วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Life - คำถาม : เข็มทิศชี้ทางนำชีวิต

ผมหายหน้าหายตาไปนานพอสมควรครับ ก็ไม่ได้นับว่ากี่อาทิตย์ ประมาณสัก 2 หรือไม่ก็ 3 อาทิตย์ แล้วก็ไม่เข้ามาดู FB เท่าไหร่ด้วยครับ ต้องหลบมุมความคิดไปอยู่เฉยๆ เพราะโดนกระหน่ำทางอารมณ์ แทบจะยืนไม่อยู่ ไม่ค่อยสบายใจเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมากนัก ระหว่างที่หายไปก็ยังได้ไปเปิดหูเปิดตาที่ Hong Kong ระหว่างวันหยุดยาวที่ผ่านมา 15-17 ก.ค. 54 แต่ก็ดันไปเจอแต่คนไทยแทบทั้งนั้น


เวลาไปต่างประเทศ ไม่ว่าจะไปเอง ไปเที่ยวหรือ ไปทำงาน ผมมักจะมีความรู้สึกแปลกแบบเดียวกันทุกครั้ง ก็คือ หดหู่ สิ้นหวัง แล้วก็มีคำถามขึ้นมาในใจว่า แล้วอะไรทำให้เราเป็นแบบนี้ แล้วก็ถามตัวเองซ้ำๆ ไปเรื่อยๆ บางครั้งก็ยังไม่ทันจะได้คำตอบ ก็มีคำถามใหม่ขึ้นมาอีก เออ! บางที บางคำถามก็อาจจะไม่ต้องมีคำตอบก็ได้ ผมเองไม่เคยได้เรียนปรัชญามาโดยตรง แต่ก็รู้สึกว่าวิชานี้สำคัญอย่างมากต่อการดำรงชีวิต เพราะผมเองก็เข้าใจในเรื่องปรัชญาแบบง่ายๆ จากการศึกษาเองว่า เป็นเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตั้งคำถาม คำถามต่างๆ ซึ่งที่สุดแล้วมันก็มาสิ้นสุดตรงคำถามที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเรานั่นเอง วิชาการต่างๆ ที่เราเรียนและใช้เป็นอาชีพทั้งหลายก็แตกหน่อแยกออกมาจากวิชาปรัชญาทั้งนั้น ทั้งหมดนี้ก็เพื่อหาคำตอบให้กับความหมายชองคำว่า “ชีวิต” นั่นเอง


หนุ่มเมืองจันทน์แห่งหนังสือพิมพ์มติชน มีหนังสือที่มีชื่อเรื่องว่า “คำถามนั้นสำคัญกว่าคำตอบ” ผมนั้นถูกใจมากๆ ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยได้อ่านงานของเขาเท่าไหร่นัก แต่ก็รู้สึกชื่นชม บางครั้งคนเรานั้นมัวแต่พยายามที่จะหาคำตอบ หรือชื่นชมผู้ที่หาคำตอบได้ แต่ในหลายครั้งเรามักจะลืมคนที่ตั้งคำถามดีๆ ไปเสียเนี่ย เพราะว่าการที่เราจะตั้งคำถามที่ดีๆ เหล่านั้นได้ เราหรือคนเหล่านั้นก็คงจะต้องรู้คำตอบๆ ดีหลายคำตอบจากคำถามหลายคำถามมาแล้วก็ได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นคำถามเล็กๆ ก็อาจจะเปลี่ยนแปลงโลกก็ได้


แล้วเราควรจะถามเรื่องอะไรบ้างล่ะ ผมนั้นเกลียดการสอนหนังสือแล้วไม่ค่อยจะมีคนถาม แล้วเรียนกันทำไม (ว่ะ) ส่วนมากคนไทยไม่ค่อยถามในชั้น กลัวว่าจะเสียฟอร์ม กล้วว่าคนอื่นจะว่าถามอะไรตื้นๆ หรือโง่ไป แล้วจะอายกันไป จนกลายเป็นวัฒนธรรมของคนไทยในการศึกษาที่เป็นที่รู้กันว่าคนไทยไม่ค่อยถาม ผมว่าอันตรายมากๆ สำหรับสังคมไทย เพราะว่าการพัฒนาหรือนวัตกรรมนั้นเกิดขึ้นมาจากการตั้งคำถาม โดยเริ่มจากคำถามง่ายๆ นี่แหละจนไปถึงคำถามที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ หรืออาจจะเริ่มถามตังเองก่อนว่า ต้องการอะไรในชีวิตบ้างแล้วก็หาคำตอบนั้นให้เจอ จากนั้นก็ตั้งถามใหม่แล้วก็หาคำตอบนั้นให้เจอ ให้มันหมุนวนเวียนเป็นอย่างนี้ไปตลอด การพัฒนามันจึงจะเกิดขึ้น เรื่องอย่างนี้ไม่ควรจะอายกัน ผมคิดว่าความสำเร็จของบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือบุคคลที่ประสบความสำเร็จก็มาจากการตั้งคำถามนั่นเอง


