วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

My Download : Governing for the Future --

My Download :  ก็ค้นหาประเด็นของการจัดการอนาคต  การสร้างยุทธศาสตร์ชาติว่าควรจะมีองค์ประกอบอะไรบ้าง  โดยเฉพาะประเด็นเรื่องความไม่แน่นอน (uncertainty) และความซับซ้อน (Complexity) ซึ่งยิ่งวันยิ่งมากขึ้น  Papers นี้ โดย Petert Ho จากสิงค์โปร์  คนใกล้บ้านเรานี่เอง  ครับ ดูสิว่า เขาคิดอะไรกันอย่างไร

ที่มา :
http://www.rsis.edu.sg/publications/WorkingPapers/WP248.pdf

My Download : "ยุทธศาสตร์ชาติ"


My Download : เตรียมสอนเรื่อง "ยุทธศาสตร์ชาติ" ไปเจอ Paper นี้มาครับ จากบ้านใกล้ๆนี้ ประเทศสิงคโปร์  น่าสนใจครับว่า  พวกเขาคิดกันอย่างไร  กับอนาคตและยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับอนาคต

ที่มา :

http://www.cipd.co.uk/NR/rdonlyres/B52BD789-4A9A-4A32-AA5B-17D9B24D792B/0/5618_Work_Horizons_report.pdf

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชุม 6 สถาบัน -- 6.รัฐบาลในมุมมองของโซ่อุปทาน (จบ)


รัฐบาลในมุมมองของโซ่อุปทาน

หลายคนมีมุมมองเรื่องการจัดการโซ่อุปทานว่าคงเป็นแค่แฟชั่น  เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเวลาผ่านไปก็คงจะหายไปเหมือนเทคนิคการจัดการอื่นๆที่ผ่านมา   แต่โซ่อุปทานนั้นคงไม่เหมือนกับเทคนิคการจัดการทั่วไป   ในอนาคตชื่ออาจจะเปลี่ยนไปเป็นอย่างอื่น   แต่หลักคิดของความเป็นโซ่อุปทานนั้นยังคงอยู่และได้รับการพัฒนาอยู่อย่างต่อเนื่องเพียงแต่เราไม่รู้และยังไม่เข้าใจในหลักคิดของการจัดการโซ่อุปทานอย่างลึกซึ้ง   ถ้าจะคิดว่าโซ่อุปทานนั้นเป็นของจริงมากกว่าเทคนิคการจัดการอื่นๆ แล้ว  เราก็ต้องดูว่าเรามองเห็นโซ่อุปทานนั้นจากอดีตสู่ปัจจุบันและมองไปถึงอนาคตได้อย่างมีความเข้าใจและเห็นตัวตนของโซ่อุปทานได้มากเพียงไร

โซ่อุปทานประเทศสร้างคุณภาพชีวิต

ถ้าเรามองโซ่อุปทานประเทศ (Country Supply Chain) ว่าเป็นเหมือนองค์กรธุรกิจที่มีประชาชนเป็นเจ้าของและเป็นลูกค้าด้วยในเวลาเดียวกัน  หรืออาจจะมองให้กว้างและครอบคลุมมากกว่าว่า  โซ่อุปทานนั้นเป็นระบบสังคม (Social System)  ถ้าเป็นประเทศก็เป็นสังคมสาธารณะขนาดใหญ่  ซึ่งมีสังคมสาธารณะขนาดเล็กๆ จำนวนมากเป็นองค์ประกอบ   สังคมขนาดเล็กก็มีองค์กรธุรกิจที่แสวงหาประโยชน์ให้กับองค์กรเอง  และในขณะเดียวกันก็มีองค์กรสาธารณะอื่นๆที่ไม่ได้แสวงหากำไรให้กับองค์กร   แต่พยายามที่สร้างกำไรหรือประโยชน์ให้กับสาธารณะ  ในเมื่อประเทศเป็นสังคมสาธารณะขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วยสังคมธุรกิจทั้งขนาดใหญ่  กลางและเล็ก  สังคมสาธารณะต่างๆ รวมทั้งบุคคลธรรมดาทุกคนที่เป็นประชาชนและองค์กรในสังคมระดับประเทศจะต้องมีความมุ่งมั่นในผลประโยชน์ร่วมกัน   แต่ด้วยขนาดและความซับซ้อนที่เชื่อมโยงระหว่างทุกองค์ประกอบในสังคมทุกระดับ  ทำให้การอยู่ร่วมกันด้วยผลประโยชน์ร่วมกันเป็นไปได้ไม่ง่ายมากนัก
             
ในเมื่อประเทศเป็นสังคมที่สร้างคุณค่าหรือประโยชน์ให้กับประชาชน  เราก็สามารถที่จะพิจารณามองสังคมอย่างโซ่อุปทานได้  และมองไปถึงโซ่คุณค่าของประเทศ  แต่อาจจะมีคำถามว่าแล้วโซ่คุณค่าของประเทศ คือ อะไร?  ข้อเขียน “คุณภาพชีวิต ปฏิทินแห่งความหวัง จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ซึ่งเป็นข้อเขียนที่เขียนโดย อ. ดร. ป๋วย อึ๊งภากรณ์  สามารถอธิบายถึงโซ่คุณค่าของประเทศที่ประชาชนเป็นผู้ได้รับในฐานะลูกค้าและเป็นองค์ประกอบหนึ่งของโซ่คุณค่าประเทศ

เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์ และได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ผมมีอยู่ และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกฎหมาย หรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง  ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ ผมต้องการให้แม่ผมกับตัวผม ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์

ผมต้องการไปโรงเรียน พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียน จะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้ รู้คุณธรรมแห่งชีวิต ถ้าผมมีสติปัญญาเรียนชั้นสูงๆ ขึ้นไป ก็ให้มีโอกาสเรียนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวย หรือจน จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย ทำให้ได้รับความพอใจว่า ตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม บ้านเมืองที่ผมอาศัยอยู่จะต้องมีขื่อ มีแป ไม่มีการข่มขู่ กดขี่ หรือประทุษร้ายกัน ประเทศของผมควรจะมีความสัมพันธ์อันชอบธรรม และเป็นประโยชน์กับโลกภายนอก ผมจะได้มีโอกาสเรียนรู้ถึงความคิด และวิชาของมนุษย์ทั้งโลก และประเทศของผมจะได้มีโอกาส รับเงินทุนจากต่างประเทศ มาใช้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม  ผมต้องการให้ชาติของผมได้ขายผลิตผลแก่ต่างประเทศด้วยราคาอันเป็นธรรม ในฐานะที่ผมเป็นชาวไร่ชาวนา ผมก็อยากมีที่ดินของผมพอสมควรสำหรับทำมาหากิน มีช่องทางได้กู้ยืมเงินมาขยายงาน มีโอกาสรู้วิธีการทำกินแบบใหม่ๆ มีตลาดดี และขายสินค้าได้ในราคายุติธรรม

ในฐานะที่ผมเป็นกรรมกร ผมก็ควรจะมีหุ้นมีส่วนในโรงงาน บริษัท ห้างร้านที่ผมทำอยู่  ในฐานะที่ผมเป็นมนุษย์ ผมก็ต้องการอ่านหนังสือพิมพ์ และหนังสืออื่นๆ ที่ไม่แพงนัก จะฟังวิทยุ ดูโทรทัศน์ ก็ได้โดยไม่ต้องทนรบกวนจากการโฆษณามากนัก  ผมต้องการสุขภาพอนามัยอันดี และรัฐบาลจะต้องให้บริการป้องกันโรคแก่ผมฟรี กับบริการการแพทย์ รักษาพยาบาลอย่างถูกอย่างดี เจ็บป่วยเมื่อใดหาหมอพยาบาลได้สะดวก ผมจำเป็นต้องมีเวลาว่างสำหรับเพลิดเพลินกับครอบครัว มีสวนสาธารณะที่เขียวชะอุ่ม สามารถมีบทบาท และชมศิลปะ วรรณคดี นาฏศิลป์ ดนตรี วัฒนธรรมต่างๆ เที่ยวงานวัด งานลอยกระทง งานนักขัตฤกษ์ งานกุศลอะไรก็ได้พอสมควร ผมต้องการอากาศบริสุทธิ์สำหรับหายใจ น้ำดื่มบริสุทธิ์สำหรับดื่ม เรื่องอะไรที่ผมทำเองไม่ได้ หรือได้แต่ไม่ดี ผมก็จะขอความร่วมมือกับเพื่อนฝูงในรูปสหกรณ์ หรือ สโมสร หรือสหภาพ จะได้ช่วยซึ่งกันและกัน เรื่องที่ผมจะเรียกร้องข้างต้นนี้ ผมไม่เรียกร้องเปล่า

