้ามีเวลาพอและไม่หมดไฟเสียก่อน

อนึ่ง หลังจากกลับจากงาน World Expo วันนี้ที่ห้างหนึ่งในกรุงเทพฯ ผมมีประสบการณ์ที่เกี่ยวกับพลังงานดังนี้ครับ ผมไปนั่งดื่มกาแฟที่ห้าง พอสั่งกาแฟเสร็จก็ได้กาแฟมา 1 ถ้วย พร้อมน้ำเย็นหนึ่งแก้วที่มีน้ำแข็งก้อนขนาดเล็กจำนวนไม่มากลอยอยู่ ตอนนั้นผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอดีเหลือบไปเห็นวิธีทำของพนักงาน คือ เขาตักน้ำแข็งเต็มแก้ว แล้วนำแก้วน้ำแข็งไปเติมน้ำร้อนจากเครื่องทำกาแฟ ลองคิดดูก็แล้วกันว่าพลังงานในการทำร้อนและพลังงานในการทำน้ำแข็งจะสูญเปล่าไปขนาดไหน เอาน้ำร้อนไปละลายน้ำแข็ง เพื่อให้ได้น้ำเย็น เห็นไหมล่ะครับว่าพลังงานสูญเปล่าไปขนาดไหน แต่ถ้าทุกคนมีความตระหนัก ชีวิตในเมืองคงจะดีกว่านี้

อ.วิทยา สุหฤทดำรง

วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Shanghai Expo 2010 - Part 2

Blog นี้ต่อด้วยเรื่องการเดินงาน World Expo วันที่ 2 ที่เริ่มต้นวันด้วยการ Shopping การเติมพลังใจสำหรับการเดินงาน Expo ด้วยการ shopping ของผมเป็นการไปเดินหาหนังสือเกี่ยวกับงาน Expo จากร้านหนังสือ 8 ชั้นใกล้ People Square ผมไปพบหนังสืองาน Expo อยู่หลายเล่ม แต่เป็นภาษาจีน หาภาษาอังกฤษไม่ค่อยพบเท่าใดนัก แต่บังเอิญโชคดีที่มีหนังสือภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับงาน Expo อยู่หนึ่งเล่มชื่อว่า The World Exposition Reader ซึ่งพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2008 นี่แสดงว่าทางจีนให้ความสำคัญและพยายามเผยแพร่ความรู้เรื่องงาน Expo หนังสือเล่มนี้เล่าประวัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน Expo ตั้งแต่ปี 1851 ซึ่งผมเองก็เพิ่งทราบ แต่ก็ไม่มีเวลาอ่านมากนัก เพราะต้องไปเข้างาน Expo ในช่วงเย็น อากาศตอนเย็นนั้นเย็นเป็นใจมากๆ ลมพัดเย็นพอเบาๆ เย็นกว่าหน้าหนาวเมืองไทยอีก คือประมาณ 18-19 องศาเซลเซียส และไม่ผิดหวังครับ ตอนกลางคืน Pavilion ต่างๆ สวยกว่าตอนกลางวันมาก แต่ละประเทศก็มีลูกเล่นในการใช้แสงสีต่างๆ กันออกไปในการประดับประดา Pavilion ของตน สรุปแล้วถ้าใครมาเที่ยวงาน Expo ที่ เซี่ยงไฮ้จะต้องได้ไปเดินทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน กลางวันคนเยอะมาก คิวยาวทุกอย่าง ทั้งต่อคิวเข้า Pavilion ต่อคิวเข้าห้องน้ำ ต่อคิวซื้ออาหาร ต่อคิวเข้าร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศ แต่กลางคืนสวยกว่ากลางวันมาก แล้วคนก็น้อยกว่ามากด้วย ไม่ผิดหวังครับ เป็นที่น่าเสียดายสำหรับพลพรรคที่พ่ายแพ้พลังขาของตนเอง ไม่ได้ไปดูงาน Expo ตอนกลางคืน

