เมื่อมองการดำเนินชีวิตของเราแล้ว เรื่องราวทั้งหมดในชีวิตเรานั้นคือ “การจัดการ” นั่นเอง   แล้วเราก็เรียนรู้เรื่องการจัดการมากมายในหลายมิติจากชีวิตของเราเอง   แต่ไม่ว่าจะด้วยมิติใดก็ตาม สุดท้ายแล้วเรื่องที่เป็นเป้าหมายสำคัญที่สุดก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณค่า (Values) ที่ทำให้เรามีชีวิตอยู่รอด  ที่ทำให้เราได้ใช้ประโยชน์จากสิ่งต่างๆ ได้เพื่อประโยชน์กับตัวเราเอง   แล้วทำไมเราจึงต้องจัดการการกับเรื่องราวหรือสิ่งต่างๆ รอบข้างเราด้วย? ก็เพราะว่าสิ่งต่างๆ รอบตัวเราไม่ได้เป็นไปตามที่เราอยากให้เป็นหรือเรียกว่า ไม่สถิตย์หรือไม่นิ่ง   สิ่งต่างๆ มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาหรือที่เรียกว่า พลวัต (Dynamic) นั่นเอง   ซึ่งทำให้เกิดความไม่แน่นอนและเป็นความเสี่ยงในการดำรงชีวิตอยู่ของเรา   ผมเชื่อว่าพื้นฐานของแนวคิดแบบลีนมาจากการจัดการความเสี่ยงในชีวิตเรานั่นเอง
รับมือกับการเปลี่ยนแปลง
ถ้าการดำรงชีวิตอยู่ของเราเป็นการจัดการกับการเปลี่ยนแปลงเพื่อความอยู่รอดแล้ว การจัดการมีความหมายง่ายๆ คือ การรับมือกับการเปลี่ยนแปลง   แล้วคงจะต้องมีคำถามตามมาอีกว่า ทำไมจึงมีการเปลี่ยนแปลง?   นั่นคงเป็นคำถามที่ตอบได้ไม่ง่ายนัก   แต่อาจมีคำตอบแบบครอบจักรวาลซึ่งก็คือ ธรรมชาติ   เราคงต้องเข้าใจว่าธรรมชาติ คือ การเปลี่ยนแปลงอย่างมีสมดุล เพื่อให้ระบบของธรรมชาตินั้นคงอยู่   แต่นั่นก็เป็นมุมมองของเราผู้เป็นมนุษย์ที่เข้าใจระบบของธรรมชาติได้เพียงบางส่วนเท่านั้น    แล้วเราจะกำหนดว่าสิ่งใดเป็นธรรมชาติได้อย่างไร?    เมื่อคิดอย่างพื้นๆ สิ่งใดก็ตามที่มนุษย์ไม่ได้สร้างขึ้นนั้นเป็นธรรมชาติ (Nature)   ส่วนสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ก็ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ  แต่มนุษย์ใช้วัตถุดิบที่เกิดจากธรรมชาติมาปรุงแต่ง มาแปรสภาพเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์เอง    โดยที่มนุษย์คิดว่าในธรรมชาติคงไม่สามารถตอบสนองในสิ่งมนุษย์ต้องการได้อย่างเพียงพอ   เพราะว่าถ้าไม่มีสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาแล้ว มนุษย์คงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในธรรมชาติหรือโลกนี้อย่างแน่นอน  
เรื่องของการจัดการจึงเป็นเรื่องของการจัดการชีวิตของเราให้อยู่รอด แต่ธรรมชาติที่เราอาศัยอยู่หรือที่เรามีชีวิตอยู่นั้นไม่ได้อยู่นิ่ง   โลกและธรรมชาติอาจทำให้ชีวิตเราไม่สามารถดำรงอยู่ได้  ชีวิตเราอาจไม่สามารถใช้ประโยชน์ต่างๆ ที่ธรรมชาติมีอยู่ได้   มนุษย์เราได้กำหนดปัจจัย 4 ซึ่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการดำรงชีวิต และปรับตัวเพื่อที่จะอยู่รอดในธรรมชาติ  โดยปกติแล้ว ในธรรมชาตินั้นมีทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต   ผมไม่มีคำนิยามแบบทั่วไปสำหรับสิ่งมีชีวิต เราคงจะต้องกลับไปศึกษาวิชาชีววิทยาพื้นฐาน  แต่เราพอจะแยกออกได้ว่าสิ่งไหนมีชีวิตและสิ่งไหนไม่มีชีวิต อย่างน้อยก็เพื่อความเข้าใจได้อย่างง่ายๆ   สิ่งมีชีวิตส่วนใหญ่จะสามารถเจริญเติบโตได้ ขยายพันธุ์ได้ รับรู้และตอบสนองได้ แล้วก็ตายดับสูญไป   ส่วนความสามารถเชิงการเรียนรู้ก็ขึ้นอยู่กับชนิดของสิ่งมีชีวิต   ส่วนสิ่งไม่มีชีวิตก็จะไม่มีคุณสมบัติที่กล่าวมานี้    มนุษย์ต้องการมีชีวิตบนโลกจึงต้องทำตัวให้กลมกลืนและสมดุลอยู่กับธรรมชาติ ด้วยการอยู่ร่วมกันทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ไม่มีชีวิต  มนุษย์ต้องเรียนรู้ระบบของสิ่งที่ไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลกนี้  นั่นคือกระบวนวิชาวิทยาศาสตร์ทั้งหลาย  เพราะว่าเราต้องการใช้ประโยชน์จากทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่ชีวิตเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด   แต่อย่างไรก็ตาม เราเองยังไม่ได้ศึกษากระบวนการใช้ชีวิตของมนุษย์เราได้อย่างถ่องแท้เท่าไรนัก