ผมยินดีเสียภาษีอากรให้ส่วนรวมตามอัตภาพ ผมต้องการโอกาสที่มีส่วนในสังคมรอบตัวผม ต้องการมีส่วนในการวินิจฉัยโชคชะตาทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของชาติ เมียผมก็ต้องการโอกาสต่างๆ เช่นเดียวกับผม และเราสองคนควรจะได้รับความรู้และวิธีการวางแผนครอบครัว เมื่อแก่ผมและเมียก็ควรได้ประโยชน์ตอบแทนจากการประกันสังคม ซึ่งผมได้จ่ายบำรุงตลอดมา เมื่อจะตาย ก็ขออย่าให้ตายอย่างโง่ๆ อย่างบ้าๆ คือตายในสงครามที่คนอื่นก่อให้เกิดขึ้น ตายในสงครามกลางเมือง ตายเพราะอุบัติเหตุรถยนต์ ตายเพราะน้ำหรืออากาศเป็นพิษ หรือตายเพราะการเมืองเป็นพิษ เมื่อตายแล้ว ยังมีทรัพย์สมบัติเหลืออยู่ เก็บไว้ให้เมียผมพอใจในชีวิตของเธอ ถ้าลูกยังเล็กอยู่ก็เก็บไว้ เลี้ยงให้โต แต่ลูกที่โตแล้วไม่ให้ นอกนั้นรัฐบาลควรเก็บไปหมด จะได้ใช้เป็นประโยชน์ในการบำรุงชีวิตของคนอื่นๆ บ้าง ตายแล้ว เผาผมเถิด อย่าฝัง คนอื่นจะได้มีที่ดินอาศัยและทำกิน และอย่าทำพิธีรีตอง ในงานศพให้วุ่นวายไป  นี่แหละคือความหมายของชีวิต นี่แหละคือการพัฒนาที่จะควรให้เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ของทุกคน   สุดท้ายนี้ ขอขอบพระคุณท่านทั้งหลายที่อุตส่าห์อ่านมาจนจบ ขอความสุขสวัสดีและสันติสุข จงเป็นของท่านทั้งหลาย และพระท่านกล่าวไว้ดังนี้เกี่ยวกับความสวัสดี “เราตถาคตไม่เห็นความสวัสดีอื่นใดของสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา เรื่องตรัสรู้ ความเพียร ความสำเร็จอินทรีย์ และความเสียสละ”

จากข้อเขียนข้างต้น  ลองสังเกตดูว่า มีกระทรวงใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับคุณภาพชีวิตของเราในโซ่คุณค่าแห่งชีวิตนี้   เราคงจะบอกได้ถึงหน้าที่หลักของรัฐบาลที่จะต้องบริหารและจัดการโซ่คุณค่าประเทศเพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน  ซึ่งได้เลือกผู้แทนราษฎรขึ้นมาเพื่อใช้สิทธิ์ใช้เสียงแทนพวกเขาในการบริหารประเทศ   เราจึงมอง จากครรภ์มารดาสู่เชิงตะกอน นั้นเป็นโซ่คุณค่าที่รัฐบาลจะต้องมาบริหารจัดการและพัฒนาให้สอดคล้องตามกระแสโลกาภิวัฒน์   ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลไทยหรือรัฐบาลไหนๆในโลกก็ตามก็คงไม่สามารถหลีกเลี่ยงกระบวนการสร้างสรรค์คุณค่าเหล่านี้ไปได้   และเป็นที่แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ดีจากการบริหารจัดการของรัฐบาลจะต้องกระจายออกไปในทุกส่วนทุกระดับของประชาชนในประเทศ   ในเมื่อประเทศมีโซ่คุณค่าที่เด่นชัดแล้ว   ก็จะต้องมีโซ่อุปทานซึ่งหมายถึง  กลุ่มผู้บริหารประเทศหรือผู้บริหารจัดการโซ่คุณค่า  ซึ่งก็คือ นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีที่กระจายกันออกไปบริหารจัดการตามกระทรวงต่างๆ เพื่อทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีกับประชาชนในทุกช่วงระยะชีวิตของประชาชนแต่ละคน

การรวมตัวของโซ่อุปทาน
             
เวลาที่เราพูดถึงโซ่อุปทาน หลายๆ คนก็นึกไปถึงในหลายๆ มุมมอง  แต่สำหรับผมนั้นเมื่อกล่าวถึงโซ่อุปทานผมจะหมายถึงความสามารถ (Competency) ของบุคคลหรือองค์กรที่มาปฏิบัติหรือมาดำเนินกระบวนการสร้างคุณค่า (Value Creation Process)  ดังนั้นผู้ที่ขึ้นมาเป็นรัฐบาลมาบริหารโซ่คุณค่าของประเทศก็ต้องมีความสามารถที่เหมาะสมในแต่ละกระบวนการสร้างสรรค์คุณค่าซึ่งจะต้องให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน

เคยมีหลายความคิดที่ไม่เป็นกลางหรือมีอคติว่าประเทศไทยนั้นไม่จำเป็นต้องมีนโนบายของพรรคการเมืองตามที่โฆษณาหาเสียงกันอยู่  เพราะว่าประเทศเรานั้นมีหน่วยงานวางแผนอย่างสภาพัฒน์ฯ อยู่แล้ว   ไม่จำเป็นต้องมีนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีที่ต้องมีความสามารถอะไรมากมาย  มีนายกรัฐมนตรีไว้รับแขกบ้านแขกเมืองก็พอแล้ว  เราจะคิดกันอย่างนั้นไม่ได้  เพราะประเทศไม่ใช่แค่สังคมเล็กๆแบบครอบครัว  แต่ประเทศประกอบด้วยหลายๆครอบครัวที่มีผลประโยชน์ที่แตกต่างกันออกไป  จึงต้องมีการจัดการแบ่งปันผลประโยชน์ส่วนรวมร่วมกัน  การเข้ามาบริหารจัดการประเทศไม่ใช่แค่ทำให้ประเทศดำเนินงานได้ไปวันๆ   แต่ต้องจัดการให้มีทิศทางในการพัฒนาและอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน  ทำให้ประเทศสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆในโลกได้  การที่จะทำได้เช่นนี้นั้นก็ต้องมีผู้ที่เข้ามาบริหารจัดการและพัฒนาทรัพยากรต่างๆในโซ่คุณค่าของประเทศและประสานผลประโยชน์ร่วมกันในโซ่อุปทานของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
             
การจัดตั้งรัฐบาลจึงเหมือนกับการก่อตัวหรือการรวมตัวกัน (Formation) ของความสามารถในการบริหารจัดการคุณค่าต่างๆ ในสังคมที่ประกอบกันเป็นคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน   หรือจะเปรียบเทียบได้กับการรวมตัวของนักดนตรีที่มีความสามารถโดดเด่นในการเล่นเครื่องดนตรีแต่ละชนิด  โดยมารวมตัวกันเป็นวงดนตรี  ไม่ใช่เหมือนกับการรวมตัวกันจัดตั้งรัฐบาลแบบไทยที่มีสูตรการจัดตั้งรัฐบาลตามจำนวน ส.ส. ที่ได้  แต่มันก็เป็นวัฒนธรรมของการเมืองไทยมาโดยตลอด
             
แล้วเราจะทำการรวมตัวโซ่อุปทานได้อย่างไร?  ที่จริงแล้วการรวมตัวกันเป็นกลุ่มหรือเป็นโซ่อุปทานนั้นไม่ใช่แค่การเอาแต่บุคคลหรือกลุ่มมารวมตัวกัน  แต่จะต้องคำนึงถึงเป้าหมายใหญ่ของโซ่อุปทาน  ก่อนอื่นเลยจะต้องรู้จักลูกค้าของประเทศเสียก่อนซึ่งก็ คือ ประชาชนของประเทศ  ต้องรู้ตำแหน่งของตัวเองหรือประเทศในสนามการแข่งขัน  รู้จักคู่ต่อสู้  เพราะประเทศต้องไปทำการค้ากับประเทศอื่นๆ เพื่อหารายได้เข้าประเทศ  และที่สำคัญต้องรู้จักสถานภาพปัจจุบันของตัวเองว่ามีความแข็งแกร่งตรงไหนและมีจุดอ่อนอย่างไรในกระบวนการสร้างคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนของประเทศ  ลองเปรียบเทียบกับการตั้งวงดนตรีสักวงหนึ่ง  คุณจะต้องเลือกกลุ่มผู้ฟังเพลงเพื่อกำหนดลักษณะของเพลงว่าจะอยู่ในประเภทไหนบ้าง  นักดนตรีจะเป็นใครบ้างที่จะมาร่วมวงกัน   หัวหน้าวงดนตรีและผู้จัดการวงจะเป็นใครดี  แล้วแผนการดำเนินการพัฒนาเพลงออกมาเป็นอัลบั้มและการแสดงทัวร์คอนเสิร์ตรวมทั้งผลประโยชน์ทางธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง  เพื่อให้วงดนตรีและบริษัทค่ายเพลงอยู่รอดได้ในธุรกิจ

รัฐบาลต้องคิดอย่างองค์รวม
             
โดยหลักคิดแล้วไม่ว่าโซ่อุปทานไหนๆ ก็มีหลักคิดเชิงโซ่อุปทาน (Supply Chain Thinking) เหมือนกันหมด  เพียงแต่จะมีความแตกต่างกันในประเด็นของลักษณะของลูกค้า   และลักษณะของผลิตภัณฑ์   ประเด็นทั้งสองนี้จะไปกำหนดโซ่คุณค่าและโซ่อุปทาน   การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมด้านเศรษฐกิจการค้า  สังคม  เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะเป็นตัวผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสังคม   ถ้าผู้ที่เข้ามาเป็นรัฐบาลสามารถมองปัญหาอย่างองค์รวมแบบโซ่อุปทานได้   ก็น่าจะสามารถตีประเด็นปัญหาดังกล่าวได้ว่าประชาชนของประเทศเป็นใครบ้าง   ความต้องการพื้นฐานของประชาชนในเวลานี้และในอนาคตมีอะไรบ้าง  ภาวะกดดันทางเศรษฐกิจต่างๆ จะเข้ามามีผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างไรบ้าง  จะต้องวางแผนอย่างไร   จะต้องมองไปข้างหน้าอย่างไร   จะต้องปรับตัวอย่างไร  จะต้องตัดสินใจอย่างไร   สุดท้ายที่สำคัญเมื่อมารวมตัวกันแล้วจะทำงานร่วมกันอย่างไร (Collaboration) ให้ลองสังเกตนโนบายของพรรคการเมืองต่างๆ ที่เราได้ฟังมาในช่วงการหาเสียงก่อนการเลือกตั้งว่ามีส่วนที่สะท้อนหรือเกี่ยวเนื่องกับความเป็นองค์รวมสำหรับโซ่อุปทานประเทศหรือไม่
             
