วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

จิบกาแฟยามบ่ายวันศุกร์ที่ IE@ขอนแก่น (ตอนที 2)


หลังจากผมเล่าเรื่องราวจากความคิดเห็นส่วนตัวในมุมมองของ IE ไปพอสมควร (โปรดอ่านด้วยวิจารณญาณ) ผมก็ได้ชูประเด็นโดยมุ่งไปที่กระบวนการเรียนรู้ของนักศึกษา จากประสบการณ์ที่ผมก็เคยเป็นนักศึกษามาก่อนเหมือนกัน และผมได้มีโอกาสสอนนักศึกษาทั้งในระบบทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท และปริญญาเอกบ้าง หรือไม่ก็ก็ไปสอบหัวข้อในระดับป.เอก และบรรยายให้นักศึกษาป.เอกบ้างพอสมควร (ยังไม่มีนักศึกษาปริญญาเอกจบกับผมเลย เพราะไม่ได้มีส่วนร่วมในการการสร้างโปรแกรมปริญญาเอกมากนัก) และผมก็ยังมีโอกาสได้สอนในโรงงานอุตสาหกรรมหลายๆ แห่ง รวมทั้งในระดับผู้บริหารและระดับวิศวกร สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ เนื้อหาวิชาที่ผมนำไปสอนในอุตสาหกรรมก็เป็นเนื้อหาเดียวกับที่ผมสอนในมหาวิทยาลัย แต่อาจจะกระชับมากกว่า ผมจึงสงสัยว่าทำไม่ความรู้ที่เคยเรียนในมหาวิทยาลัยจึงเป็นที่ต้องการในเรียนซ้ำอีกครั้งหนึ่งเพื่อนำไปใช้งานในสถานที่ทำงาน ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ทำไมเนื้อหาวิชาที่ร่ำเรียนมาในมหาวิทยาลัยในระดับปริญญาตรีถึงไม่ถูกนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงานหรือเป็นวิชาชีพตั้งแต่แรกที่นักศึกษาจบไปทำงาน แล้วทำไมอาจารย์หลายท่านต้องตามไปสอนซ้ำอีกในหลายปีต่อมา เรียนรู้เองไม่ได้หรือ แต่ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผู้บริหารเหล่านั้นอาจจะไม่เคยรู้มาก่อนก็ได้ แล้วจะเรียนรู้เองได้ไหม?

เป้าหมายของการศึกษาในมหาวิทยาลัยอาจจะถูกเบี่ยงเบนออกไป กลายเป็นการเรียนเพื่อให้ได้มาซึ่ง "ใบปริญญา" เพื่อเป็นใบผ่านทางไปสู่ความสำเร็จในการทำงาน ซึ่งก็ใช่ การเรียนในปัจจุบันผิดกับการเรียนรู้เพื่อที่จะนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการทำงาน ซึ่งผลจาการเรียนรู้ในการทำงานมีส่วนได้ส่วนเสียมากกว่าการเรียนในมหาวิทยาลัย ผมก็เลยนึกเอาเองว่า มันถึงเวลาที่เปลี่ยนแปลงแล้วหรือยังสำหรับการศึกษาในมหาวิทยาลัย ความเชื่อมโยงระหว่างอุตสาหกรรมและหน่วยงานการศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยหรือโรงเรียน ผมจึงมีความคิดว่า น่าจะสร้างกระแสอะไรให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในมุมมองของกระบวนการศึกษาหรือการสร้างความรู้และการนำไปปฏิบัติใช้งานให้เกิดประโยชน์ ทำอย่างไรให้มีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นกว่านี้

ที่จริงแล้วผมได้เล่าเรื่อง Model 3R ที่ผมนำมาใช้เป็นปรัชญาในการดำเนินงานของสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน ที่มหาวิทยาลัยศรีปทุม ที่เชื่อมโยง ตั้งแต่ Routine to Research to Reality ที่สามารถนำมาใช้ได้ในทุกๆ องค์กร ถ้ามองกันแค่ Routine to Research ก็คือ Problem Solving หรือ Best Practices ส่วน Research to Reality คือ การนำเอาทฤษฎีไปสู่การปฏิบัติที่เกิดเป็นผล ทำให้เป็นจริงเกิดประโยชน์จับต้องได้เป็นรูปธรรม ส่วน Reality to Routine เป็นการ Implementation เพื่อให้การใช้งานที่เป็นประโยชน์กับบริบทของการใช้งาน หรือเป็นนำประโยชน์ที่ได้นั้นไปใช้งานร่วมกับส่วนอื่นๆของกระบวนการสร้างคุณค่า อ่านบทความเต็มๆ เรื่องนี้ของผมได้ ใน Blog ของผมได้ครับ