ชีวิตมนุษย์บนโลกเรานั้นเป็นระบบการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งบนโลกใบนี้เท่านั้น   แต่สิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด คือ  ระบบสิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์นั้นไม่มีพัฒนาการการเปลี่ยนแปลงมากเหมือนกับมนุษย์    สังคมมนุษย์นั้นไม่ได้อยู่อย่างเกื้อกูลกับธรรมชาติบนโลกนี้เลย   แต่กลับกลายเป็นสังคมของสิ่งมีชีวิตที่อาศัยเกาะกินทรัพยากรที่เป็นสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตบนโลกใบนี้   ในทางตรงกันข้าม สิ่งไม่มีชีวิตและสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์กลับมีลักษณะการอยู่รวมกันอย่างเป็นระบบที่สมดุลกันเป็นวัฏจักรที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  เป็นวัฏจักรของสิ่งมีชีวิต (Cycles of Lifes) และวัฏจักรของสิ่งที่ไม่มีชีวิตต่างๆ ในธรรมชาติบนโลก (Cycles of Nature) หรือที่เรียกกันว่า ระบบนิเวศ (Ecology System)  ถึงแม้ว่ามนุษย์จะมีวัฏจักรของชีวิตที่เกิด แก่ เจ็บ ตาย   แต่ความต้องการประโยชน์ของมนุษย์ไม่ได้มีลักษณะเป็นวัฏจักรแบบธรรมชาติ   แต่กลับกลายเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มีความต้องการไม่รู้จบ  จนเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานที่ใช้ในการดำรงชีวิต  
สิ่งที่สำคัญคือ มนุษย์มีความต้องการที่ไม่รู้จบ (Endless Desires) มีการเปลี่ยนแปลงสถานภาพอยู่ตลอดเวลาตามบริบทของสังคมและสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป   เมื่อมนุษย์มีความฉลาดมากขึ้นและเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น (แต่ก็ไม่สามารถเข้าใจได้ทั้งหมด) พร้อมกับจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นมาก จากการเดินทางด้วยเท้าจึงเปลี่ยนไปเป็นการใช้สัตว์เป็นพาหนะในการเดินทาง และพัฒนามากลายเป็นยานพาหนะที่เป็นยานยนต์ที่มีความสะดวกรวดเร็ว จนทำให้สังคมเปลี่ยนแปลงไป รวมทั้งธรรมชาติต่างๆ ก็ถูกทำลายลงไปด้วยเช่นกัน  ชีวิตของมนุษย์มีวัฏจักรตามสภาพทางชีววิทยาที่มีการเกิด เจริญเติบโต และดับไป   แต่ความคิด ความปรารถนาและความต้องการของมนุษย์นั้นไม่ได้เป็นวัฏจักรที่จะสามารถอยู่ร่วมกับสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ได้  
ประเด็นเชิงสังคมที่เป็นตัวผลักดันให้มนุษย์เกิดการตัดสินใจในการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์กับตัวเองนั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก  การคิดและตัดสินใจของมนุษย์ในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตมาก เพราะระบบเศรษฐกิจในปัจจุบันมีผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์มากกว่าตัวทรัพยากรที่มนุษย์จะใช้   รวมทั้งเทคโนโลยีต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็มีผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์เช่นกัน   ดังนั้น ประเด็นเชิงสังคมที่มีผลต่อการตัดสินใจของมนุษย์จึงสามารถมองออกเป็นประเด็นทาง Socio-Economics และ  Socio-Technical ซึ่งผมมองว่าในอนาคตทั้ง 2 แนวคิดนี้น่าจะเป็นแนวทางหลักในการศึกษาสังคมมนุษย์  เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐศาสตร์และเทคโนโลยีมีผลโดยตรงต่อการตัดสินใจของมนุษย์ในสังคมปัจจุบัน 
การเปลี่ยนแปลงหมายถึงชีวิต
