My Perspectives 2-2015 : ความปรองดองเริ่มจากการมีคิดร่วมกันไปในทิศทางเดียวกันเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน
ไม่ได้เขียนถึงเรื่องการเมืองมานานเป็นปีเลยครับหลังจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปีที่แล้ว และอีกหลายๆเหตุการณ์ จนมาถึงการยึดอำนาจของ คสช. ท่ามกลางความเห็นด้วยและไม่เห็นมาโดยตลอดจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ สิ่งที่เห็นเด่นชัดอย่างหนึ่งก็ คือ ความสงบซึ่งเป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้ ถึงแม้ว่าทางภาคใต้ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ยังไม่ได้สงบอย่างที่ว่ากัน มันเห็นกันชัดๆอยู่โดยทั่วไปว่าบ้านเมืองสงบจริง เมื่อเทียบกับก่อนการปฎิวัติ แต่ทว่าความมั่นคงของชาตินี่สิครับ ประเทศเรานี้มีความมั่นคงจริงหรือ ความมั่นคงของชาติเราวัดกันที่ความสงบตัวเดียวเท่านั้นหรือไม่ ผมว่าไม่ใช่ครับ ความั่นคงของชาตินั้นต้องไม่เปราะบาง แต่จะต้องเหนียวแน่นและยืดหยุ่น แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้ประเทศชาติมีความเหนียวแน่นและยืดหยุ่นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและในขณะเดียวกันนั้นก็ยังสามารถที่จะสร้างชาติให้เจริญขึ้นไปได้อีก
ไม่ได้เขียนถึงเรื่องการเมืองมานานเป็นปีเลยครับหลังจากเหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองเมื่อปีที่แล้ว และอีกหลายๆเหตุการณ์ จนมาถึงการยึดอำนาจของ คสช. ท่ามกลางความเห็นด้วยและไม่เห็นมาโดยตลอดจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ สิ่งที่เห็นเด่นชัดอย่างหนึ่งก็ คือ ความสงบซึ่งเป็นเรื่องที่เถียงไม่ได้ ถึงแม้ว่าทางภาคใต้ก็เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่ยังไม่ได้สงบอย่างที่ว่ากัน มันเห็นกันชัดๆอยู่โดยทั่วไปว่าบ้านเมืองสงบจริง เมื่อเทียบกับก่อนการปฎิวัติ แต่ทว่าความมั่นคงของชาตินี่สิครับ ประเทศเรานี้มีความมั่นคงจริงหรือ ความมั่นคงของชาติเราวัดกันที่ความสงบตัวเดียวเท่านั้นหรือไม่ ผมว่าไม่ใช่ครับ ความั่นคงของชาตินั้นต้องไม่เปราะบาง แต่จะต้องเหนียวแน่นและยืดหยุ่น แล้วอะไรล่ะที่จะทำให้ประเทศชาติมีความเหนียวแน่นและยืดหยุ่นในการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงและในขณะเดียวกันนั้นก็ยังสามารถที่จะสร้างชาติให้เจริญขึ้นไปได้อีก
หลายคนอาจจะบอกว่าต้องปรองดองกัน แล้วการปรองดองกันนั้น คือ
อะไรและเป็นอย่างไรกันอีก
ความจริงแล้วการปรองดองกันนั้นไม่ใช่ว่า คือ การจับมือกันหรือการกอดกัน หรือเป็นแค่การอาศัยอยู่ร่วมกันโดยไม่ทะเลาะเบาะแว้งกัน นั่นเป็นสภาพแบบผิวๆที่เราเห็นจากการปรองดอง ซึ่งอาจจะสร้างภาพกันได้หรือเกิดแค่ชั่วคราว แต่ในมุมมองของผมนั้นความปรองดองที่แท้ไม่ได้เริ่มจากสภาพหรือกิจกรรมเหล่านั้นเลย ความปรองดองนั้น เกิดจาการทำงานร่วมกัน (Collaboration)
หรือ
ความสามัคคีกัน