พวกเรามารวมตัวกันเพื่อที่จะเข้าชมงานในตอนเย็นประมาณ 5 โมง ตามปกติแล้วประตูงาน Expo จะเปิดให้เข้าได้ถึง 3 ทุ่ม และสามารถเดินอยู่ในบริเวณงานได้จนถึงเที่ยงคืน พวกเราขาลุยในวันที่ 2 ได้ชักภาพไว้เป็นหลักฐาน แล้วก็แยกย้ายกันไปชมงาน Expo ตามที่ต้องการ ผมลืมเล่าไปว่าในวันแรกเราเข้าประตูงานจากฝั่งเมืองเก่า แล้วข้ามเรือไปยังฝั่งผู่ตงซึ่งเป็นฝั่งเมืองใหม่ (ดูจีนสิ จัดงานทั้งที่ต้องให้มีแม่น้ำคั่นกลาง ต้องข้ามเรือไปๆ มาๆ) อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วประตูเข้างาน Expo มีอยู่หลายประตูทั้งจากเมืองเก่าและเมืองใหม่ หลังจากที่ผมได้อ่าน Official Guidebook ได้รู้ซึ้งถึง Theme ของงาน Expo คือ เรื่องความเป็นอยู่ของเมือง Better City, Better Life ผมจึงได้เลือกที่จะเข้าชม Pavilion ที่เป็น Theme ของงาน คือ Theme Pavilion, Urbanian Pavilion, Pavilion of City Being, Pavilion of Urban Planet, Pavilion of Footprint, Pavilion of Future รวมทั้ง UPBA (Urban Pavilion Best Practice Area) ประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอนาคตที่จะต้องมาอยู่รวมกันเป็นสังคมเมืองจะเป็นอย่างไรบ้าง พวก Pavilion ของประเทศต่างๆ ก็เลยไม่อยู่ในความสนใจของผมนัก และด้วยเหตุผลที่คนเข้า Pavilion ของประเทศต่างๆ เยอะมาก ผมจึงเลือกเน้นการชมงาน Expo ตาม Theme ของงาน แต่ที่จริงแล้ว Pavilion ต่างๆ ของประเทศที่เข้าร่วมงานก็พยายามที่จะนำเสนอแนวคิดต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับ Theme ของงาน Expo ปีนี้อยู่แล้ว

ในการเดินชมงานวันที่ 2 นี้ผมใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในฝั่งเมืองเก่าที่แสดงผลงานทางด้าน Technology และ Innovation และผลงานของบริษัทใหญ่ๆ ในโลกที่เข้าร่วมงาน และบาง Theme Pavilion ผมได้เข้าไปที่ UBPA Pavilion of Future แต่ไม่สามารถเข้า Footprint ได้ เพราะว่าเวลาหมดเสียก่อน ต้องกลับมาที่นัดหมายในเวลา 3 ทุ่ม ภายในเวลา 4 ช.ม. ผมเดินไปในบริเวณ Section D และ E ที่อยู่ฝั่งเมืองเก่า Puxi ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 273, 000 Sqm อย่างผ่านๆ ไม่ได้พินิจพิเคราะห์อะไรมาก แวะเฉพาะที่สนใจจริงๆ (วันแรกที่เดินฝั่งเมืองใหม่ Pudong ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 311,000 Sqm นั้น ภายในเวลา ช.ม. ผมเดินไปได้แค่ เพียงประมาณครึ่งเดียวของงาน) มิน่าเล่า เขาจึงขายบัตรประเภท 3 วัน 7 วัน เพราะว่าภายในวันสองวันไม่มีทางเดินได้ทั่ว