 การเปลี่ยนแปลงเป็นพื้นฐานของชีวิต เพราะชีวิตเกิดจาการเปลี่ยนแปลง และชีวิตจะดำรงอยู่ได้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน   ดังนั้น ถ้าเราไม่เปลี่ยนแปลงตามการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เราก็อาจไม่มีชีวิตอยู่ก็ได้   เราสามารถเห็นได้จากสิ่งที่อยู่รอบตัวเราว่ามีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  การเปลี่ยนแปลงสามารถสร้างคุณค่าที่เพิ่มมากขึ้นในมุมมองของมนุษย์  ในขณะเดียวกันก็อาจจะทำลายคุณค่าที่มนุษย์ต้องการได้เช่นกัน    ดังนั้น ในระบบโลกที่เรามนุษย์มาอาศัยอยู่นี้ที่เราเรียกว่าธรรมชาตินั้นมีความสมดุลของการเปลี่ยนแปลงของส่วนย่อยต่างๆ ที่มีปฏิสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลา  เราสามารถสังเกตได้จากตั้งแต่กลางวันเปลี่ยนสู่กลางคืน  การเปลี่ยนฤดูกาล  การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติต่างๆ  จึงมีคนชอบพูดกันว่า  ยากนักที่จะหยั่งรู้ถึงธรรมชาติหรือดินฟ้าอากาศ   เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติแล้วอาจจะทำให้คุณค่าที่มนุษย์ต้องการหมดไป  
มนุษย์จึงต้องปรับตัวเพื่อสร้างคุณค่าให้ตัวเองอยู่รอด  เมื่อกลางคืนมาเยือน มนุษย์จึงต้องสร้างแสงสว่าง เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ในที่มืด   และเมื่อความหนาวมาถึง มนุษย์จึงต้องหาสิ่งอื่นๆ ที่อยู่ในธรรมชาติมาปกปิดร่างกายเพื่อให้ร่างกายอบอุ่นเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด  นั่นคือ การปรับตัวของมนุษย์เหมือนกับสัตว์อื่นๆ ที่เข้าใจหรือรู้ถึงรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของโลกหรือธรรมชาติ สัตว์เหล่านั้นต้องปรับตัว เช่น  นกในแถบทางเหนือของโลกจะอพยพย้ายถิ่นลงมาทางใต้ที่อบอุ่นกว่า  เมื่อถึงเวลาฤดูร้อนกลับจึงย้ายกลับไปทางเหนือ  และเป็นเช่นนี้อยู่ตลอดมา  นั่นเป็นความสมดุลของธรรมชาติ    
แต่เมื่อมาดูการอยู่ร่วมกันของมนุษย์กับธรรมชาติแล้ว   มนุษย์ก็สามารถเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติได้เหมือนกัน   ในหลายๆ เรื่อง มนุษย์เราเรียนรู้ได้ดีกว่าสัตว์ทั่วไป แต่ในบางเรื่องสัตว์ก็รู้จักธรรมชาติดีกว่าคน   ซึ่งบางครั้งคนเองก็ยังไม่รู้ว่าทำไมสัตว์เหล่านั้นจึงสามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่กำลังจะมาถึงได้โดยสัญชาตญาณของมัน   ดูเหมือนว่าสัตว์ต่างๆ ที่อยู่ในวัฏจักรของธรรมชาตินั้นได้ถูก “โปรแกรม” ไว้แล้วเพื่อให้เกิดความสมดุล   นั่นคงเป็นความลับของธรรมชาติ   ผมเลยคิดเอาเองว่า ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว มนุษย์เราน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เป็นส่วนเกินของโลก ซึ่งไม่ได้ถูก “โปรแกรม” ไว้ให้เข้ากับกับระบบของโลก  ทำให้ผมคิดว่า มนุษย์เราเป็นมนุษย์ต่างดาวจากนอกโลก  
แต่มนุษย์กลับเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีสติปัญญาเหนือกว่าสัตว์ต่างๆ บนโลก  มนุษย์จึงใช้สติปัญญาในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ของระบบโลกเพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์เอง   แต่ก็มีประเด็นที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าเผ่าพันธุ์ของมนุษย์เรานั้นไม่สามารถอยู่ร่วมกับระบบโลกได้  และในอีกมุมมองหนึ่งคือ มนุษย์ไม่เคยได้ให้ประโยชน์อะไรกับโลกเลย    มนุษย์ได้ใช้ทรัพยากรของโลกไปอย่างฟุ่มเฟือยโดยไม่ได้คืนประโยชน์กลับสู่ธรรมชาติหรือโลก  จึงทำให้โลกได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมากจนเสียสมดุลไป   และโลกเองก็พยายามได้ปรับตัวให้เข้าสู่สมดุลมาโดยตลอด เพื่อทำให้ระบบโลกนั้นคงอยู่ได้   ดังนั้น เมื่อชีวิตเกิดจากการเปลี่ยนแปลง  ชีวิตจะดำรงอยู่ได้ก็เพราะการเปลี่ยนแปลง และเช่นเดียวกัน ชีวิตจะจบสิ้นก็เพราะการเปลี่ยนแปลง
จัดการกับการเปลี่ยนแปลง