ถึงแม้ว่าผู้คนในสังคมนั้นจะมีความคิดเห็นต่างกัน มีความสามารถแตกต่างกัน และอยู่ในระดับของชนชั้นในสังคมที่แตกต่างกัน แต่ก็สามารถที่จะมีความคิดร่วมกันและทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ มีความคิดแบบองค์รวมกัน ไม่ใช่ต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างหาผลประโยชน์ ความเป็นองค์รวมไม่ได้บอกว่าเหมือนกันทั้งหมด แต่ก็ต้องยอมรับว่าต้องไปในทิศทางเดียวกัน ที่สำคัญ คือ ต้องได้ผลประโยชน์ร่วมกัน ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ไม่เมื่อใดก็เมื่อนั้นเมื่อเวลามาถึง
ทุกคนต้องได้รับผลประโยชน์ร่วมกัน
ความสามัคคีหรือความปรองดองนั้นต้องเกิดจากความคิดหรือ
mindset เป็นหลัก ถ้าคนในสังคมคิดไม่ได้แล้วหรือไม่พยายามที่จะคิดนั้น ก็คงไม่มีทางที่จะปรองดองกันได้หรือสามัคคีกันได้ องค์ประกอบที่สำคัญของความสามัคคีหรือความปรองดองนั้นก็
คือ ความไว้ใจ (Trust) นั่นเอง เพราะว่าถ้าเราขาดความไว้ใจกันแล้ว เราก็จะขัดขาและขัดแย้งกันเองจนกิจกรรมเพื่อส่วนรวมไม่สามารถดำเนินการกันได้ แต่ว่าเมื่อคนในสังคมมีจำนวนวนมากขึ้น
มีความหลากหลายมากขึ้น มีผู้คนมากหน้าหลายตาต่างความคิดและประสบการณ์
คนเราจึงต้องใช้เครื่องมือทางสังคมเพื่อสร้างความไว้ใจและการได้รับมอบหมายในอำนาจในการดำเนินงานตามความคิดส่วนรวม ด้วยการสื่อสารและควบคุมในการดำเนินงานของคนในสังคมเพื่อให้เกิดระเบียบทั้งในการการรวบรวมความคิดและการนำเอาความคิดไปใช้ให้เกิดประโยชน์ เครื่องมือในการสร้างความไว้ใจเหล่านี้ก็ คือ
กฎระเบียบของสังคมซึ่งทุกคนในสังคมยอมรับและให้การรับรองผ่านกระบวนการต่างๆทางสังคมอื่นๆที่คนในสังคมตกลงร่วมกัน
ผมว่านี่เป็นตรรกะง่ายๆที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานของสังคมมนุษย์ที่ยังไม่ได้เอาอารมณ์
ความรู้สึกเห็นแก่ตัว คุณธรรม การเอาเปรียบผู้อื่น
และเครื่องมือที่สำคัญที่เป็นทั้งพระเอกและผู้ร้ายในเวลาเดียวกัน ก็ คือ
ความรุ่นแรงนั่นเองเข้ามาเกี่ยวข้อง
สังคมมนุษย์ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันไม่ได้เป็นสังคมในอุดคติที่มีแต่เรื่องดีๆที่เราคิดได้ ในทางตรงกันข้ามเรื่องร้ายๆที่เรานึกไม่ถึงก็เกิดขึ้นได้เสมอ ความรุนแรงถูกมนุษย์นำเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการใช้อำนาจในสังคมเพื่อการทำร้ายล้างทั้งชีวิตและทรัพย์สินเพื่อให้ได้ซึ่งอำนาจในการควบคุมทั้งความคิดและการดำเนินงานเพื่อประโยชน์ของสังคมหรือของใครกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
สมการนี้มีองค์ประกอบหรือตัวแปรไม่มากนัก
แต่ความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรและบริบทที่เกิดขึ้นในแต่ละสังคมอีกทั้งห้วงเวลาที่เกิดขึ้นนั้นซับซ้อนยิ่งนัก
ดังนั้นเมื่อมองเข้ามาในสังคมไทยด้วยตัวแปรต่างๆและบริบทต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาดวงดาวหรือโหราศาสตร์ ก็พบว่าสังคมไทยขาดสมดุลด้วยพลังแห่งอำนาจของความรุนแรงที่ทำให้เสียสมดุลไป อีกทั้งความเชื่อมโยงหรือความปฎิสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองและความสัมพันธ์ประชาคมโลกนั้นใกล้ชิดด้วยข่าวสารและการคติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วขึ้น ภายในประเทศดูสงบนิ่ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดูตึงเครียดด้วยสภาพเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่กดดันอยู่ในหลายๆเรื่อง ในทางตรงกันข้ามความคิดของพลเมืองหรือประชาชนในประเทศก็มีการพัฒนาไปมากขึ้น