สุดท้ายก็มานั่งรอพลพรรคอีกประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากที่แยกย้ายไปตาม Pavilion ต่างๆ แล้วยังติดอยู่ภายใน Pavilion ไม่สามารถกลับออกมาได้ทันตามเวลานัดหมาย ก็เลยทำให้บางคนต้องเดินทางกลับโรงแรมเองในรูปแบบของการเดินทางที่แตกต่างกันออกไป เมื่อถึงโรงแรมแทนที่ผมจะพักผ่อน ผมนำหนังสือ The World Exposition Reader ที่เพิ่งซื้อมา อ่านดูรายละเอียด ที่ปกหนังสือนั้นมีกระดาษคาดหนังสือที่มีข้อความสรุปถึงงาน Expo ไว้ดังนี้
“ทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดมาจากงาน World Expo ทั้งนั้น งาน World Expo ถูกมองว่าเป็นงาน โอลิมปิคในสาขาของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นเวลากว่า 150 ปีที่เสน่ห์ของงาน World Expo ได้ดึงความสนใจจากผู้คนต่างๆ สถาปัตยกรรมที่คลาสิกต่างๆ หลายแห่งในโลกก็มีจุดกำเนิดจากงาน World Expo เช่น Crystal Palace และรูปปั้นเทพีแห่งเสรีภาพ (Statue of Liberty) สำหรับในด้านการประดิษฐ์ก็ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรก เช่น รูบิค และไอครีมโคน ซึ่งได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเราไปเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่า World Expo ได้เปลี่ยนแปลงโลกและมีอิทธิพลต่อโลกของเราจริงๆ” เมื่อเปิดเข้าไปอ่านในหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้ผมได้เข้าใจความหมายและจุดมุ่งหมายของงาน World Expo มากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะอ่านไปได้ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าคุ้มที่ได้มาสัมผัสงาน World Expo แต่ก็เสียดายที่มีเวลาน้อยเกินไป หากได้เตรียมตัวมามากกว่านี้และมีเวลาเดินมากกว่านี้คงต้องยิ่งคุ้มค่าได้ประโยชน์มาก

ในวันรุ่งขึ้น วันสุดท้ายที่เซี่ยงไฮ้ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย ผมได้มีโอกาสไปเดิน Super Brand Mall ของกลุ่ม CP ซึ่งมีร้านหนังสือขนาดใหญ่อยู่ที่ชั้น 8 ผมได้หนังสือที่เกี่ยวกับประวัติงาน Expo รายละเอียดของงาน World Expo ที่ Shanghai ที่เป็นภาษาอังกฤษมาอีก 2 เล่ม และอีกเล่มเป็นภาษาจีน ที่ต้องซื้อก็เพราะหาที่เป็น Version ภาษาอังกฤษไม่ได้ เล่มที่ว่านี้ คือ Highlights of 2010 EXPO Pavilion ที่ให้รายละเอียดของแต่ละ Pavilion ด้วยภาพกราฟิก 4 สีและคำอธิบายที่เป็นภาษาจีน แต่ก็มีข้อสรุปตอนท้ายเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือนี้มีประโยชน์มากเพราะว่าเมื่อเขาไปในแต่ Pavilion แล้ว จะหารายละเอียดที่เป็นเอกสารได้น้อยมาก เวลาที่ดูก็น้อยด้วย ผมเห็นว่าข้อมูลจากหนังสือให้เกร็ดอะไรที่มากกว่าได้จาก Official Website (http://en.expo2010.cn) น่าเสียดายที่อ่านภาษาจีนไม่ได้ ไม่เช่นนั้น สนุกกว่านี้แน่ๆ ครับ

ยังไม่จบ แล้วจะเขียนเล่ามาอีกครับ

อ.วิทยา สุหฤทดำรง

วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Shanghai Expo 2010 - Part 1

(1 มิ.ย. 53) ผมเพิ่งกลับจากเซี่ยงไฮ้ จากภารกิจดูงานกับคณะนักศึกษาปริญญาโทการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานของมหาวิทยาลัยศรีปทุม ยังคงมีควันหลงอยู่มากเลยทีเดียวครับ เพราะอยู่เซี่ยงไฮ้ถึง 6 วันเต็มๆ ผมเคยมาเซี่ยงไฮ้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเซี่ยงไฮ้เปลี่ยนไป แต่คงจะไม่ใช่แค่เซี่ยงไฮ้ที่เปลี่ยน แต่เป็นประเทศจีนทั้งประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปประเทศจีนในหลายๆ เมืองในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้นึกถึงประเทศไทยสุดที่รักของเราที่พยายามรักเอกราชมาโดยตลอดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่