มนุษย์เราคงไม่ได้ยิ่งใหญ่ขนาดที่จะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้   การที่เราจะจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้นั้น  เราจะต้องเข้าใจความเป็นระบบหรือคิดอย่างเป็นระบบ (Systems Thinking)  เราจะต้องมองอย่างองค์รวม (Holistically)  มองอย่างเป็นระบบและคิดอย่างเป็นระบบ   ในระบบทั่วไปจะประกอบไปด้วยองค์ประกอบต่างๆ (Elements)  ความสัมพันธ์ (Relations)  ฟังก์ชั่นการทำงาน (Functions)  และเป้าประสงค์ (Purpose) ของระบบ   ทั้งหมดนี้ถูกบูรณาการเป็นระบบที่สร้างประโยชน์ขึ้นมา   ธรรมชาติก็เป็นระบบอย่างหนึ่ง  ชีวิตของสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในโลกก็เป็นระบบๆ หนึ่ง  สิ่งมีชีวิตหลายชนิดมาอยู่ร่วมกันในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติจนกลายเป็นระบบนิเวศในธรรมชาติ    เช่นเดียวกัน สิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็มีความเป็นระบบเช่นกันเพื่อที่จะสร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์   ยิ่งมนุษย์ต้องการประโยชน์ที่ซับซ้อน (Complex) มากขึ้นเท่าใด ระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมาก็ยิ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้น
 ในทุกระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบในธรรมชาติหรือระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมา ถ้าเรามีความเข้าในองค์ประกอบ  ความสัมพันธ์  ฟังก์ชั่น  และเป้าประสงค์ของระบบนั้นแล้ว   เราก็ควรจะสามารถจัดการกับการเปลี่ยนแปลงได้ เมื่อมีอะไรมาทำให้ระบบเปลี่ยนแปลงไป  และเช่นเดียวกัน เราสามารถเปลี่ยนแปลงระบบเพื่อไปสู่จุดหมายที่เราต้องการได้   ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในระบบธรรมชาติจะถูกจัดการด้วยธรรมชาติโดยการเปลี่ยนแปลงไปสู่สมดุลใหม่ของธรรมชาติ   และเป็นที่แน่นอนว่าจะต้องมีส่วนได้และส่วนเสียในธรรมชาติ   แต่โลกก็ยังคงอยู่และปรับตัวไป  มนุษย์เราเป็นแค่องค์ประกอบหนึ่งในโลกนี้   ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า มนุษย์บนโลกนี้เป็นเพียงแค่ปลิงที่เกาะกินเลือดของโลกเท่านั้น  แต่มนุษย์ก็ไม่ไช่ปลิงธรรมดา สามารถขยายพันธุ์ทั้งจำนวนและเปลี่ยนแปลงและเพิ่มความต้องการอย่างไม่รู้จบ     
 การจัดการธุรกิจเป็นการจัดการระบบสังคมที่ประกอบด้วยมนุษย์และสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาบนสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่มนุษย์อาศัยอยู่    ระบบสังคมนี้เป็นสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้กับมนุษย์  และสังคมเดียวกันนี้อาจจะสร้างปัญหาให้กับมนุษย์เมื่อมนุษย์ไม่ได้รับประโยชน์ที่ต้องการ  ทั้งๆ ที่สังคมนั้นก็ยังให้ประโยชน์พื้นฐานได้เหมือนเดิม   แต่ความต้องการที่เกิดจากจิตใจของมนุษย์นั้นเปลี่ยนไปตลอดเวลา   แนวคิดแบบลีนจึงเป็นการมองสังคมอย่างเป็นระบบ   แล้วในระบบสังคมนั้นมีอะไรบ้าง?   ความเป็นองค์รวมและการมองแยกส่วนเป็นอย่างไรบ้าง?  แนวคิดแบบลีนเป็นการมองความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีต่างๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นให้เป็นระบบ Socio-Technical  แล้วมนุษย์ในระบบสังคมนี้จะทำอย่างไรให้ระบบสังคมแบบลีนสามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของลูกค้าได้? 