หน่วยงานที่มีหน้าที่ในการวางแผนและกำหนดทิศทางของการพัฒนาประเทศของเราก็มีอยู่แล้ว   ข้อมูลพื้นฐานที่จำเป็นต่างๆ ในการบริหารจัดการประเทศของเราก็มีพร้อมอยู่แล้ว   แต่ว่าทำไมเรายังไม่สามารถแข่งขันกับประเทศคู่แข่งขันในโลกและโดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ เรา  ทั้งๆ ที่เราก็มีการพัฒนาประเทศที่ดีมาเป็นเวลานานแล้ว  แต่ทำไมเรากลับพัฒนาตามโลกไม่ทัน  พัฒนาช้าไป หรือไม่ก็เป็นการพัฒนาไปไม่ถูกทาง  ทั้งๆ ที่เราก็มีโครงสร้างโซ่อุปทานประเทศเหมือนกันกับประเทศอื่นๆ และเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่ง   และหลายๆ อย่างที่เรามีก็ดีกว่าเสียอีก  แต่ทำไมเรากำลังจะสู้เขาไม่ได้



ประเทศไทยเรายังขาดการคิดแบบองค์รวม (Holistic) แต่เรายังอยู่รวมกันเป็นประเทศ   ก็ยังดีที่ไม่ต่างคนต่างแยกกันอยู่   ปัญหาก็ คือ คงจะตายร่วมกันในอนาคตเป็นแน่   แต่คิดว่าคงจะไม่เป็นเช่นนั้น  ถ้าเราช่วยกันคิดช่วยกันทำ   ประเทศไทยในปัจจุบันเป็นเหมือนกับทีมฟุตบอลที่รวมเอาผู้เล่นที่มีความสามารถมารวมกันเป็นทีมเหมือนทีมอื่นๆ   แต่ไม่มีการจัดการโซ่อุปทานซึ่งไม่ใช่เป็นแค่มุมมองหนึ่งการจัดธุรกิจในอดีตที่เป็นการควบคุมและตรวจสอบ   หรือเป็นในลักษณะเชิงรับ (Reactive) มากกว่าเชิงรุก (Proactive)   ปัจจุบันในการจัดการไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือประเทศจะต้องมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุงอย่างก้าวกระโดด (Breakthrough)  เพื่อความอยู่รอด   แต่บางคนอาจจะแย้งว่าเราควรจะใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง  ไม่ควรจะก้าวกระโดด  ที่จริงแล้วเรายังมีความเข้าใจไม่ตรงกันในอีกหลายเรื่องที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งในตัวเองในเรื่องความเข้าใจในปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง  ก็ให้ลองกลับไปอ่านแผนพัฒนาเศรษฐกิจฉบับที่ 10  ว่ามีพื้นฐานจากปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไรบ้าง  ในขณะที่ประเทศไทยอยู่ในระบบตลาดเสรีทุนนิยม  สิ่งนี้อาจจะแสดงให้เราเห็นว่าเรายังใช้ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอย่างไม่มีประสิทธิภาพเท่าใดนัก หรือไม่ก็คงไม่เข้าใจในแก่นของปรัชญาดีพอ   ถ้าเราเข้าใจโซ่อุปทานก็จะพบว่าแก่นของการจัดการโซ่อุปทานที่ดีนั้นก็มีปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแฝงอยู่ด้วย

แต่ในภาวะของเศรษฐกิจที่เป็นพลวัตอย่างนี้   เราก็ควรจะต้องมองเศรษฐกิจพอเพียงอย่างเป็นพลวัตเช่นกัน  ประเด็นของการจัดการโซ่อุปทานในอดีตก็แฝงตัวอยู่ในการจัดการองค์กรธุรกิจของแต่ละองค์กรแบบตัวใครตัวมัน  แต่แรงกดดันจากทุกด้านในปัจจุบันผลักดันให้ผู้บริหารองค์กรจะต้องมองอย่างโซ่อุปทาน   มองอย่างองค์รวม  มองทั้งจากภายนอกจนถึงข้างในองค์กร  ที่สำคัญการมองอย่างองค์รวมเป็นการมองให้เห็นถึงผลกระทบที่ตามมาในสถานการณ์ต่างๆ ทำให้เราสามารถประเมินสถานการณ์ในอนาคตได้อย่างทันท่วงที

ลองมาพิจารณาที่ทีมฟุตบอลซึ่งมีแต่นักฟุตบอลที่เก่งๆ  แต่อาจจะพ่ายแพ้ต่อทีมที่มีนักฟุตบอลซึ่งไม่ได้มีฝีมือมากมายนัก  แต่กลับมีแผนการเล่นที่เป็นหนึ่งเดียวสามารถควบคุมได้ทั้งทีม  ดังนั้นความเป็นองค์รวมจึงต้องการความเป็นหนึ่งเดียว   มีเป้าหมายร่วมกัน   สังคมจะมีความเป็นองค์รวมได้ก็ต่อเมื่อสมาชิกของสังคมมีเป้าหมายเดียวกัน   ไม่ใช่มีแต่ความแตกแยก   โดยเฉพาะประเทศไทยในเวลาเช่นนี้ที่เรามักจะพูดถึงความแตกแยก  สังคมแบ่งออกเป็นฝักเป็นฝ่าย  หลายคนอยากให้มีความสมานฉันท์กัน   ที่จริงแล้วไม่ว่าสังคมหรือระบบใดก็ตามทั้งในธรรมชาติและในสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็ย่อมจะประกอบด้วยความแตกต่างกันทั้งสิ้น  จึงเกิดเป็นความหลากหลายที่สร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์และธรรมชาติเอง    สังคมหรือระบบต่างๆ เกิดมาจากองค์ประกอบหลายๆ องค์ประกอบที่มีความแตกต่างกัน   ดังนั้นทุกสังคมหรือทุกองค์กรในโลกนี้มีความแตกต่าง มีฝ่ายกันทั้งนั้น  แต่ทำไมสังคมอื่นๆ เขาจึงไม่มีความแตกแยกกัน

ที่เราพูดๆ กันมากในเรื่องความแตกแยก   บางครั้งอาจจะทำให้เรามีความรู้สึกว่าเราทุกคนต้องมีความคิดเหมือนกัน   ซึ่งที่จริงแล้วไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเช่นนั้น  ที่เราแตกแยกกัน ก็เพราะว่าเรามีความคิดที่หลากหลายแต่เราขาดแกนนำหรือผู้ที่จะมาเป็นคนที่ผสมผสานหรือบูรณาการความคิดทั้งหลายให้ไปในทิศทางเดียวกัน  ทำให้ผลประโยชน์ส่วนรวมเป็นผลประโยชน์ของทุกคนด้วย  แต่ก็อาจจะไม่ได้อย่างทั่วถึงในเวลาเดียวกัน   แต่จะต้องจัดสรรและกระจายไปให้เหมาะสมตามสัดส่วนการมีส่วนร่วมในโซ่คุณค่าและสภาวะการณ์แวดล้อม   ไม่ใช่เอาแต่ประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องมากเกินไป  จนทำให้ระบบโซ่อุปทานที่ควรจะพัฒนาไปได้ด้วยการรวมเอาแต่ละฝ่ายที่เก่งกันคนละอย่างมาทำงานร่วมกันเพื่อส่วนรวมไม่สามารถดำเนินการและพัฒนาไปได้

ผู้นำโซ่อุปทาน : ผู้สลายความแตกแยก
             
ในปัจจุบันระบบธุรกิจหรือองค์กรธุรกิจไม่ได้ถูกผลักดันด้วยภาวะผู้นำองค์กรธุรกิจเหมือนอดีต  เพราะว่าบริบทของธุรกิจในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตอย่างสิ้นเชิง  ดังนั้นผู้นำในปัจจุบันไม่ว่าจะเป็นองค์กรธุรกิจหรือประเทศไทยก็ตามจะต้องเปลี่ยนกรอบความคิดเสียใหม่ (Paradigm)  เหมือนหนังสือ  The World is Flat  ที่พยายามจะบอกว่าโลกนั้นไม่เหมือนเดิมเสียแล้ว   เช่นกัน  ผู้นำรัฐบาลในยุคนี้คงจะต้องมองจากภายนอกสู่ภายใน  ความเข้าใจในบริบทของโลกาภิวัฒน์เป็นประเด็นที่สำคัญของผู้นำประเทศในยุคนี้ไม่ว่าประเทศไหนๆก็ตาม   ในขณะเดียวกันผู้นำรัฐบาลก็ต้องมีความเข้าใจในสภาพหรือสถานะของโซ่อุปทานประเทศว่าอยู่ในตำแหน่งใดและสถานะใด   มีความสามารถในการแข่งขันระดับโลกอย่างไร  วิสัยทัศน์ในการจะนำพาประเทศและปรับปรุงพัฒนาประเทศไปถึงที่เป้าหมายท่ามกลางการแข่งขันในระดับโลกได้อย่างไร