ที่จริงแล้วเป็นความผิดพลาดของผมที่ไม่ได้เตรียมตัวและหาข้อมูลสำหรับงาน World Expo 2010 ก่อนเดินทาง และที่สำคัญไม่ได้ Brief เรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญของงาน World Expo แท้ๆ ให้คณะนักศึกษาและผู้ร่วมคณะคนอื่นๆ ด้วย จึงทำให้การไปเดินงาน World Expo เกือบจะกลายเป็นการไปเดินงานวัดไปเสียนี่ แต่ผมก็เชื่อว่า ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีความรู้เบื้องต้นกับงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้มากนัก แต่พวกเราในคณะทุกคนก็ได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของการจัดงาน World Expo ร่วมกับคนจีนที่หลั่งไหลกันมาอย่างมากมาย เห็นความอดทนของการรอคิวเข้าแถวชมงานในแต่ละ Pavilion แค่นี้เราก็งงและสัมผัสกับความเป็นจีนที่แท้จริงได้

ที่สำคัญแต่ผมกลับรู้สึกกลัว เพราะตั้งแต่ได้รู้จักและสัมผัสกับความเป็นประเทศจีนแล้ว เขาพัฒนากันอย่างจริงๆ จังๆ มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและแน่นอน ที่สำคัญ พวกเขาเรียนจากตำราเดียวกันกับเรา เพียงแต่พวกเขามีทรัพยากรอย่างพวกเรามี เราเป็น 20 เท่าของเรา เมื่อผมไปเมืองจีนทุกครั้ง จะพยายามไปร้านหนังสือ หลายคนถามว่า “ไปทำไมมีแต่หนังสือจีน อ่านไม่ออก” ผมไปดูว่าพวกเขาอ่านหนังสืออะไรกันบ้าง เพราะมีหลายเล่มที่เขียนชื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษด้วย ไปดูสิว่า คนจีนอ่านหนังสือแปลจากหนังสือฝรั่งอะไร รวมทั้งอ่านหนังสือฝรั่งอะไรบ้าง เหมือนเมืองไทยบ้างไหม พี่น้อง... สิ่งเหล่านี้ล่ะครับ ที่ช่วยจีนสร้างชาติได้ คนจีนไม่สามารถตรัสรู้เอง แต่ได้มาจากการศึกษาและทดลองทำตามวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่น ผมไปร้านหนังสือขนาดใหญ่ในเซี่ยงไฮ้อาคาร 8 ชั้น ที่ทั้งร้านขายหนังสืออย่างเดียว ใกล้ๆ People Square ผมเห็นผู้ใหญ่และเด็กจีนทั้งยืนและนั่งอ่านหนังสือตามที่ต่างๆ ในร้าน นั่งกับพื้นบ้าง นั่งตามบันไดบ้างด้วยความสนใจในวิทยาการต่างๆ ที่จะช่วยพวกเขาสร้างชาติ แม้ภาพเช่นนี้อาจพบได้บ้างในเมืองไทย แต่ผมว่าน้อยกว่าและเทียบกันไม่ได้ครับ พวกเราคนไทยทำอะไรกันอยู่ เรามีชาติไทยที่เป็นเอกราชมานานแสนนาน คนอื่นๆ เขาสร้างชาติกัน แต่เราช่วยกันทำลายชาติ ด้วยการไม่สนใจใฝ่หาความรู้กัน ทั้งยังอวดดีอวดเก่งกันเอง ประเภทโง่แล้วอวดฉลาด มอมเมาประชาชนด้วยแนวคิดที่..... ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้ว่าคนทั้งโลกพวกเขามองประเทศไทยกันอย่างไร