ถ้าเราสามารถสร้างความเชื่อมโยงระหว่างมหาวิทยาลัยและอุตสาหกรรมได้อย่างเหมาะสมและสอดคล้องกัน เราจะลดความสูญเปล่าในการเรียนรู้ของทั้งตัวนักศึกษาเองและผู้ที่ใช้งานนักศึกษาด้วย ค่าใช้จ่ายและเวลาที่ใช้ในการ Training ก็จะลดลงไปด้วย แต่ประเดนตรงนี้ผมเห็นว่ายังไม่ใช่เรื่องใหญ่มากนัก ประเด็นที่มหาวิทยาลัยจะต้องติดตามการเปลี่ยนแปลงของความต้องการความรู้ในอุตสาหกรรมให้ทัน ที่จริงแล้ว มหาวิทยาลัยก็ควรจะเป็นผู้ที่ชี้นำมากกว่าที่จะเป็นผู้ตาม ผมลองนึกดูว่า เรื่อง Logistics Supply Chain Lean ฯลฯ ได้ถูกนำมาใช้ในอุตสาหกรรมมานับสิบปีแล้ว และกำลังถูกนำมาใช้จนกลายเป็นเครื่องมือที่เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินงานมากขึ้นในอุตสาหกรรม แต่ผมก็ไม่เห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการศึกษาที่น่าจะคึกคักและจริงจังมั่นใจเหมือนในอุตสาหกรรม ผมยังไม่เห็นหลักสูตรที่เปลี่ยนแปลงได้ทันตามอุตสาหกรรม คิดง่ายๆ ก็เพราะผลได้และผลเสียไม่เหมือนกัน ถ้าเราลองทำให้มันมีผลได้ผลเสียเหมือนกันสิครับ ถ้าอุตสาหกรรมและมหาวิทยาลัยมีลูกค้าคนเดียวกันสิ ผมว่ามันน่าจะสนุกมากกว่านะครับ!

ทุกวันนี้เราได้ทำให้โลกของการเรียนและการศึกษาเป็นองค์กรที่แยกออกมาจากกระบวนการทำงานที่สร้างประโยชน์ ยิ่งเราดำเนินงานไปในเส้นทางนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งทำให้กระบวนการเรียนรู้ของเราไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ใช่ว่าการศึกษาในระบบที่เป็นอยู่นั้นไม่ดี เพียงแต่ว่าเนื้อหาและระบบการเรียนการสอนยังไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของบริบทธุรกิจและสังคมได้ ความรู้และกระบวนการเรียนรู้ยิ่งต้องใกล้กับผู้ใช้ประโยชน์จากความรู้นั้น ตัวผู้เรียนรู้ในกระบวนการเรียนรู้ก็ไม่จำเป้นที่จะต้องเป็นนักศึกษาเท่านั้น ถ้ามองกันกว้างๆแล้ว ผู้ที่ทำงานในกระบวนการธุรกิจนั้นแหละจะต้องเป็นผู้ที่เรียนรู้หรือเป็นนักศึกษาตลอดเวลา และผลประโยชน์ที่ได้หรือที่เกิดขึ้นจะมีผลกระทบต่อผู้ศึกษาหรือเรียนรู้โดยตรง มากกว่าผู้ที่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ดังนั้นมนุษย์ทุกคนจะต้องเรียนรู้ตลอดเวลาเพื่อที่จะเอาชีวิตให้อยู่รอด