ดังนั้น ผู้จัดการหรือผู้นำจะต้องเข้าใจการเปลี่ยนแปลงจากมุมมองของระบบ (Systematic View)     เข้าใจธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงของโลก   เข้าใจธรรมชาติของระบบและสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้น   เข้าใจการเปลี่ยนแปลงในความต้องการลูกค้าจากในมุมของลูกค้า   จำนวนของผลิตภัณฑ์   ความหลากหลายของคุณค่าที่ลูกค้าต้องการในรูปแบบผลิตภัณฑ์และบริการ   โดยส่วนมากแล้วเราจะไม่สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติได้ เพราะเราไม่เข้าใจธรรมชาติ   เราสามารถจัดการกับปัญหาต่างๆ ของเครื่องจักรหรือระบบที่เราสร้างขึ้นมาได้ เพราะเราเข้าใจในระบบ   แต่เมื่อมาถึงธุรกิจหรือระบบโซ่อุปทานที่สร้างคุณค่าซึ่งเปรียบเสมือนระบบสังคมหนึ่งที่ถูกผลักดันด้วยความคิดและการตัดสินใจของมนุษย์ การจัดการคงจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก  ยิ่งปัจจุบันสังคมนั้นได้ถูกผลักดันด้วยความคิดของมนุษย์ล้วนๆ  โดยมีประเด็นเชิงเศรษฐกิจและเทคโนโลยีเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอย่างแยกกันไม่ออก   แต่เราก็ยังไม่สามารถจัดการกับผลลัพธ์ของสังคมหรือคุณค่าที่เรามนุษย์ได้สร้างขึ้น   ก็อาจเป็นเพราะว่าเรามนุษย์เองยังไม่เข้าใจในความเป็นมนุษย์ของเราดีพอ 
ความผันแปรในระบบ
ทุกวันนี้ปัญหาเกิดขึ้นกับมนุษย์ในประเด็นที่มนุษย์ไม่ได้รับคุณค่าตามที่ต้องการ  โดยพื้นฐานปัญหาต่างๆ นั้นเกิดจากการเปลี่ยนแปลง (Variation) หรือความผันแปรในกระบวนการสร้างคุณค่าของมนุษย์   การจัดการหรือการเปลี่ยนแปลงในกระบวนการสร้างคุณค่าจึงเกิดขึ้นด้วยการคิดและตัดสินใจของมนุษย์   เพราะกระบวนการสร้างคุณค่ามีความผันแปรเกิดขึ้น     แล้วความผันแปรเหล่านี้เกิดจากอะไรบ้าง?   ผมมองความผันแปรออกเป็น  2 ส่วน  คือ ความผันแปรที่มาจากระบบของธรรมชาติซึ่งเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้   และความผันแปรที่มาจากระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมา   ความผันแปรทั้งสองชนิดมีผลต่อกระบวนการสร้างคุณค่าที่มนุษย์ต้องการ   
ความผันแปรที่เกิดจากธรรมชาตินั้น มนุษย์คงไม่สามารถควบคุมมันได้   แต่มนุษย์สามารถปรับตัวเองหรือระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นมาให้ปรับตัวตามระบบของธรรมชาติ    ส่วนความผันแปรของระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้น  ถ้ามนุษย์มีความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติขององค์ประกอบทั้งระบบก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร  เพราะว่าเมื่อมนุษย์เป็นคนสร้างระบบซึ่งมีองค์ประกอบจากธรรมชาติและเข้าใจคุณสมบัติและความสัมพันธ์เป็นอย่างดีแล้ว  มนุษย์ก็น่าจะสามารถควบคุมระบบให้สร้างคุณค่าให้กับตัวเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ   ความผันแปรของระบบก็จะลดลงไปเอง  เพราะเราสามารถคาดการณ์และควบคุมองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบที่สร้างขึ้นมาได้ 
แต่ระบบที่มนุษย์สร้างขึ้นนั้นยังต้องอาศัยมนุษย์เป็นคนดำเนินการ  ถ้าขาดมนุษย์ที่เป็นผู้ตัดสินใจสั่งการและควบคุมระบบแล้ว  ระบบนั้นก็ไม่สามารถสร้างคุณค่าให้กับมนุษย์ได้    แตกต่างจากระบบธรรมชาติที่มีการจัดการด้วยตัวเอง (Self-organization)  ยิ่งในระบบขนาดใหญ่ที่เป็นลักษณะสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นก็จะมีความใกล้เคียงกับธรรมชาติมากขึ้น เพราะในตัวระบบนั้นมีมนุษย์เป็นองค์ประกอบของระบบและสามารถคิดเองได้  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ด้วยกันเองก็ไม่ได้มีความเข้าใจซึ่งกันและกันมากนัก   จึงทำให้สังคมเกิดความขัดแย้งกันเอง   มนุษย์ที่เป็นองค์ประกอบของระบบสังคมที่ไม่สามารถตัดสินใจให้ระบบสังคมปรับตัวตามระบบธรรมชาติหรือสามารถสร้างคุณค่าให้กับตัวสังคมเอง   เมื่อระบบสังคมปรับตัวเข้ากับธรรมชาติไม่ได้   ความสมดุลขาดหายไป    ธรรมชาติก็จะปรับตัวมาทำลายระบบสังคม ทำให้องค์ประกอบของสังคมเสียหายหรือหมดไป   มนุษย์จึงไม่ได้คุณค่าที่ต้องการ  ความขัดแย้งในสังคมก็เกิดขึ้น   สมดุลทางความคิดหมดไป   การสร้างคุณค่าหยุดชะงักไป    ที่สุดแล้ว สังคมก็ล่มสลายไป  สิ่งอื่นๆ ในธรรมชาติก็เข้ามาแทนที่   โดยเป็นวัฏจักรของธรรมชาติ   ซึ่งใหญ่กว่าวัฏจักรของสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น 