มุมมองแรกๆ ของงาน World Expo คือเห็นคนจำนวนมากมาย การเข้าคิวรอคอยที่ยาวนาน รวมทั้งความยากลำบากต่างๆ ที่จะทำให้เราไม่ได้รับความสะดวกสบาย ถึงแม้ว่าเพื่อนๆ เรา (เช่น คุณสัญญวิทย์ Blue and White) ที่ได้ไปงาน Expo มาแล้วได้เล่าให้ฟัง เราก็ยังไม่หวั่นที่จะไปลุยงาน ไปสัมผัสเหตุการณ์ด้วยตัวเอง แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าคือการหาข้อมูลเบื้องต้นแต่ละประเด็นของงาน World Expo ต่างหาก นั่นสำคัญมากกว่านัก ผมขาดการเตรียมตัวในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก เพราะความไม่รู้ (โง่) ที่ว่าไม่รู้หรือโง่นั้น คิดว่ารู้แล้วหรือไม่พยายามที่จะรู้ ก็เลยทำให้การไปชมงาน Expo ในครั้งนี้ถือว่าขาดทุน หรือว่าไม่คุ้มเลย ถึงขั้นว่าอาจจะต้องกลับไปดูอีกครั้งภายใน 4-5 เดือนข้างหน้านี้ ที่จริงแล้ว ถ้าเราหาดูใน WiKi ใน Web สักหน่อย ศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของงาน Expo รับรองว่าผมหรือทุกท่านจะดูงาน Expo อย่างสนุกสนานและมีคุณค่ายิ่งขึ้นไปอีก

ผมโชคดีที่ไปได้ Official Guide Book สำหรับงาน World Expo ระหว่างการไปเที่ยวชม Pearl Tower ก่อนจะเข้าชมงาน World Expo 1วัน จากร้านขายของที่ระลึก (ผนวกกับข้อมูลที่ทางทัวร์ผู้จัดมีรายละเอียดเกี่ยวกับงาน Expo ไว้บ้างเล็กน้อย) ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆ ต่างเกี่ยวกับงานนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ Slogan ที่ว่า Better City, Better Life ทำให้ผมเข้าใจ Theme หรือแนวคิดของการจัดงานมากยิ่งขึ้น ทำให้การเข้าชมงานมีรสชาดมากยิ่งขึ้น

นอกจากการเตรียมความพร้อมของสภาพร่างกายในการเดินและยืนรอ ยังต้องเตรียมสุขภาพจิตในการรอเข้าคิว และระวังไม่ให้คนจีนแซงคิวหน้าตาเฉย ผมว่าเพื่อนร่วมทัวร์หลายคนคงจะได้ประสบมาบ้าง วัตถุประสงค์ของงานนี้คงไม่ได้เป็นการขายของหรือขายการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ แต่เป็นงาน Expo ของโลก คนไทยอาจคุ้นเคยกับคำว่า Expo ว่าเป็นงานมหกรรมที่มีการขายของหรือสินค้าเป็นส่วนใหญ่ แต่งาน Expo นี้ ไม่ใช่การขายสินค้า แต่เป็นการขาย Ideas ต่างๆ ของแต่ละประเทศและองค์กร บริษัทต่างๆ เข้าร่วมงานภายใต้ Slogan : Better City, Better Life เมืองที่ดีกว่า นำสู่ชีวิตที่ดีกว่า ดังนั้น ผู้ที่เข้าร่วมงาน Expo ในแต่ละ Pavilion ก็ควรจะนำเสนอหรือแสดงแนวคิดหรือขาย Ideas ที่เกี่ยวกับ Better City, Better Life ผมคิดว่าเป็นการนำเอาประเด็นของสิ่งแวดล้อมหรือ Global Warming มาทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ด้วยการนำเสนอว่า การรวมตัวของผู้คนเป็นเมือง (City) ย่อมมีผลต่อชีวิตผู้คน ผมก็เลยถึงบางอ้อ ทำให้เกิดความตื่นเต้นในการเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง แถมยังทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้า การศึกษา ทำวิจัย หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่เกี่ยวกับแนวคิดของ Green หรือ Sustainable Society สังคมสีเขียวหรือสังคมที่ยั่งยืน ดังนั้น ผมว่าควรจะได้เห็นการพัฒนาการต่างๆ ด้านแนวคิดในแต่ละ Pavilion ระหว่างไปชมงาน Expo ในวันรุ่งขึ้น