ดังนั้นผมจึงเป็นหว่งคนทำงาน หรือ Professionals ทั้งหลายที่ยังไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงหรือยังไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงที่กำลังคืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว ความรู้ใหม่ๆ ที่จะรองรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆนั้นอาจจะไม่สามารถหาได้จากหลักสูตรในมหาวิทยาลัย ดังนั้นผู้ปฏิบัติงานจะต้องทำหน้าที่เป็นครูของตัวเอง เรียนรู้ด้วยตัวเองตลอดชีวิต ทัศนคตินี้เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะเมื่อจบจากมหาวิทยาลัยแล้ว ไม่ได้หมายความว่าเราหยุดการเรียนรู้แล้ว เลิกสอบแล้ว ไม่ต้องทำการบ้าน ไม่ต้องทำการนำเสนอผลงาน ใครคิดอย่างนี้ก็ผิดแล้วครับ ความรู้ในมหาวิทยาลัยที่พวกเราเรียนรู้มานั้น น้อยนิดยิ่งนัก ความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะความรู้ใหม่ๆ เกิดจากการทำงานหรือการดำเนินงานในกระบวนการธุรกิจที่เป็นผลประโยชน์ต่อเราเอง การเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยเป็นเพียงแค่การฝึกตนเท่านั้น เมื่อจบการศึกษาแล้ว ก็ต้องเริ่มดิ้นรนเอาตัวรอกด้วยการศึกษาเพื่อชีวิตรอด ด้วยประสบการณ์และวิธีการเรียนรู้จากกระบวนการในมหาวิทยาลัยหรือในโรงเรียน

ถ้าใครๆ ก็มีทัศนคติไปในทิศทางนี้แล้ว สังคมไทยก็จะเป็นสังคมที่อุดมปัญญา เต็มไปด้วยความรู้ และกระบวนการเรียนรู้ เพราะทุกคนเข้าใจในกระบวนการหาความรู้มาแก้ปัญหาในการดำรงชีวิต และพัฒนาให้บ้านเมืองเจริญยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วสังคมเรายังขาดการบูรณาการภาคส่วนการศึกษาและภาคส่วนธุรกิจอุตสาหกรรม จึงทำให้เกิดความเข้าใจผิดในบทบาทของตัวเอง คนจบปริญญาก็นึกว่าตัวเองมีความรู้ ส่วนคนทำงานในอุตสาหกรรมก็ไม่มีภาวะผู้นำในการเรียนรู้ ไม่มีวัฒนธรรมในการเรียนรู้ ทั้งๆ ที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในการทำงานและการแก้ปัญหาในการทำงาน คือ องค์ความรู้ที่แท้จริงทั้งสิ้น มีของดีอยู่กับตัว แต่ไม่มีกระบวนการในการสังเคราะห์ความรู้ที่อยู่ต่อหน้า สุดท้ายก็หันกลับไปพึ่งพาอาจารย์มหาวิทยาลัยเพื่อให้สอนวิธีการแก้ปัญหาให้ในเฉพาะเรื่อง ซึ่งก็ผิดอีก เพราะว่าผู้ปฏิบัติงานก็ยังเรียนรู้ไม่เป็นอีกอยู่ดี ที่จริงแล้วอาจารย์มหาวิทยาลัยต่างหากที่จะต้องสอนกระบวนการค้นหาหรือสร้างความรู้ ไม่ใช่สอนองค์ความรู้ ที่จริงแล้วกระบวนการหาความรู้ทั้งหมดนั้นอยู่ในกระบวนการเรียนรู้ในมหาวิทยาลัยอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าทั้งผู้สอนและผู้เรียนอาจจะยังไม่เข้าใจปรัชญาในการศึกษาดีพอ รู้แต่ภาระหน้าที่ที่จะต้องบรรลุตามวัตถุประสงค์ เรียนให้ได้เกรด จบให้ได้ปริญญา แก้ปัญหาให้ได้ แต่ไม่ได้นึกถึงกระบวนการเรียนรู้

ลองกลับมามองการเรียนการสอนใน IE ของเรา สภาวะความต้องการความรู้ของอุตสาหกรรมอยู่ในสภาวะสมดุลอย่างไรบ้างและเราจะต้องปรับตัวเราเองและกระบวนการได้อย่างไร จะดีกว่าไหมครับ

จิบกาแฟยามบ่ายวันศุกร์ ที่ IE@ขอนแก่น (ตอนที 1)