ส่วนนักการเมืองก็คือ นักการเมือง   ผู้นำผู้บริหารประเทศก็ต้องเป็นนักการเมืองในอีกบทบาทหนึ่งที่ต้องใช้ความสามารถในการบริหารจัดการมากกว่า   ไม่ใช่แค่ตัวแทนของประชาชนในสภาเท่านั้น   ผู้นำและคณะผู้บริหารประเทศจะต้องมีมุมมองเชิงโซ่อุปทานและประสานผลประโยชน์ของผู้ร่วมรัฐบาลและผลประโยชน์ของชาติ   แต่ส่วนใหญ่ที่เห็นกันนั้นเป็นการประสานผลประโยชน์ส่วนตัวให้ลงตัวกันเสียก่อน    แล้วรัฐบาลก็อยู่ไม่รอดซึ่งก็เป็นเพราะว่าผลประโยชน์ส่วนตัวไม่ลงรอยกันเอง   แล้วยังกระทบไปยังผลประโยชน์ส่วนรวมจนสุดท้ายก็ต้องมีการเปลี่ยนรัฐบาลชุดใหม่เลือกตั้งใหม่
             
ทำไมผู้นำรัฐบาลของประเทศเรายังไม่สามารถสลายความแตกแยกได้   หรือพูดในอีกมุมหนึ่งได้ว่ายังไม่ประสานรวมความคิดที่แตกต่างให้เข้ากันได้  และต่อยอดให้เกิดประโยชน์กับทุกคน  อย่าลืมว่าเรื่องของโซ่อุปทานนั้นมีแกนอยู่ที่การตัดสินใจในแต่ละฝ่ายแต่ละฟังก์ชั่นที่ทำงานร่วมกัน  ไม่ใช่อยู่ที่โครงสร้างพื้นฐานหรือเทคโนโลยี  โซ่อุปทานที่ดีนั้นอยู่ที่ความสามารถในการคิดอ่านหรือตัดสินใจ  หรือ Supply Chain Intelligence   ความสามารถตรงนี้มีเฉพาะมนุษย์เท่านั้นที่ทำได้ดีที่สุด  ไม่มีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีใดจะมาทดแทนได้   แต่เทคโนโลยีถูกมนุษย์นำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินงานแทนมนุษย์    ดังนั้นประเทศใดที่มีความสามารถในการแข่งขันสูง  ประเทศนั้นจะมีความชาญฉลาดเชิงสังคม  (Social Intelligence) สูง  ซึ่งหมายถึงความสามารถของแต่ละบุคคลที่ร่วมกันคิดร่วมกันทำเพื่อส่วนรวม  ในขณะที่สังคมหรือประเทศมีความซับซ้อนมากขึ้นอยู่ตลอดเวลา  ความเก่งหรือความสามารถในการคิดอ่าน  การเรียนรู้และการให้เหตุผลก็จะมีความซับซ้อนมากขึ้น   ความสามารถเช่นนี้ คือ ความฉลาดเชิงสังคมที่สามารถนิยามได้ว่าเป็นความสามารถที่อยู่เบื้องหลังพฤติกรรมและการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างกลุ่มคน   ดังนั้นโซ่อุปทานจึงเป็นเรื่องของคนหลายคนที่มาสร้างประโยชน์ร่วมกัน  ซึ่งดีกว่าคนเดียวหรือต่างคนต่างทำ

ความชาญฉลาดเชิงสังคม
             
การจัดตั้งรัฐบาลต้องเป็นมากกว่าการจัดสรรผลประโยชน์ส่วนพรรค (ทั้งพรรคการเมืองและพรรคพวก)  ในมุมมองของโซ่อุปทาน  ความสามารถของโซ่อุปทานขึ้นอยู่กับความชาญฉลาดของโซ่อุปทานซึ่งก็ คือ ระบบสังคมแบบหนึ่ง  ดังนั้นโซ่อุปทานก็ควรจะมีความชาญฉลาดในการสร้างสรรค์คุณค่า    เช่นเดียวกับสังคมระดับประเทศที่เป็นโซ่อุปทาน ก็จะต้องมีความชาญฉลาดเชิงสังคมเพื่อที่จะตัดสินใจในกระบวนการสร้างสรรค์คุณค่าให้กับสังคม   มีนักเขียนนักวิชาการหลายท่านได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายเล่ม  ส่วนใหญ่มองในมุมของจิตวิทยาส่วนบุคคลที่มีต่อสังคมภายนอกและการทำงานร่วมกับผู้อื่นหรือมองจากภายในไปสู่ภายนอก   แต่ในมุมมองของนักจัดการโซ่อุปทานนั้นความชาญฉลาดเชิงสังคมของโซ่อุปทานจะต้องมองจากภายนอกสู่ภายใน  โดยมีลักษณะเชิงรุก (Proactive) มากกว่า   เพราะว่าเมื่อโซ่อุปทานเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทธุรกิจและเศรษฐกิจสังคม    ผู้นำโซ่อุปทานจะต้องกลับมากำหนดความสามารถหรือปรับปรุงความสามารถของทีมงานหรือสมาชิกในสังคมเพื่อให้สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงได้   การกระจายงานหรือการแบ่งงานกันทำในลักษณะการวิเคราะห์โซ่คุณค่าแล้วกระจายออกไปตามแผนกหรือฝ่าย   หรือไม่ก็ Outsource ออกไปให้บริษัทภายนอกที่สามารถทำได้ดีกว่ารับไปทำในฐานะหุ้นส่วนหนึ่งของโซ่อุปทาน

ดังนั้น ทุกคนในโซ่อุปทานจะต้องมีความชาญฉลาด (Intelligence) ในการเรียนรู้และการให้เหตุผล  เพื่อสร้างความสามารถใหม่ (New Competency) ให้สอดคล้องกับคุณค่าใหม่ที่ลูกค้าต้องการ   และความสามารถเหล่านี้จะต้องสอดคล้องกันไปทั่วทั้งโซ่อุปทานด้วยการทำงานร่วมกัน (Collaboration) แล้วลองคิดดูว่า โซ่อุปทานของรัฐบาลในแต่ละชุดมีความชาญฉลาดเชิงสังคมมากน้อยแค่ไหน  ทั้งที่ทุกคนในคณะรัฐมนตรีมีความชาญฉลาดส่วนบุคคลที่ดีทั้งนั้น  แต่ขาดความชาญฉลาดเชิงสังคมหรือเชิงกลุ่มซึ่งจะต้องเกิดจากภาวะผู้นำของคนที่จะมาเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย   ผมก็หวังว่าสังคมไทยก็น่าจะมีความหวังในการพัฒนาความชาญฉลาดเชิงสังคมให้เพิ่มมากขึ้น  รัฐบาลจะได้ฉลาดขึ้น  ผลประโยชน์จะได้ตกเป็นของประชาชนส่วนใหญ่

การประชุมทางวิชาการระหว่างหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง 6 สถาบัน ครั้งที่ 2
หัวข้อ “รัฐบาลใหม่กับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย”
ประเด็นการนำเสนอ :  การบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทาน
ดร.วิทยา  สุหฤทดำรง
ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน  มหาวิทยาลัยศรีปทุม
นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 2331 สิงหาคม 2554

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

โซ่อุปทานหนังสือคืออะไร การจัดการโซ่อุปทานหนังสือจะเริ่มอย่างไร


ดร.วิทยา สุหฤทดำรง
วิทยาลัยนานาชาติ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า เจ้าคุณทหารลาดกระบัง 
และ อี ไอ สแควร์ สำนักพิมพ์

หลายๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า Demand และ Supply และเข้าใจกันอยู่บ้างแล้วว่าหมายถึงอุปสงค์และอุปทาน ตามลำดับ  และแม้ว่าหลายคนก็ได้ยินคำว่า Supply Chain หรือ โซ่อุปทาน มากขึ้นๆ  ผมยังเชื่อว่าคงมีคำถามอยู่ว่าคืออะไรกัน...