และแล้วการเข้าชมงาน Expo ในวันแรกของการชมงานก็เป็นไปตามที่คุณสัญญวิทย์ได้เขียนเล่าเหตุการณ์การเข้าชมงานให้คณะทัวร์ก่อนจะเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ซึ่งเสมือนเป็นการขู่กันไว้ก่อน แต่พวกเราก็ไม่หวั่น คือไม่มีทางเลือก มาถึงที่แล้วนี่ ทุกคนต้องรักษาพื้นที่ส่วนหน้าของตัวเองไว้อย่างแข็งขันเพื่อให้คนมาแซงคิวได้ พยายาม “กระชับวงล้อม” ไว้ไม่ให้คนจีนหน้าไหนเข้ามาแทรกกลางเป็นอันขาด นี่ถ้าคนจีนอ่านภาษาไทยออก ผมจะเขียนป้ายไว้ว่า “เขตกระสุนจริง” หรือไม่ก็เขียนว่า “Thailand Red Shirt” ผมว่า คนคงไม่กล้ามายุ่งแน่นอน (ล้อเล่นนะครับ) พวกเราออกเดินทางจากโรงแรมที่อยู่ไกลจากเมืองมากพอสมควร พอมาถึงบริเวณงานก็สายพอควร กว่าจะได้เข้าถึงพื้นที่ที่ต้องการก็เกือบเที่ยงแล้ว พวกเราจึงมีเวลาประมาณ 6 ชั่วโมงในการเดินๆ ยืนๆ นั่งๆ แต่คงไม่มีใครถึงกับนอน พร้อมกับคนจีนส่วนใหญ่เป็นแสนๆ คนในบริเวณงาน แค่เดินไปรอบๆ เพียงบางส่วนของงานโดยไม่ต้องแวะหรือเข้าคิวตาม Pavilion ใหญ่ก็หมดเวลาไป 6 ชั่วโมงแล้ว ผมเดินอย่างเดียวไปรอบๆ ได้แค่ 1 ใน 3 ของพื้นที่เท่านั้นเอง แค่ได้สัมผัสบริเวณรอบๆ กับบาง Pavillion ที่ไม่ต้องเข้าคิวเลยเท่านั้นเอง แต่ขอบอกว่าอากาศดีมากๆ อยากให้อากาศเมืองไทยเป็นอย่างนี้มาก สุดท้ายพวกเราใช้เวลากัน 6 ชั่วโมงในการชมงาน บางคนมีเป้าหมายที่ประเทศใหญ่ เช่น จีน หรือญี่ปุ่น ก็ต้องเข้าคิวตามระเบียบและได้เดินชมงานน้อยลงไป จากการเดินและการต่อคิวเป็นเวลานานทำให้พลพรรคกว่าครึ่งของทัวร์ครั้งนี้ต้องขอถอนตัวในการเข้าชมงาน Expo วันที่สองจากความทรมานในเดินชมงาน บางคนอุตส่าห์เตรียมเก้าอี้ขนาดกระทัดรัดเพื่อไว้นั่งระหว่างเข้าคิว แต่ก็ได้ใช้นั่งระหว่างทาง ตอนเดินระหว่าง Pavilion ของประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ผมเองก็เกือบจะถอดใจเหมือนกัน แต่ใจและเท้าก็ยังพอจะไปไหว ผมสงสัยว่าเนื่องจากงานนี้ไม่ค่อยมีอะไรขายหรือเปล่า ก็เลยไม่มีกำลังใจเดิน ไม่เหมือนกับที่เราเดินซื้อของที่ Impact เมืองทองธานี ตั้งแต่เช้ายันเย็น พวกเราก็ไม่เคยบ่นกันใช่ไหมครับ บังเอิญว่างาน Expo ที่เซี่ยงไฮ้นี้ไม่มีของขายเลย มีแต่ของที่ระลึก (ซึ่งค่อนข้างแพง) สุดท้ายพวกเรา 40 กว่าชีวิตก็ซมซานกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เพื่อวางแผนในการเดินชมงานในวันต่อมา