การเดินทางดูงานในกลุ่มจังหวัดอิสานเหนือครั้งนี้ในวันที่ 5 ผมได้มีโอกาสไปแวะที่จังหวัดขอนแก่น พอจะมีช่วงเวลาว่างอยู่บ้าง ก็เลยโทรหาอ.ดร.วีระพัฒน์ ที่ภาควิชา IE มหาวิทยาลัยขอนแก่น บอกว่า ผมจะผ่านมา อยากแวะไปคุยด้วย เผื่อว่ามีใครอยู่บ้าง หากมีนักศึกษา ป.โท ป.เอก มาคุยกัน ผมบอกอาจารย์ดร.วีระพัฒน์ ล่วงหน้าแค่วันเดียว โหดร้ายไหมครับ? พอผมถึงขอนแก่น อ.วีระพัฒน์ ก็มารับถึง รร.พูลแมน และพาไปที่ห้องประชุมภาควิชาฯ มี Slide Show จาก Powerpoints เป็นป้ายตอนรับเป็นอย่างดี เท่ห์มากๆ การพบกันก็เลยกลายเป็นการนั่งจิบกาแฟ ตอนบ่ายวันศุกร์ ระหว่างอาจารย์และนักศึกษาในประเด็นทั่วไป แต่ที่สำคัญ อ.คร.วีระพัฒน์ บอกว่าผมเป็นแขกคนแรกของงานนี้ อ.วีระพัฒน์นี่เยี่ยมจริงเลย เอาเลยครับอาจารย์ ใครไปใครมาที่เมืองขอนแก่น ก็ไปเชิญมาคุยด้วยก็จะดีมากๆ ที่จริงแล้วถ้าทำกันดีๆ อีกหน่อยอาจมีคนอยากเสนอตัวมาขอพูด ขอคุยบ้าง ถึงตอนนั้นแล้ว อ.วีระพัฒน์อาจจะต้องค้ดเลือกคนมาพูดก็ได้นะครับ

เห็นนักศึกษาป.ตรี ป.โท และป.เอก มานั่งรอฟังแล้ว ทำให้ผมคิดถึงภาควิชา IE ที่พระนครเหนือนะครับ ผมเห็นแววตาของนักศึกษาทุกท่านที่มารอฟังผมพูดให้ฟังแล้ว ทำให้ผมมีพลังในการทำงานต่อไปอีก รวมถึงได้เห็นผลงานในการสร้างวิศวกรของ IE@KU แต่ก็น่าเสียดายนะครับที่เรามีเวลากันไม่มากนัก เพราะผมเองก็ไม่ได้มีเวลามากนักในช่วงเวลาหนึ่งปีข้างหน้านี้ แต่ถ้ามีโอกาสก็จะพยายามเต็มที่ครับไม่ต้องเกรงใจนัก โทรหาได้เลย

และที่ไม่คาดไว้ก็คือ มีอาจารย์ IE@KU อีกหลายท่านมาให้การต้อนรับ และได้ Share ประสบการณ์กันเล็กๆ น้อยๆ แต่มีความสำคัญและมีผลกระทบที่ยิ่งใหญ่กับความคิดของผมมากๆ นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ดีมากๆ ผมจะพยายามหาโอกาสดีๆ อย่างนี้อีกในหลายที่ เสียดายตอนไปที่จังหวัดอุบลราชธานีเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ไม่ได้มีโอกาสทำกิจกรรมอย่างนี้ ผมก็พอจะมีอาจารย์ที่รู้จักอยู่ที่นั่นบ้าง

ที่จริงแล้วผมมีโอกาสพูดอยู่ประมาณชั่วโมงครึ่ง แต่ก็พยายามบังคับตัวเองให้พูดให้น้อยหน่อย ท่านอาจารย์และนักศึกษาจะได้ถามผมบ้าง ประเด็นที่ผมได้พูดไปก็เป็นเรื่องราวของแนวคิดในการจัดการความรู้ที่ผมได้สร้าง Model 3R ขึ้นมา เรื่องของ 3R หาอ่านได้ใน blog ของผมนะครับ แล้วก็มีประเด็นที่ผมมองว่าจะต้องมีจุดเปลี่ยนในองค์ความรู้และความเป็นตัวตนของ IE (Industrial Engineering) เพราะว่าโลกเราเปลี่ยนไป เราไม่สามารถใช้องค์ความรู้เก่า เพื่อแก้ปัญหาใหม่ได้แล้ว เรื่องราวเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับสาขาใดสาขาหนึ่งเท่านั้น แต่เกิดขึ้นกับทุกสาขาทุกองค์ความรู้ โดยเฉพาะการศึกษาปัญหาแบบแยกส่วน (Reductionism) และการประยุกต์ใช้องค์ความรู้แบบแยกส่วน กับปัญหาต่างๆ ที่มีความซับซ้อนมากขึ้น มีความเป็นพลวัตสูงขึ้น