ชีวิต คือ ความไม่แน่นอนและความเสี่ยง
 เมื่อเรามีความเข้าใจในลักษณะและธรรมชาติหรือพฤติกรรมของสิ่งต่างๆ แล้ว   เราก็สามารถที่จะควบคุมมันได้   ถ้าเราไม่เข้าใจและไม่สามารถควบคุมมันได้ บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้คาดคิดก็อาจเกิดขึ้นทำให้เราประหลาดใจได้    สิ่งนี้เราเรียกว่า ความไม่แน่นอน   ยิ่งเรามีความไม่แน่นอนมากเท่าใด หรือเราไม่เข้าใจในระบบหรือความสัมพันธ์ขององค์ประกอบในระบบมากเท่าใดแล้ว โอกาสที่เราจะได้ประโยชน์จากระบบหรือสิ่งที่เราสร้างขึ้นหรือระบบในธรรมชาติก็ลดน้อยลงไป   นั่นเป็นมุมมองของผม   คราวนี้มาดูคำนิยามของ Doug Hubbard ที่กล่าวถึงความไม่แน่นอนและความเสี่ยงไว้ว่า   ความไม่แน่นอน คือ การขาดความแน่นอนซึ่งทำให้เราอยู่ในสภาพของการมีความรู้ที่จำกัดซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะอธิบายได้อย่างแน่นอนถึงสถานะที่เป็นอยู่หรือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสามารถให้ผลลัพธ์ออกมามากกว่าหนึ่งแบบ  ส่วนความเสี่ยง คือ สถานะของความไม่แน่นอนซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เป็นสิ่งที่ไม่ต้องการหรือมีผลเสียอย่างมีนัยสำคัญ   เมื่อดูความหมายและแนวคิดแล้ว  ทั้งความไม่แน่นอนและความเสี่ยงเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่ต้องการ เพราะเป็นสิ่งที่ขัดขวางการสร้างประโยชน์ให้มนุษย์
 ผมเชื่อว่า การจัดการในมุมมองของมนุษย์คือการตัดสินใจวางแผนเพื่อลดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงทั้งหลายที่จะเกิดโดยไม่รู้ตัว   การออกแบบในเชิงวิศวกรรมต่างๆ มีเป้าหมายเพื่อให้ระบบหรือสิ่งที่สร้างขึ้นมีความแน่นอนในการสร้างผลลัพธ์ที่ประโยชน์ต่อมนุษย์หรือลูกค้า  วิศวกรผู้ออกแบบระบบหรือผลิตภัณฑ์จะต้องมีความรู้ในคุณลักษณะหรือพฤติกรรมต่างๆ ขององค์ประกอบต่างๆ รวมทั้งความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบนั้น เพื่อที่จะลดความไม่แน่นอนและความเสี่ยงที่จะเกิดเป็นผลเสียต่อคุณค่าที่มนุษย์ต้องการ    ดังนั้น การดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์คือการจัดการความเสี่ยงให้ตัวมนุษย์เองเพื่อความอยู่รอด   มนุษย์อยู่รอดได้ในสภาวะภูมิอากาศทั่วไปในโลกนี้ ก็เพราะมนุษย์เรียนรู้และเตรียมพร้อมในการปกป้องคุณค่าที่จะทำให้ตัวเองอยู่รอด
ลีน คือ การจัดการความเสี่ยง
 เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ คงจะเดากันออกว่าผมจะสรุปเช่นใด   เพราะว่า “ลีน” ในมุมมองของผมนั้นไม่ใช่เรื่องของการผลิตอย่างที่หลายคนคิดและเข้าใจกัน  ลีนไม่ใช่แค่การใช้เครื่องมือเท่ๆ อย่างเช่น คัมบัง   ความเป็นลีนมีองค์ประกอบที่ซับซ้อนเกินกว่าที่แนวคิดแบบลีนที่ได้ถูกนำเสนอออกไปในที่ต่างๆ    ผู้ที่นำเอาแนวคิดแบบลีนไปใช้งานเองก็ไม่ได้มีความเข้าใจในแนวคิดแบบลีน และที่สำคัญยังไม่เข้าใจในระบบการสร้างคุณค่าของตัวเองด้วยซ้ำ    Dr. Jeffrey Liker ผู้เขียนหนังสือ The Toyota Way มองระบบ TPS หรือองค์กร Toyota เป็นระบบ Socio-Technical ที่ประกอบไปด้วยมนุษย์ที่อยู่ร่วมกันเป็นสังคมที่มีเทคโนโลยีเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างคุณค่า   และเทคโนโลยีสำหรับการสร้างคุณค่านั้นมีผลต่อพฤติกรรมของสังคมหรือองค์กรนั้นๆ    ดังนั้น ระบบลีนหรือองค์กรที่เป็นลีน คือ ระบบสังคมที่ใช้เทคโนโลยีต่างๆ ในการสร้างคุณค่าให้กับตัวเองและสังคม