โซ่อุปทาน (Supply Chain) คือ เครือข่ายของหุ้นส่วนธุรกิจ ตั้งแต่วัตถุดิบไปจนถึงผู้บริโภค และรวมการผลิต การจัดจำหน่าย การขนส่ง การค้าส่ง การค้าปลีก และผู้จัดส่งวัตถุดิบรายอื่นๆ ที่มีส่วนในการผลิต จัดส่ง และขายผลิตภัณฑ์หรือบริการ  (คำนิยามจาก Council of Supply Chain Management Professional: CSCMP)  เครือข่ายเหล่านี้สร้างคุณค่า (Value หรือประโยชน์ หรือผลิตภัณฑ์/บริการก็ได้) โดยกระบวนการสร้างคุณค่าซึ่งมี 2 ขั้นตอน คือ การวางแผนและการดำเนินการ  ซึ่งกิจกรรมในการดำเนินการนี้ก็จำแนกได้ 2 ประเภท คือ กิจกรรมการผลิต (Make) กิจกรรมลอจิสติกส์ (Move)    สมาชิกในโซ่อุปทานจะเป็นผู้สร้างคุณค่าเหล่านี้และเคลื่อนย้ายมารวมกันจนเป็นคุณค่าสุดท้ายที่ลูกค้าต้องการ    กิจกรรมลอจิสติกส์ (Logistics) เป็นกิจกรรมภายในโซ่อุปทานที่เกิดจากการวางแผน ดำเนินการ และควบคุมเพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายทรัพยากร (ซึ่งหมายถึงทั้งจัดหา จัดเก็บ จัดส่ง การบริการต่างๆ และสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง) ที่จำเป็นสำหรับการนำส่งคุณค่า ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงจุดที่มีการใช้หรือบริโภค เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างมีประสิทธิผลและประสิทธิภาพ    ลอจิสติกส์จึงไม่ได้ถูกตีกรอบว่าอยู่ในบริบทของการขนส่ง การจัดเก็บและการกระจายสินค้าอย่างเช่นที่มักเข้าใจกันเท่านั้น แต่อยู่ในบริบทของกระบวนการธุรกิจตั้งแต่ต้นทางของทรัพยากร ไปจนถึงปลายทางที่มีการบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์ และมองแบบนามธรรมว่าเป็นการไหลของคุณค่า แทนการไหลของสินค้าหรือวัตถุดิบ

โซ่อุปทานหนังสือ (Book Supply Chain) จึงหมายถึง เครือข่ายของบุคคลและองค์กรต่างๆ ที่ดำเนินกระบวนการต่างๆ ร่วมและต่อเนื่องกันเพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาและผลิตออกมาเป็นหนังสือ  โดยหลักๆ แล้วประกอบไปด้วย นักเขียน/นักแปล สำนักพิมพ์ โรงพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย และร้านหนังสือ   อย่างไรก็ตาม ยังคงมีโซ่อุปทานของคุณค่าอื่นๆ ประกอบกันเป็นโครงข่ายโยงใยนอกเหนือจากนี้อีก เช่น มีโซ่อุปทานกระดาษซึ่งประกอบด้วย ชาวไร่ปลูกต้นไม้ และโรงงานกระดาษ เป็นต้น

สมาชิกในโซ่อุปทานเหล่านี้จะสร้างคุณค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น นักเขียนผลิตงานเขียนออกมา สำนักพิมพ์ก็ตรวจแก้และจัดทำเป็นต้นฉบับที่พร้อมเข้าสู่โรงพิมพ์ โรงพิมพ์พิมพ์หนังสือออกมาเป็นรูปเล่ม ผู้จัดจำหน่ายกระจายหนังสือไปให้ถึงร้านหนังสือที่เป็นจุดค้าปลีกที่เหมาะสม  คุณค่าเหล่านี้เป็นทั้งคุณค่าเชิงผลิตภัณฑ์ (คือทำให้ผลิตภัณฑ์สมบูรณ์มากขึ้นๆ)  และคุณค่าเชิงลอจิสติกส์ (คือเก็บรักษาคงสภาพผลิตภัณฑ์หรือเคลื่อนย้ายผลิตภัณฑ์ให้ใกล้ลูกค้ามากขึ้นเรื่อยๆ) รวมเป็นผลิตภัณฑ์สมบูรณ์ตามที่ลูกค้าต้องการ ในสถานที่และเวลาที่ลูกค้าต้องการ

โซ่อุปทานเกิดขึ้นเพราะความต้องการของลูกค้ามีความซับซ้อนเพิ่มมากขึ้น จนเราไม่สามารถสร้างคุณค่าที่ซับซ้อนหรือมีองค์ประกอบมากมายได้ด้วยองค์กรเดียว นอกจากนี้ เราอาจไม่มีความสามารถ (ความเก่ง) ในการทำทุกกระบวนการได้ดีด้วยองค์กรเดียว จึงต้องแบ่งคุณค่าต่างๆ ออกไปให้ผู้สร้างคุณค่าอื่นๆ ร่วมกันสร้างคุณค่า แล้วจึงเคลื่อนย้าย (ลอจิสติกส์) มาบูรณาการกันเป็นผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้าย

ภาพอย่างง่ายของโซ่อุปทานและโซ่คุณค่าหนังสือ

แม้แต่ในองค์กรเดียวกัน ยังต้องแบ่งเป็นฝ่ายเป็นแผนกที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เช่น ฝ่ายจัดซื้อ ฝ่ายผลิต ฝ่ายจัดส่ง ฝ่ายการตลาด/ขาย ฯลฯ ฝ่ายต่างๆ เหล่านี้ถือเป็นโซ่อุปทานภายในองค์กรที่ทำหน้าที่สร้างคุณค่าเพิ่มหรือสนับสนุนการสร้างคุณค่า แล้วจึงเคลื่อนย้าย (ลอจิสติกส์) มาบูรณาการกันเป็นผลิตภัณฑ์ขององค์กร

กิจกรรมในการดำเนินการที่ไม่ได้เพิ่มคุณค่า (กิจกรรมที่ไม่ใช่การผลิต หรือ Make) ล้วนเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์ หรือ Move ทั้งสิ้น    ลอจิสติกส์เป็นคำที่แสดงให้เห็นถึงการจัดการการไหลของคุณค่าไปสู่ลูกค้า ซึ่งเป็นได้ตั้งแต่การจัดซื้อ การจัดการผลิต การจัดเก็บ การขนส่งและการกระจายสินค้า การค้าปลีก และการบริการลูกค้า ฯลฯ รวมทั้ง เป็นได้ทั้งลอจิสติกส์ภายในองค์กรและลอจิสติกส์ระหว่างองค์กร

ประเด็นสำคัญคือ กิจกรรมลอจิสติกส์ต่างๆ ต้องมีเป้าหมายเพื่อนำส่งคุณค่าให้ถึงมือลูกค้าผู้ใช้ผลิตภัณฑ์คนสุดท้ายเท่านั้น    การขนส่งจากจุดหนึ่งไปยังจุดหนึ่งตามคำสั่งของผู้ว่าจ้าง ดังเช่นที่ผู้จัดจำหน่ายใช้บริการของผู้ให้บริการ (ไม่ว่าชื่อบริษัทจะลงท้ายว่า "ลอจิสติกส์" หรือไม่ก็ตาม) ที่รับขนส่งไปยังร้านหนังสือในต่างจังหวัด ถึงจุดหมายแล้วจบหน้าที่ โดยที่ไม่ได้คำนึงว่าสิ่งที่ส่งนั้นคืออะไร ลูกค้าคนสุดท้ายคือใคร  สภาพหนังสือที่ได้รับจะอยู่ในสภาพที่ดีที่เขาพึงพอใจหรือไม่  ทันเวลาตามที่เขาต้องการหรือไม่นั้น จึงยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์อย่างแท้จริง   การจัดการลอจิสติกส์ที่ดีจะเกิดขึ้นได้จากการจัดการโซ่อุปทานที่ดีเท่านั้น

การจัดการโซ่อุปทาน (Supply Chain Management) คือ การบูรณาการของกระบวนการธุรกิจหลักๆ ตั้งแต่ผู้ใช้ปลายทางไปจนถึงผู้จัดหาวัตถุดิบตั้งต้นที่จัดหาผลิตภัณฑ์ บริการ และข้อมูลที่เพิ่มคุณค่าให้แก่ลูกค้าและผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียรายอื่นๆ (Lambert และคณะ, 1998)  คือ กระบวนการและเครื่องมือในการปฏิสัมพันธ์และร่วมมือกัน ที่ใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์ทางยุทธศาสตร์ภายในโซ่อุปทานผ่านการสื่อสารส่วนตัวและการสื่อสารทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแบ่งปันข้อมูลข่าวกรองและข้อมูลที่สำคัญต่อพันธกิจ ทั้งข้อมูลสารสนเทศของการขาย การพยากรณ์ การวางแผน การจัดซื้อ และการเติมเต็ม โดยมีวัตถุประสงค์สูงสุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพ การลดต้นทุน และเพิ่มกำไร โดยการทำให้มั่นใจว่ามีการนำส่งผลิตภัณฑ์ที่ถูกต้อง ไปยังสถานที่ที่ถูกต้อง ในเวลาที่ถูกต้อง   โดยหุ้นส่วนที่แข็งแกร่งและมีความมุ่งมั่นที่จะทำงานร่วมกัน ทำให้ไม่มีการแข่งขันระหว่างบริษัทอีกต่อไป แต่เปลี่ยนเป็นการแข่งขันระหว่างโซ่อุปทาน (Tompkins Associates, 2000)

ดังนั้น เมื่อกลุ่มผู้สร้างคุณค่าในโซ่อุปทาน "ทำงานร่วมกัน วางแผนงานร่วมกัน" เพื่อให้เกิดเป็นแผนการดำเนินงานในโซ่อุปทาน ทั้งในด้านแผนการผลิต (สร้างคุณค่า) และทั้งแผนลอจิสติกส์ (เคลื่อนย้ายคุณค่า) ซึ่งสมาชิกในโซ่อุปทานภายในองค์กรแต่ละคนที่มีหน้าที่ต่างๆ ตามข้อตกลงที่มีร่วมกันที่จะนำแผนโซ่อุปทานมาเป็นแผนหลักในการจัดการ แผนการจัดหา แผนการผลิต แผนการจัดเก็บ แผนการจัดส่ง แผนการขาย  เมื่อทุกคนในโซ่อุปทานขององค์กรมีแผนเดียวกัน การดำเนินงานภายในองค์กรก็น่าจะสอดคล้องกัน