สำหรับการชมงานในวันที่ 2 นี้ มีการเปลี่ยนแผนพอสมควร หลังจากการเดินชมงานในตอนกลางวันในวันแรก แม้ว่าอากาศจะดี ไม่ร้อนเลย แต่คนเยอะมากและเป็นวันเสาร์ด้วย แล้ววันที่ 2 ที่จะเข้างานเป็นวันอาทิตย์ด้วย พวกเราไม่อยากจะนึกภาพการเข้าคิวรอและคนจำนวนมากๆ สุดท้ายพวกเราก็เลยตัดสินใจ สร้างแรงบันดาลและเป็นการตัดไม้ ข่มนาม ในการเดินงาน Expo ด้วยการไปShopping กันทั้งวันให้สบายใจเสียก่อน วันนั้นเราไปตลาดของ Copy กันแต่เช้า เรียกว่าเป็นตลาดเกาหลี และแล้วเราก็ค้นพบงาน Expo ขนานแท้แบบเราๆ คือ มีทุกยี่ห้อ จากทุกประเทศ ต่อรองกันอย่างสบายใจ แถมไปเดินร้านขายสินค้าใต้ดินแถบ People Square อีกแห่งหนึ่ง ปรากฎว่าพลพรรคได้กำลังใจขึ้นมาอีกมาก หลังจากช้อปกันมาทั้งวันแล้วไม่น่าเชื่อครับว่ามีพลพรรคเปลี่ยนใจมาร่วมเข้าชมงาน Expo ในวันที่ 2 ในตอนกลางคืนอีกหลายคนทีเดียวครับ ทั้งๆ เดิมได้ตัดสินใจเลิกเดิน Expo กันไปแล้ว กำลังใจนั้นก็ได้มาจากการที่ได้ไป Shopping นั่นเอง ส่วนบางท่านไม่ไหวกันจริงก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมกันต่อไป

ขอจบตอนที่ 1 ตรงนี้นะครับ แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าวันที่ 2 เป็นอย่างไร

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

Recent Toyota Recall - Comments from The Toyota Way's Author

เป็นที่กล่าวขานถึงกันอย่างมากเกี่ยวกับการเรียกคืน (Recall) ของโตโยต้า มีผู้จัดรายการวิทยุบางรายถึงกับตั้งคำถามว่า อย่างนี้หนังสือ The Toyota Way ก็ใช้ไม่ได้น่ะสิ (นั่นก็คงหมายความว่า ลีนใช้ไม่ได้ด้วยใช่ไหม)

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าเรื่องการเรียกคืนนี้ อาจไม่เป็นคุ้นเคยกับคนไทย ทั้งผมยังคิดเองด้วยว่า จะมีใครไหมที่เข้าใจว่า การเรียกคืน หมายความว่าเอารถมาคืน - แล้วเอาค่ารถคืนไป แต่เชื่อไหมครับ มีบางรายการ (วิทยุ) คิดอย่างที่ผมสงสัยจริงๆ เขาแนะนำว่า น่าจะแปล Recall เป็นอย่างอื่น (เช่น ใช้คำว่า "เรียกซ่อม" แทนที่จะใช้ "เรียกคืน") ผมว่าเป็นเรื่องของภาษาอีกแล้ว ที่คนไทยจะคุ้นเคยกับคำที่เจาะจง ไม่เข้าใจระดับนามธรรมของศัพท์

วันนี้ผมเลยนำความเห็นของ Professor Jeffrey Liker ผู้แต่งหนังสือ The Toyota Way และ The Toyota Product Development System และอื่นๆ อีกหลายเล่มเกี่ยวกับโตโยต้ามาให้ฟังกันครับ Liker น่าจะวิเคราะห์ได้ถึงแก่นมากกว่านักหนังสือพิมพ์หรือนักจัดรายการต่างๆ มากนัก แต่หากอยากฟังแบบเต็มๆ ก็ตามไปที่เว็บนี้นะครับ http://www.charlierose.com/view/interview/10849