 แนวคิดแบบลีนจึงมีพื้นฐานมาจากการจัดการความเสี่ยงสำหรับทรัพยากรที่เป็นองค์ประกอบในการสร้างคุณค่า   โดยการทำอย่างไรก็ตามให้เราสามารถที่จะควบคุมทรัพยากรเหล่านี้ให้ได้  ไม่ว่าจะเป็นวัตถุดิบ  คน  เครื่องจักร  วิธีการ  เงิน  และสารสนเทศ   เมื่อองค์ประกอบพื้นฐานในการสร้างคุณค่า รวมทั้งอุปสงค์ ถูกจัดการและควบคุมได้  เราก็มั่นใจได้ว่าระบบของเราจะสามารถสร้างคุณค่าออกมาได้ตามที่ต้องการ  โดยไม่จำเป็นที่จะต้องตระเตรียมเผื่อไว้หรือสำรองไว้   เพราะเรามีความรู้ที่เกี่ยวกับทรัพยากรทั้งหมดของเรา เราจึงไม่ต้องเก็บสำรองไว้  ดังนั้น หลักการพื้นฐานของแนวคิดแบบลีนคือ การมีความรู้เกี่ยวกับสภาพและคุณลักษณะของทรัพยากรในการสร้างคุณค่าเพื่อตอบสนองต่อตัวเองหรือองค์กร และที่สำคัญคือ เข้าใจลูกค้าและความต้องการของลูกค้า เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด   และที่สุดแล้วจะต้องมุ่งไปสู่ความยั่งยืน
 
แนวคิดแบบลีนเป็นแนวคิดในการจัดการที่มองกระบวนการสร้างคุณค่าอย่างเป็นองค์รวมหรืออย่างเป็นระบบ   แนวคิดแบบลีนพยายามที่จะเข้าใจองค์ประกอบของกระบวนการให้มากที่สุดเพื่อที่จะได้ควบคุมหรือปรับเปลี่ยนได้   แนวคิดแบบลีนจึงเป็นการจัดสรรทรัพยากร 5M+I  อย่างควบคุมได้หรือมีความเสี่ยงน้อยที่สุด
การจัดการ “วัตถุดิบ” จึงเป็นการเจรจาการจัดส่งวัตถุดิบของผู้จัดส่ง (Suppliers) เพื่อที่จะได้รับวัตถุดิบอย่างทันเวลาพอดี (Just in Time) ตามรอบการส่ง  ทำให้ไม่มีวัตถุดิบคงคลังสำรอง  ผู้จัดส่งวัตถุดิบก็จะต้องเป็นที่ไว้วางใจมีความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้ผลิตในด้านความน่าเชื่อถือในการจัดส่งวัตถุดิบทั้งด้านคุณภาพและเวลาในการจัดส่ง   นี่เป็นการลดความเสี่ยงในการจัดการวัตถุดิบอย่างหนึ่งที่สำคัญมากและการสร้างความสัมพันธ์กับผู้จัดส่งวัตถุดิบอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ  จะต้องอาศัยความเข้าใจและความร่วมมือจากทั้งสองฝ่ายเพื่อลดความเสี่ยงจากการขาดวัตถุดิบเมื่อต้องการ
 
สำหรับในเรื่อง “เครื่องจักร” ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการสร้างคุณค่าของกระบวนการ  จะต้องมีการจัดการความพร้อมในการดำเนินการ   ไม่ให้มีเครื่องจักรที่เสียหรือไม่สามารถทำการผลิตได้   ทำให้เกิดการขาดตอนของการไหลของทรัพยากรที่ถูกใช้ในการสร้างคุณค่า    ถ้าเครื่องจักรไม่พร้อม  คุณค่าก็ไม่เกิด  แนวคิดนี้ คือ การบำรุงรักษาให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานได้อยู่ตลอดเวลา  ที่จริงแล้วแนวคิดนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่  แต่เป็นสัญชาตญาณของมนุษย์นี่เองที่ไม่ต้องการให้สิ่งที่ถูกดำเนินการโดยตลอดจะต้องมาหยุดชะงักลงระหว่างการดำเนินงาน  ประเด็นที่น่าสนใจ คือ เราจะมองเห็นประเด็นนี้ในเชิงระบบกับส่วนอื่นๆ หรือไม่
 
ส่วนเรื่อง “คน” นี้เป็นเรื่องสำคัญและมีหลายมุมมอง   แนวคิดแบบลีนมองคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญในการการสร้างสรรค์    คนเป็นทรัพยากรที่สามารถสร้างความยืดหยุ่นให้กับระบบลีนได้เป็นอย่างมาก   แนวคิดแบบลีนต้องการให้คนมีความชำนาญในการทำงานหลายๆ อย่าง  ไม่ใช่เชี่ยวชาญอยู่คนเดียว   และถ้าจะเชี่ยวชาญในหลายเรื่องแล้ว  ก็ต้องทำให้คนนั้นเรียนรู้ได้เร็วและทำงานอื่นๆ หลายๆ ชนิดได้อย่างถูกต้อง   นั่นคือ งานจะต้องเป็นมาตรฐาน หรือวิธีการจะต้องง่ายต่อความเข้าใจ  ซึ่งจะทำให้คนผู้นั้นสามารถทำงานได้หลายอย่างและคุณภาพเดียวกัน   ดังนั้น ความเสี่ยงด้านคนจึงลดน้อยลงไปด้วย   ประเด็นนี้จะมีความสัมพันธ์เชิงระบบกับส่วนอื่นๆ อย่างไร
 ด้าน “สารสนเทศ” ก็มีความสำคัญเช่นกัน  เพราะกิจกรรมต่างๆในกระบวนการก็ต้องการสารสนเทศหรือข้อมูลสำหรับการตัดสินใจ   แล้วเราจะทำอย่างไรที่จะทำให้คนในกระบวนการสามารถตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและแม่นยำและตอบสนองต่อความต้องการได้อย่างทันเวลาพอดี   แนวคิดแบบลีนมีหลายตัวอย่างของการสื่อสารข้อมูลในสภาพแวดล้อมการทำงาน  เช่น  การควบคุมด้วยสายตา  การใช้ระบบคัมบัง   เครื่องมือเหล่านี้ช่วยส่งผ่านข้อมูลที่ถูกต้องไปยังผู้ตัดสินใจในกระบวนการสร้างคุณค่าได้อย่างถูกต้อง  ทำให้ความเสี่ยงในการตัดสินใจผิดพลาดลดน้อยลง
 