ในทำนองเดียวกัน ถ้าในโซ่อุปทานผลิตภัณฑ์ (หรือโซ่อุปทานระหว่างองค์กร) มีแผนโซ่อุปทานเดียวที่ได้รับการกำหนดและตกลงร่วมกัน ก็ย่อมสามารถทำให้สมาชิกของโซ่อุปทาน (ซึ่งก็คือบริษัทแต่ละบริษัท) สามารถวางแผนและดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและสอดคล้องกันทุกบริษัทในโซ่อุปทาน   ลักษณะของโซ่อุปทานแบบนี้ หมายถึง สถานะภาพของความเป็นองค์กรเสมือน (Virtual Organization) หรือทำงานร่วมกันเสมือนเป็นองค์กรเดียวกัน ที่สามารถสร้างคุณค่าในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และบริการออกมาตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า  ความเป็นองค์กรเสมือนนี้ประกอบไปด้วยองค์กรย่อยๆ หรือหน่วยงานย่อยๆ ที่เชื่อมต่อกันอย่างหลวมๆ เพื่อความยืดหยุ่น (Flexible) และการปรับตัว (Adapt) ด้วยเป้าหมายร่วมกันในการสร้างคุณค่าเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า

ในอุตสาหกรรมหนังสือไทยก็มีตัวอย่างให้เห็นว่าหลายองค์กรมีการบูรณาการข้ามหน่วยงานเพื่อสร้างโซ่อุปทานของตนให้ครอบคลุมขึ้น (บางแห่งเมื่อรวมบริษัทในเครือแล้ว มีตั้งแต่โรงพิมพ์ สำนักพิมพ์ ผู้จัดจำหน่าย จนไปถึงร้านหนังสือ)  ตามหลักแล้วก็เพื่อใช้ประโยชน์ของการเป็นองค์กรเดียวกันในการทำงานร่วมกันมากขึ้น วางแผนและแบ่งปันข้อมูลกันได้มากขึ้น ทั้งนี้ก็เพื่อเพิ่มความสามารถในการจัดการโซ่อุปทานในองค์กรให้ดีขึ้นนั่นเอง

ประเด็นของการทำงานร่วมกัน (Collaboration) หมายถึง การวางแผนและตัดสินร่วมกันของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ไม่ใช่เพียงแค่ร่วมมือกัน (Cooperation) แต่จะต้องร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมรับผิดและรับชอบในผลงานของทั้งเครือข่าย  ประเด็นนี้เป็นประเด็นสำคัญที่มีผลต่อสมรรถนะ (ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับเปลี่ยน) ของเครือข่ายโซ่อุปทาน มองเครือข่ายโซ่อุปทานเดียวกัน  ไม่ใช่มองกันแบบแยกส่วน (Silo) ทำเพื่อผลประโยชน์ของหน่วยงานหรือองค์กรตนเองเป็นหลัก สิ่งที่สำคัญคือจะต้องเห็นผลประโยชน์ของเครือข่ายโซ่อุปทานเป็นหลักแทน  เพราะว่าถ้าเครือข่ายโซ่อุปทานไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้แล้ว สมาชิกทั้งเครือข่ายก็จะมีปัญหาตามมาอีก  ถ้าคุณค่าที่อยู่ในรูปของสินค้าและบริการสามารถขายได้ ทั้งเครือข่ายก็อยู่รอด แต่ถ้าขายไม่ได้ ทั้งเครือข่ายก็ไม่อยู่รอด

การทำงานร่วมกันจะกำหนดข้อตกลงและรูปแบบการดำเนินการที่สมาชิกในโซ่อุปทานทำและสื่อสารระหว่างกัน จะมีข้อมูลสารสนเทศอะไรบ้างที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ ในเวลารวดเร็วเพียงใด ถ้าประเด็นการสื่อสารนี้มีปัญหาหรือไม่ทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงของความต้องการของลูกค้าและการเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรในการสร้างคุณค่าที่มีผลต่อการดำเนินงานแล้ว โซ่อุปทานจะมีปัญหาในการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้  ข้อมูลเหล่านี้จะมีผลต่อการดำเนินงาน (Execution) ของกระบวนการในโซ่อุปทาน  แม้จะมีการตัดสินใจที่ดีแต่หากอยู่บนพื้นฐานของข้อมูลที่ไม่ครบถ้วนหรือล่าช้า ก็จะส่งผลให้การไหลของคุณค่าไม่สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า  ทำให้เกิดภาวะที่มีผลิตภัณฑ์หรือบริการไม่เพียงพอ หรือมีมากเกินไป  นอกจากนี้ ข้อมูลสมรรถนะ (ประสิทธิผล ประสิทธิภาพ และความสามารถในการปรับเปลี่ยน) ที่อยู่ในรูปของดัชนีชี้วัด (KPI) ต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายใช้ จะประเมินว่ากิจกรรมต่างๆ เชิงลอจิสติกส์ที่ส่งผลของการไหลของคุณค่า หรือการนำส่งผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้นสามารถดำเนินการตามที่คาดหวังหรือตกลงร่วมกันได้หรือไม่  กล่าวคือ ดี คือ นำส่งและคงรักษาผลิตภัณฑ์ได้ในสภาพที่ดี (ทั้งส่งผลิตภัณฑ์ขาไปและขากลับเป็นสินค้าคืน) ไม่ผิดพลาดจากการนำส่ง;  เร็ว คือ นำส่งได้ทันเวลาตามที่ต้องการ; ถูก คือ นำส่งด้วยต้นทุนการดำเนินการที่สมเหตุผล

ลองหันกลับมามองโซ่อุปทานหนังสือไทย โดยเฉพาะในส่วนของการกระจายหนังสือผ่านผู้จัดจำหน่าย ผ่านร้านหนังสือ ไปยังลูกค้าที่เป็นผู้อ่าน  นอกจากข้อตกลงร่วมกันระหว่างคู่ค้าที่ชัดเจนคือส่วนลดการค้าและวิธีการเก็บเงินแล้ว พวกเราได้ทำงานร่วมกัน วางแผนงานร่วมกัน มีข้อตกลงในรูปแบบการทำงาน ข้อมูลสารสนเทศที่ต้องสื่อสารระหว่างกันอย่างไรบ้าง  พวกเราใช้หลักการ ข้อมูล และเครื่องมือใดเพื่อใช้ในการวิเคราะห์ตัดสินใจ  พวกเราประเมินสมรรถนะการทำงานจากดัชนีชี้วัดใดบ้างที่นอกเหนือจากยอดขายและตัวเลขกำไรแล้ว  แล้วเรานำผลดัชนีชี้วัดนั้นมาสร้างมาตรการในการแก้ไขปรับปรุงทั้งภายในและระหว่างองค์กรอย่างไร   การจัดการโซ่อุปทานหนังสือที่ดีจึงควรเริ่มที่จุดนี้...

ประชุม 6 สถาบันฯ -- 5.สร้างยุทธศาสตร์ชาติด้วยการคิดอย่างโซ่อุปทานและลอจิสติกส์


สร้างยุทธศาสตร์ชาติด้วยการคิดอย่างโซ่อุปทานและลอจิสติกส์

จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดในบริบทของสังคมโลกจึงทำให้มีความเป็นพลวัตหรือมีความผันผวนในระบบเศรษฐกิจและสังคมอยู่ตลอดเวลา แนวคิดของการจัดการโซ่อุปทานและลอจิสติกส์ก็ได้รับการตอบรับมากขึ้นเป็นลำดับ และได้รับความสนใจในระดับนโยบายระดับชาติ แต่ละหน่วยงานในระดับกระทรวงหรือ กรมต่างๆ รวมถึงสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ได้ศึกษาและหาข้อมูลต่างๆ  เพื่อที่จะกำหนดแนวทางและนโยบายด้านลอจิสติกส์และโซ่อุปทานในระดับชาติเพื่อให้สอดรับกับยุทธศาสตร์ในระดับชาติ

คุณค่าของความเป็นชาติ
             
เมื่อพูดถึงความเป็นชาติแล้ว ทำให้นึกถึงประวัติศาสตร์ไทยในมุมต่างๆ ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันอยู่เรื่อยมา แต่คุณค่า (Value) ของชาตินั้น สามารถที่จะมองได้ในเชิงเศรษฐกิจและความสามารถในการแข่งขันของคนในชาติที่อยู่รวมกันโดยมีเป้าหมายร่วมกันและมีสัญลักษณ์ของความเป็นพวกเดียวกัน ชนในชาตินั้นก็จะถูกผลักดันด้วยวัฒนธรรมและประเพณีท้องถิ่นต่างๆ เพื่อให้เกิดการสร้างและพัฒนาความเจริญของชาติ ดังนั้นคุณค่าของชาติถ้าวัดในเชิงขนาดของเศรษฐกิจก็สามารถวัดได้ที่ GDP และความสามารถในการแข่งขันในด้านต่างๆ ของแต่ละประเทศ

แนวคิดลอจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้นมีผลกระทบโดยตรงต่อการสร้างชาติ และมีอิทธิพลโดยตรงต่อโซ่คุณค่า (Value Chain) ของประเทศนั้น แต่ละประเทศก็มีคุณค่า (Value) แตกต่างกันออกไป   ประเทศที่มีพื้นที่เพาะปลูกมากก็จะสร้างผลิตผลทางการเกษตรออกมา บางประเทศที่แหล่งทรัพยากรธรรมชาติมากก็จะมีแหล่งอุตสาหกรรมในการแปรรูปวัตถุดิบเพื่อการส่งออกและใช้ในอุตสาหกรรมประเภทต่างๆ บางประเทศที่มีแหล่งท่องเที่ยวมากก็จะใช้พื้นที่และแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติเพื่อบริการแก่นักท่องเที่ยวเป็นหลัก บางประเทศก็อาจจะมีคุณค่าต่างๆ มากกว่าหนึ่งคุณค่าตามความหลากหลายในความสามารถของคนภายในประเทศ ในแต่ละคุณค่าก็จะมี  Value Chain  หรือ โซ่คุณค่าของแต่ละชนิดแตกต่างกันไป
สำหรับประเทศไทยนั้นได้มีการทำวิจัยและกำหนดคุณค่าหรือกลุ่มสินค้าที่สามารถพัฒนาให้มีความสามารถในการแข่งขันได้มากขึ้น คือ อุตสาหกรรมรถยนต์ อุตสาหกรรม ICT  อุตสาหกรรมอาหาร อุตสาหกรรมท่องเที่ยว อุตสาหกรรมเสื้อผ้าและแฟชั่น   เป็นที่แน่นอนว่าการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเพื่อที่จะผลิตและส่งมอบผลิตภัณฑ์สินค้าไปสู่ลูกค้ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่ากิจกรรมการผลิตเลย ในมุมมองของประเทศหรือชาติ ลูกค้าของอุตสาหกรรมจะมีทั้งภายในประเทศและต่างประเทศหรือตลาดโลก   ดังนั้นโจทย์ของยุทธศาสตร์ชาติในด้านลอจิสติกส์และโซ่อุปทานควรจะสนับสนุนการสร้างคุณค่าและการส่งมอบคุณค่าเหล่านี้ต่อลูกค้า (Value Creation and Value Delivery)  

บทบาทของภาครัฐ

โดยปกติภาครัฐไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต่อโซ่คุณค่าและโซ่อุปทานของผลิตภัณฑ์   แต่ถ้ามองให้ดีแล้วภาครัฐจะเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากและยังเป็นผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียโดยตรงต่อโซ่คุณค่านั้นๆ ซึ่งจะเป็นเหมือนจุดมุ่งหมายของภาครัฐในการสร้างความอยู่ดีกินดีของประชาชนในประเทศ ภาครัฐนั้นจะอยู่ในฐานะผู้สนับสนุนในการสร้างคุณค่านั้นๆ ออกมา  ให้ลองพิจารณาประเทศหนึ่งๆซึ่งเป็นบริษัทที่มีประชาชนทุกคนเป็นผู้ถือหุ้น โดยที่ประชาชนแต่ละคนก็ต้องเสียภาษีเงินได้ทุกปีเปรียบเสมือนค่าหุ้น เหมือนดังที่นักการเมืองทุกคนจะพูดว่าประชาชนทุกคนคือ เจ้าของประเทศ

บทบาทของภาครัฐในโซ่คุณค่าแต่ละโซ่นั้นก็มีหลายบทบาท จึงจะเห็นได้ว่าหน่วยงานของรัฐนั้นแบ่งออกเป็นหลายกระทรวงแบ่งหน้าที่กันรับผิดชอบ นั่นเป็นแนวคิดในอดีตซึ่งทำให้เกิดความล่าช้าในการดำเนินงานและตัดสินใจในการดำเนินการ ปัจจุบันการทำงานของกระทรวงต่างๆ ที่แบ่งเป็นหน้าที่ต่างๆ จะต้องบูรณาการเข้าด้วยกัน เพื่อที่จะสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การสร้างคุณค่าในแต่ละโซ่คุณค่าที่เป็นยุทธศาสตร์ของชาติ  ดังนั้นบทบาทหนึ่งของภาครัฐ คือ การสนับสนุนและอำนวยความสะดวกแก่การสร้างคุณค่าในแต่ละโซ่คุณค่าต่างๆ ของธุรกิจและหน่วยงานที่อยู่ในประเทศและประสานงานกับหน่วยงานต่างประเทศเพื่อให้เกิดประโยนช์สูงสุดแก่ประชาชนและประเทศชาติ  ในแบบจำลองโซ่อุปทานและโซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์หนึ่งๆ ในประเทศสามารถแสดงได้ดังในรูปที่ 1 โซ่คุณค่าของผลิตภัณฑ์ใดๆ สามารถที่จะแสดงอยู่ในลักษณะเป็นความเชื่อมโยง (Linkage) หรือโซ่ (Chain) หรือเครือข่าย (Network) ของความร่วมมือกันของผู้จัดส่งวัตถุดิบ ผู้ผลิต และผู้กระจายสินค้า จนสุดท้ายเป็นผลิตภัณฑ์หรือคุณค่าที่ได้ถูกส่งมอบไปถึงมือลูกค้า

กิจกรรมแรกเริ่มที่มีบทบาทในการค้าและอุตสาหกรรมของโลกก็คือ การขนส่ง ไม่ว่าจะเป็นทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ธุรกิจการขนส่ง ถือว่าเป็นธุรกิจลอจิสติกส์ที่เก่าแก่ที่สุดของโลกธุรกิจหนึ่ง ซึ่งต่อมาธุรกิจลอจิสติกส์ได้ขยายขอบเขตครอบคลุมมาถึงการจัดเก็บและคลังสินค้า (Warehouse) จนทุกคนเข้าใจว่า ลอจิสติกส์นั้น คือ การขนส่งและการจัดเก็บในคลังสินค้า   แต่ที่จริงแล้วแนวคิดลอจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้นมีขอบข่ายมากกว่าการขนส่งหรือการรับจัดเก็บสินค้า  จึงจะพิจารณาได้ว่าเป็นธุรกิจหรืออุตสาหกรรมลอจิสติกส์ โดยที่ผู้ผลิตหรือผู้รับสินค้าไม่ได้เป็นผู้ดำเนินงานในการขนส่งหรือเคลื่อนย้าย แต่ว่าจ้างให้ผู้อื่นดำเนินการแทน ที่เห็นได้ชัดก็คือ รถขนส่งสินค้าต่าง ๆ สายเดินเรือ สายการบิน แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะพบว่ากิจกรรมการขนส่งหรือการเคลื่อนย้ายสินค้าเป็นกิจกรรมลอจิสติกส์ที่อยู่นอกพื้นที่ปฏิบัติงานในบริษัทหรือโรงงาน รถขนส่งต่างๆ จะต้องเคลื่อนที่ไปบนถนนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานของระบบธุรกิจ แต่ก็คงจะไม่มีบริษัทเอกชนบริษัทไหนลงทุนสร้างถนนเอง   ดังนั้นภาครัฐจึงจำเป็นที่จะต้องมาเป็นคนกลางสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ในการขนส่ง  จากจุดนี้จะเห็นได้ว่ากระทรวงคมนาคมจะเป็นผู้ที่รับผิดชอบในงานพัฒนาตรงนี้ จึงไม่น่าแปลกใจว่าแผนงานลอจิสติกส์แห่งชาติที่ริเริ่มโดยกระทรวงคมนาคมและหน่วยงานวางแผนทางด้านการขนส่งอื่น ๆ จึงออกมาในรูปแบบของแผนงานพัฒนาการขนส่งเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ตามอย่าลืมว่าลอจิสติกส์ไม่ได้หมายถึงการขนส่งจากโรงงานหนึ่งไปยังคลังสินค้าอีกโรงงานหนึ่งเท่านั้น แต่ลอจิสติกส์จะครอบคลุมการขนส่งและการเคลื่อนย้ายทั้งภายในและภายนอกองค์กรธุรกิจทั่วทั้งโซ่อุปทาน

หากเราเข้าใจลอจิสติกส์ดี  เราก็จะทราบว่า ที่ไหนมีลอจิสติกส์ก็ย่อมมีโซ่อุปทานตามมา แล้วโซ่อุปทานตรงการขนส่งระหว่างองค์กรมีอยู่ตรงไหนบ้าง  โซ่อุปทานสำหรับลอจิสติกส์ในช่วงการขนส่งระหว่างองค์กรก็คือ ข้อตกลงในซื้อขาย การโอนถ่ายความเป็นเจ้าของในตัวสินค้า และการส่งมอบคุณค่าในรูปแบบของผลิตภัณฑ์และการบริการ  จึงเห็นได้ชัดว่า เมื่อมีสังคมเกิดขึ้นก็จะต้องมีคนกลางซึ่งก็คือภาครัฐ  ในกรณีนี้กระทรวงพาณิชย์ที่ดูแลเรื่องการค้าขายระหว่างองค์กรจะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการออกระเบียบวิธีการเพื่อให้เกิดความเป็นมาตรฐานในการตกลงทำสัญญาซื้อขายกัน เพื่อให้เกิดการขนส่งสินค้ากัน   ยิ่งในปัจจุบันการใช้อินเตอร์เน็ตมาช่วยให้การทำรายการทางธุรกิจ (Transactions)  มีความสะดวกรวดเร็วมากขึ้น ในรูปแบบของ E-commerce  ดังนั้นบทบาทในการจัดการโซ่อุปทานระหว่างองค์กรที่มีผลกระทบโดยตรงกับปริมาณการขนส่งบนโครงสร้างพื้นฐานของการขนส่งต่าง ๆ ก็น่าจะเป็นของกระทรวงพาณิชย์