พลเมืองประเทศไทยและผู้นำไทยเข้าใจตัวเองหรือการเมืองและเศรษฐกิจโลกหรือเปล่า ในขณะเดียวกันกลับไม่ได้ประเมินตัวเองในสถานะและสมรรถนะของตัวเองเพื่อการพัฒนาและอยู่รอด แต่นับว่าโชคดีที่ไม่มีความรุนแรงจากอีกฝ่ายหนึ่งที่จะออกมาต่อต้านหรืออาจจะรอคอยกัการระเบิดออกอีกครั้งหนึ่ง จึงอาจจะทำให้ฝ่ายที่ครองอำนาจอยู่ทุกวันนี้ต้องการความมั่นใจและความสะดวกในการดำเนินการในการจัดการกฎระเบียบใหม่ของสังคมซึ่งจะเป็นผลดีหรือไม่ดีต่อประเทศนั้นก็คงต้องดูต่อไป ตรงที่การยอมรับของพลเมืองหรือประชาชน ไม่ใช่ที่ผู้กำหนดหรือผู้ที่เขียนรัฐธรรมนูญขึ้น
แต่ถ้าเมื่อใดการเขียนรัฐธรรมนูญนั้นไม่ได้เชื่อมโยงกับประชาชนแล้ว ถึงจะดูดีอย่างไรในมุมเชิงวิชาการหรือมุมใดมุมหนึ่งของผู้ร่างรัฐธรรมนูญนั้น เมื่อรัฐธรรมนูญนั้นถกนำไปใช้ในกลุ่มพลเมืองหรือประชาชนส่วนใหญ่ ประชาชนพลเมืองพวกเขาก็จะต่อต้านและปรับกระบวนการในที่สุด ผลลัพธ์จะออกมาเป็นรูปแบบใดนั้นก็แล้วแต่ประชาชนจริงๆ แต่ถ้าเรารู้อย่างนั้นแล้ว ถ้าเรารู้ว่ามันผิดทางแล้ว ทำไมเราจะต้องพาประเทศ พาสังคมหลงทางไปในทางนั้นอีกด้วยเหล่า
ผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่จะลลายหายไปกับการหลงทางนี้โดยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย แต่ในระหว่างทางที่เราเดินหลงทางไปคนส่วนหนึ่งย่อมได้ประโยชน์ ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยที่อาจจะทำให้คนส่วนใหญ่ในสังคมเสียประโยชน์จากโอกาสต่างๆทีเกิดในสังคมโลก นั่นเป็นเพราะอะไร? อาจจะเป็นเพราะแค่ความคิดพื้นฐานหรือหลักคิดพื้นฐานของคนไทยในการดำรงอยู่ร่วมกันที่ไม่ได้ปรับเปลี่ยนแปลงไปตามกระแสโลกและสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปกาลเวลาดังนั้นเมื่อมองเข้ามาในสังคมไทยด้วยตัวแปรต่างๆและบริบทต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาดวงดาวหรือโหราศาสตร์ ก็พบว่าสังคมไทยขาดสมดุลด้วยพลังแห่งอำนาจของความรุนแรงที่ทำให้เสียสมดุลไป อีกทั้งความเชื่อมโยงหรือความปฎิสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองและความสัมพันธ์ประชาคมโลกนั้นใกล้ชิดด้วยข่าวสารและการคติดต่อสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วขึ้น ภายในประเทศดูสงบนิ่ง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดูตึงเครียดด้วยสภาพเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศที่กดดันอยู่ในหลายๆเรื่อง ในทางตรงกันข้ามความคิดของพลเมืองหรือประชาชนในประเทศก็มีการพัฒนาไปมากขึ้น พลเมืองประเทศไทยและผู้นำไทยเข้าใจตัวเองหรือการเมืองและเศรษฐกิจโลกหรือเปล่า ในขณะเดียวกันกลับไม่ได้ประเมินตัวเองในสถานะและสมรรถนะของตัวเองเพื่อการพัฒนาและอยู่รอด แต่นับว่าโชคดีที่ไม่มีความรุนแรงจากอีกฝ่ายหนึ่งที่จะออกมาต่อต้านหรืออาจจะรอคอยกัการระเบิดออกอีกครั้งหนึ่ง จึงอาจจะทำให้ฝ่ายที่ครองอำนาจอยู่ทุกวันนี้ต้องการความมั่นใจและความสะดวกในการดำเนินการในการจัดการกฎระเบียบใหม่ของสังคมซึ่งจะเป็นผลดีหรือไม่ดีต่อประเทศนั้นก็คงต้องดูต่อไป ตรงที่การยอมรับของพลเมืองหรือประชาชน ไม่ใช่ที่ผู้กำหนดหรือผู้ที่เขียนรัฐธรรมนูญขึ้น
7 เม.ย. 2558