ดังนั้นแนวคิดในการเรียนการสอน การตั้งปัญหา และการแก้ปัญหา ก็ต้องเป็นองค์รวม (Holistic)มากขึ้น ซึ่งจะเกิดจากการบูรณาการ (Integrating) ส่วนประกอบย่อยต่างๆ เข้าด้วยกันเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ ผมยังไม่ค่อยเห็นหลักสูตรหรือการสอนที่เน้นเรื่องราวเหล่านี้ เห็นแต่การเน้นที่การสอนเป็นวิชา มาตรฐานคุณภาพของการเรียนการสอนเองก็ยังดูเป็นแบบแยกส่วนกันอยู่ ยึดกันที่ชื่อวิชา คิดว่าถ้าได้เรียนวิชานี้แล้วจะเข้าใจหรือนำไปใช้ได้ ผมคิดว่า(ผมคิดคนเดียวนะครับ)พวกเราอาจารย์ยังยึดติดกับกรอบการเรียนและการศึกษาแบบเก่า ทั้งๆ ที่โลกได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าที่เราเรียนมาไม่มีประโยชน์เลย มันมีประโยชน์แน่ๆ ถ้าเรารู้จักที่จะบูรณาการมันอย่างถูกต้องและอย่างเข้าใจคุณค่าหรือประโยชน์ที่มนุษย์ต้องการ

ผมว่าโลกปัจจุบัน มันถูกเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งเดียวด้วยโครงข่ายสารสนเทศ ทำให้มนุษย์สามารถตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว ความเป็นลำดับขั้นที่ยุ่งยากและเชื่องช้าได้หมดหายไป ทำให้มนุษยชาติได้ประโยชน์มากมายมหาศาล แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาอย่างมากสำหรับองค์ประกอบต่างๆ หรือผู้คนที่ไม่สามารถปรับตัวได้กับการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เพราะว่าสภาวะแวดล้อมรอบๆตัวเรามีความเป็น Dynamic มากกว่าแต่ก่อน ถามว่าทำไม ก็เพราะว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเช่นกันในสังคมมนุษย์ ดังนั้นการแก้ปัญหาและการมองปัญหาจะต้องเปลี่ยนแปลงไป เรามองกันแบบเดิมๆ ไม่ได้แล้ว

ผมกลับคิดว่าวิชาที่เป็นพื้นฐานสำหรับ IE ก็คือ System Engineering ซึ่งรู้สึกจะไม่ค่อยจะมีสอนในเมืองไทยมากนัก คงต้องลองสำรวจดู ผมเองก็มีอคติในองค์ความรู้ของ IE อยู่เสมอ เพราะว่า IE ไม่ใช่ Basic Discipline และไม่ใช่ Engineering ธรรมดา ผมขี้เกียจเข้าไปต่อสู้กับโครงสร้างการศึกษาของไทย ที่ต้องผ่านกระบวนการต่างๆ มากมาย กว่าจะผลักดันอะไรได้ จะต้องทำโน่นทำนี่ จะต้องมีกรรมการต่างๆ มาพิจารณาและอนุมัติ และที่สำคัญ กรรมการเหล่านั้นบางที่ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรมากนัก แต่ต้องเป็นผู้ให้คุณและให้โทษ

อุตสาหกรรมในความจริงไปไกลแค่ถึงไหนแล้ว ลองหันกลับมาดูหลักสูตรของเราปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมหรือไม่ แต่ผมคิดว่า มันไม่ได้เลวร้ายเกินไปหรอกครับ ผมคิดว่า เราน่าทำกันได้ดีกว่านี้ เร็วกว่านี้ ร่วมมือกันได้มากกว่านี้ องค์ความรู้ด้าน IE ก็มีการวัฒนา (Evolve) มาจนมีความเป็นบูรณากันมากขึ้น บริบทของงาน IE มีความเป็นบูรณาการอยู่ในตัวใน 3 มิติ คือ 1)คน – คน 2)คน – เครื่องจักร 3)เครื่องจักร – เครื่องจักร แล้วเมื่อมองอย่างเป็นองค์รวมแล้วก็จะได้มุมมองที่เป็นแบบ Socio-Technical System ซึ่งถูกผลักดันด้วยคนและความคิดในตัดสินใจของคน


แล้วค่อยต่อ Part 2 ครับ

19 ธ.ค. 53