บทบาทเหล่านี้ทั้งกระทรวงคมนาคมและกระทรวงพาณิชย์มีผลกระทบต่อโซ่อุปทานโดยรวมของสินค้าทุกชนิด แต่มีข้อสังเกตง่ายๆ คือ กิจกรรมลอจิสติกส์ที่อยู่ภายนอกทรัพย์สินของบริษัทหรือองค์กรและเป็นทรัพย์สินสาธารณะที่จะต้องใช้หรือปฏิบัติร่วมกัน ภาครัฐจะต้องเข้าไปมีบทบาท   แล้วมุมมองของลอจิสติกส์และโซ่อุปทานที่เสนอจะแตกต่างจากอดีตอย่างไร   ในอดีตแนวคิดของการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานอาจจะยังไม่เกิดขึ้น แต่กิจกรรมต่าง ๆ ที่กล่าวมานั้นมีอยู่มานานแล้ว ดังนั้นปัจจุบันและอนาคตเราจะต้องบูรณาการความคิด ข้อมูล วิสัยทัศน์ และนโยบายเชิงลอจิสติกส์เข้าด้วยกันเพื่อให้การใช้ทรัพยากรในเชิงลอจิสติกส์และการจัดการโซ่อุปทานอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

อุตสาหกรรมลอจิสติกส์

กิจกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานที่อยู่นอกกรอบของพื้นที่และหน้าที่การทำงานในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เช่น การจัดเก็บและการขนส่ง ส่วนมากหลายบริษัทพยายามที่จะจัดจ้างจากหน่วยงานภายนอก (Outsourcing) โดยเฉพาะการขนส่ง ในบางบริษัทที่ต้นทุนในการดำเนินงานจัดส่งต่ำและมีการจัดการที่ดีก็อาจจะเป็นเจ้าของและจัดการยานพาหนะเอง แต่ในปัจจุบันธุรกิจลอจิสติกส์โดยเฉพาะในการขนส่งและการจัดการคลังสินค้าสามารถเสนอการบริการครบวงจรในการจัดการลอจิสติกส์ทั้งขาออกและขาเข้าให้กับลูกค้าโดยที่ลูกค้าไม่ต้องมากังวลในการบริหารจัดการลอจิสติกส์ทั้งในช่วงขาเข้าและขาออกทำให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ


จากรูปจะเห็นได้ว่านอกจากรัฐบาลในฐานะผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานทางคมนาคมขนส่งและการค้าพาณิชย์แล้ว  ภาคเอกชนเองสามารถเข้ามาเป็นตัวกลางในการขนส่งสินค้าและบริการข้อมูลต่างๆ ในฐานะผู้ให้บริการลอจิสติกส์ (Logistic Provider) และผู้ให้บริการ IT ( IT Provider)  ทำให้แนวโน้มของอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และ IT ได้เจริญเติบโตและมีพัฒนาการที่สนับสนุนธุรกิจซึ่งกันและกันอยู่เรื่อยมา
สำหรับอุตสาหกรรมลอจิสติกส์นั้นในอดีตก็คือธุรกิจการขนส่งและการรับฝากสินค้า จะเห็นได้จากธุรกิจการเดินเรือ การขนส่งทางบกและทางอากาศรวมทั้งคลังสินค้าต่างๆ  สังเกตได้ว่ากิจกรรมส่วนใหญ่จะอยู่นอกเหนือขอบเขตอาณาบริเวณของโรงงานผลิตหรือธุรกิจ แต่ในปัจจุบันการให้บริการจัดการกิจกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานได้ขยายขอบข่ายเข้าไปในโรงงานอุตสาหกรรมหรือที่หน่วยผลิตแล้ว ด้วยแนวคิดของการจัดจ้างจากภายนอก (Outsourcing) แต่ยังไม่ถึงขั้นเข้าไปรับจ้างผลิตชิ้นส่วน

เป้าหมายของอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานนั้นมีขอบข่ายแค่กิจกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเท่านั้น ไม่ได้รวมกิจกรรมการผลิต ดังนั้นในอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานจึงประกอบด้วยวิธีการ แนวคิด แนวทางแก้ไขปัญหา เครื่องมือในการขนส่งขนถ่ายวัสดุ (Material Handling) และที่สำคัญมากก็คือ ระบบ IT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศนั่นเองที่เป็นเครื่องมือสำคัญในการดำเนินงาน
             
เมื่อมองมาถึงจุดนี้แล้วจะเห็นได้ว่าภาครัฐเองก็มีส่วนสำคัญในการสนับสนุนอุตสาหกรรมลอจิสติกส์ และ IT ให้มีส่วนในการสร้างคุณค่าที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมลอจิสติกส์และโซ่อุปทานถึงแม้ว่าจะเป็นแค่การเคลื่อนย้ายหรือขนส่งสินค้า แต่จะต้องผ่านกระบวนการและขั้นตอนหลายหน่วยงานที่มีกฎระเบียบของราชการเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น พิธีการศุลกากรการแจ้งหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องซึ่งใช้เวลานาน  แต่ถ้าภาครัฐสามารถลดขั้นตอนลดเวลาและทำให้กระบวนการมีประสิทธิภาพมากขึ้นได้   กระบวนการของลอจิสติกส์ในขั้นตอนนี้ก็จะเป็นตัวช่วยให้การเชื่อมโยงนั้นดีขึ้น

ส่วนโครงสร้างของเทคโนโลยีสารสนเทศนั้น ที่เห็นกันอย่างชัดเจนก็คือ กระทรวง ICT ที่จะต้องวางโครงสร้างพื้นฐานของ ICT ทั้งทางด้านนโยบาย การสนับสนุนส่งเสริมและการสร้างมาตรฐานในการติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างองค์กรธุรกิจทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ เพราะธุรกิจในปัจจุบันจะต้องอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการรับส่งข้อมูล ในขณะที่โครงสร้างพื้นฐานในการรับส่งสินค้าและวัตถุดิบ คือ ถนน และการคมนาคมขนส่ง และที่สำคัญคือ การไหลของข้อมูลในระบบ IT นั้นมีความสัมพันธ์โดยตรงต่อลอจิสติกส์การไหลของวัตถุดิบและสินค้า  คุณภาพของข้อมูลเชิงลอจิสติกส์ย่อมมีผลต่อลอจิสติกส์การไหลของวัตถุดิบและสินค้าสำเร็จรูป ด้วยเหตุนี้ผู้ที่มีอิทธิพลโดยตรงต่อข้อมูลข่าวสารของธุรกิจ ก็น่าจะเป็นกระทรวง ICT ดังนั้นเราสามารถที่จะเห็นถึงความสัมพันธ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ของ ICT และการคมนาคมขนส่ง ภาครัฐจะต้องพยายามสร้างสมดุลให้เป็นภาพใหญ่ของระบบเศรษฐกิจที่มีระบบลอจิสติกส์และโซ่อุปทานเป็นพื้นฐานในการเชื่อมโยงธุรกิจอุตสาหกรรมเข้าด้วยกัน

สร้างมุมมองใหม่ด้วยการบูรณาการ
             
การสร้างยุทธศาสตร์ชาติจึงจำเป็นที่จะต้องมองภาพใหญ่ให้เห็นอย่างเด่นชัด และที่สำคัญจะต้องเห็นถึงความเชื่อมโยงขององค์ประกอบต่างๆ ในภาพนั้นด้วย ดังนั้นการมองเชิงยุทธศาสตร์ชาตินั้นจะต้องมีข้อมูลและรายละเอียดในทุกมุมมองของลอจิสติกส์และโซ่อุปทาน   โดยเฉพาะผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหลายในหน่วยงานต่างๆ  สิ่งแรกที่จะช่วยให้เกิดการบูรณาการที่ประสบผลสำเร็จคือ การมีความเข้าใจเหมือนกันในเรื่องต่างๆ  เพราะสิ่งที่เราจะต้องเชื่อมโยงหรือบูรณาการกันในเบื้องต้นก็คือ ความคิดของแต่ละหน่วยงานที่จะต้องมีผู้บริหารงานที่มีพื้นฐานความคิดตามตำแหน่งหน้าที่ในการทำงาน  ดังนั้นการสร้างยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทานนั้นจำเป็นต้องมี “คำนิยามร่วมในการดำเนินงาน” (Working Definition) ซึ่งจะต้องใช้ร่วมกันทั้งผู้วางยุทธศาสตร์และผู้ปฏิบัติรวมไปถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคน   แต่ปัจจุบันเรายังเห็นต่างคน ต่างทำ ต่างคิดกันอยู่ แล้วยุทธศาสตร์นี้จะทำให้เราไปถึงยังจุดมุ่งหมายได้อย่างไร เราจึงคงต้องช่วยกันคิดและช่วยกันทำอย่างบูรณาการ

การประชุมทางวิชาการระหว่างหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง 6 สถาบัน ครั้งที่ 2
หัวข้อ “รัฐบาลใหม่กับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย”
ประเด็นการนำเสนอ :  การบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทาน
ดร.วิทยา  สุหฤทดำรง
ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน  มหาวิทยาลัยศรีปทุม
นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 2331 สิงหาคม 2554