ที่กล่าวมานั้นเป็นเพียงส่วนหลักๆ ในกระบวนการสร้างคุณค่าทั่วไปซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่ที่การผลิตเท่านั้น   แต่สามารถประยุกต์ใช้ได้ในทุกกระบวนการที่สร้างคุณค่าให้กับมนุษย์   ความไม่แน่นอนนั้นเป็นธรรมชาติของมนุษย์  ถ้าเราเข้าใจสภาพแวดล้อมและธรรมชาติของสิ่งที่มนุษย์ได้สร้างขึ้นมา   ความไม่แน่นอนก็จะน้อยลง  ความเสี่ยงก็น้อยลงเช่นกัน   ความผันแปรต่างๆ ก็จะถูกคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำขึ้น   ความเสียหายก็ลดน้อยลง   การเสียสมดุลของระบบการสร้างคุณค่าก็ลดลง     กระบวนการการสร้างคุณค่าก็จะเป็นไปตามเป้าหมาย  ความสูญเปล่าก็ไม่มี  ระบบการสร้างคุณค่าก็มีความเสถียรและมุ่งสู่จุดที่ยั่งยืนเหมือนกับระบบในธรรมชาติมากขึ้น
บทสรุป
 มนุษยชาติต้องต่อสู้กับความไม่แน่นอนของธรรมชาติมาตลอด   มนุษย์ทำทุกอย่างที่จะเอาชนะความไม่แน่นอนและความผันแปรของธรรมชาติ  มนุษย์พยายามลดความเสี่ยงต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประโยชน์ที่มนุษย์ต้องการ   มนุษย์มีความเชื่อและความทะเยอทะยานที่จะเอาชนะธรรมชาติให้ได้   แล้วเราจะจัดการกับความผันแปรและความไม่แน่นอนต่างๆ ในโลกนี้ได้อย่างไร?   ที่จริงแล้วเราจัดการกับความผันแปรและความไม่แน่นอนไม่ได้ทั้งหมด   แต่เราก็สามารถควบคุมได้เป็นบางส่วน  นั่นหมายความว่า เราเข้าใจธรรมชาติของโลกได้บางส่วน   เราควบคุมธรรมชาติไม่ได้   แต่เราจะต้องสามารถควบคุมตัวเองและปรับตัวเองให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น เพื่อรักษาประโยชน์ต่างๆ ที่มนุษย์ต้องการไว้   
เป้าหมายของแนวคิดแบบลีน คือ การจัดการกับตัวเองให้มีความผันแปรในองค์ประกอบของตัวเองให้น้อยที่สุดและจะต้องควบคุมองค์ประกอบให้ได้    นั่นหมายความว่า เราจะต้องมีความรู้และเข้าใจตัวเองและองค์ประกอบอย่างเป็นองค์รวมให้มากที่สุด   ไม่ใช่การเข้าใจเป็นส่วนๆ อย่างที่เราถูกสอนมาโดยตลอดในระบบการเรียนการสอน   ในสภาพแวดล้อมที่ผันแปรและมีการเปลี่ยนแปลงของความต้องการลูกค้าทำให้เราไม่สามารถจัดการกระบวนการธุรกิจที่ประกอบไปด้วยกลุ่มทรัพยากร (5M+I) เพื่อให้ได้คุณค่าที่ลูกค้าต้องการได้   ทำให้คุณค่าที่ได้มานั้นอยู่ในสถานะภาพที่  ไม่ดี  ไม่เร็ว  และไม่ถูก     สิ่งใดบ้างที่มีความผันแปรในกลุ่มทรัพยากรขององค์กร   ไม่ว่าจะเป็น คน  วัตถุดิบหรือเครื่องจักร   สำหรับประเด็นที่ว่า  “เราไม่สามารถจัดการได้” นั้น คือ เราไม่สามารถตัดสินใจหรือวางแผนได้   ถึงแม้ว่าจะตัดสินใจหรือวางแผนไปแล้ว  ก็เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น  เพราะอาจจะไม่ใช่การมองทั้งระบบหรือมองเป็นองค์รวม  และไม่ใช่มองเฉพาะแต่ในแผนกเท่านั้น  แต่จำเป็นต้องขยายผลออกเป็นทั่วทั้งองค์กรและระหว่างองค์กรตลอดโซ่อุปทาน    การแนวคิดแบบลีนเป็นการบูรณาการระบบการคิดและตัดสินใจในการไหลของทรัพยากรในโซ่อุปทานเพื่อให้เกิดความสมดุล (Balanced) และสอดคล้อง (Synchronize) กับความต้องการของลูกค้าได้  เพื่อลดความเสี่ยงในการสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า   จึงทำให้ไม่เกิดสภาพของเหลือจัดเก็บไว้ (Inventory) และไม่มีของขาดไม่มีส่งให้ลูกค้า (Shortage)   หรือสามารถบริการลูกค้าได้ (Service Level)  ที่สำคัญแนวคิดแบบลีนจะต้องทำให้องค์กรปรับตัวได้อย่างยั่งยืน
เอกสารอ้างอิง
Douglas Hubbard "How to Measure Anything: Finding the Value of Intangibles in Business", John Wiley & Sons, 2007
วันอังคารที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2553
เจาะแก่นแนวคิดแบบลีน (2) : ความไม่แน่นอนและความเสี่ยง
17:03
  Lean
  
 






 
 
 