หลังจากที่ผมไปเห็นอะไรๆ ต่างๆ ในต่างแดนแล้วรู้สึกหดหู่กับตัวเองและประเทศอันเป็นที่รักของเราแล้ว ผมก็ต้องตั้งคำถามขึ้นมาให้กับตัวเอง แล้วก็เลยออกไปถามถึงเพื่อนๆ พี่ๆ ที่ไปด้วยกัน แต่ทุกครั้งที่ผมเดินทางกลับบ้านเรา ผมก็มีกำลังใจทุกครั้งไปกับคำถามที่ผมตั้งขึ้นมาถามตัวเองอยู่เสมอ แต่ในหลายครั้งผมเองก็ถามแทนประเทศของเราไม่ได้ แล้วจะมีผู้นำประเทศคนไหนไหมที่จะมาตั้งคำถามแทนเรา เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่มันก็สามารถทำให้ผมได้ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความเป็นผมหรือความเป็นประเทศ


บางครั้งการตั้งคำถามนั้นก็เป็นการตั้งคำถามเพื่อที่จะประเมินตัวเองในการเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่า อย่าไปกังวลว่าจะได้คำตอบหรือไม่ แต่ก็ขอให้หยุดคิดและตั้งคำถามไปเรื่อยๆ บางครั้งคำถามที่เราตั้งไปอาจจะกลายมาเป็นคำตอบของคำถามที่ผ่านมาก็ได้ บางครั้งถ้ามันตันในความคิดมากๆ ไม่สามารถหาคำตอบได้ ก็หยุดหาคำตอบที่มันตอบไม่ได้ นอนเฉยๆ ลืมตาดูเพดานถามตัวเองไปเรื่อยสักพักนึงครับ บางที่ก็อาจจะช่วยได้ครับ


ชีวิตเรานั้นเต็มไปด้วยคำถาม ชีวิตเจริญเติบโตและรุ่งโรจน์ได้ก็เพราะคำถาม แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็จะต้องเป็นคำถามที่สร้างสรรค์และให้กำลังใจแก่ชีวิต มันต้องไม่ใช่คำถามที่ต้องมาถามตัวเองว่า “ทำไมฉันถึงเป็นอย่างนี้” “ทำไมฉันมาได้แค่นี้” “ทำไมฉันเป็นผู้แพ้ (Loser)” หรือ คำถามที่ถามตัวเองว่าเป็นต้นเหตุแห่งความเลวร้ายทั้งหมด หรือฉันนั้นหรือเป็นต้นเหตุ ผมเองก็เคยตั้งคำถามกับตัวเองแบบนี้มาก่อน สรุปแล้วไม่มีอะไรดีขึ้น ตัวผมเองตกอยู่ในภาวะ Depress หรือหดหู่มาก หมดอาลัยตายยาก ยิ่งถามตัวเองแบบนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำร้ายตัวเองมากเท่านั้น


ชีวิตเรา มันก็ไม่น่าเชื่อนะครับ บางครั้งคนเรามันก็ไร้เดียงสานะ ทำร้ายตัวเองด้วยคำถามเชิงลบง่ายๆ อย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ หรืออย่างโง่ๆ พูดแบบแรงๆ พอพูดให้ตรงๆ แล้วก็หาว่าพูดแทงใจดำอีก ก็ยิ่งไปกันใหญ่ อย่างนี้ต้องเอาทางพระเข้าข่ม หรือต้องสำรวมจิตภาวนา ต้องใช้ภาวะผู้นำของตนเองในการใช้ชีวิต เราเองนั้นต้องเป็นนายของอารมณ์ของเราเอง อย่าเป็นทาสมัน เราต้องชนะใจตนเอง บางทีการอ่านหนังสือต่างๆ ก็ช่วยได้เยอะนะครับ อย่าไปดูถูกการอ่านหนังสือต่างๆ ไปนะครับ ที่ผมพูดมานี่ไม่ใช่ว่าผมทำได้หมดนะ ผมก็ยังตกเป็นทาสอารมณ์โกรธอยู่ ตามสภาวะ แต่ผมพยายามที่จะคิดบวกให้ได้อยู่เสมอ เพราะถ้าเราไม่ได้เป็นหลักที่ดีและหนักแน่นแล้ว คนอื่นๆ ที่พึ่งพาเราก็อาจจะลำบากไปด้วย


ทำไมเราไม่หันมาตั้งคำถามดีๆ ให้กับชีวิตให้กับใจเรา ให้มีความฝัน ให้มีเป้าหมาย ผมพยายามหลีกเลี่ยงคำว่าความหวัง อย่าไปหวังมันเลยครับ เพราะแค่ความหวังไม่ได้ช่วยอะไรเราหรอก มันต้องลงมือตั้งเริ่ม คิดใหม่ ตั้งคำถามใหม่ และลงมือทำใหม่ เลิกความคิดเชิงลบทั้งหลายทิ้งไป มาเริ่มต้นกันใหม่ทุกครั้งสำหรับวัฏจักรการเปลี่ยนแปลงที่เป็นนิจสิน ถึงแม้ล้มไปแล้ว ก็ต้องลุกขึ้นมาใหม่ มันง่ายอย่างนั้นไหมครับ


บอกกันตรงๆ ว่า กว่าผมจะกลับมาเขียนตรงนี้อีกนั้น ผมต้องใช้พลังอย่างมากที่จะต้องก้าวข้ามความอึดอัด และความหดหู่ ความกังวล ความไม่สบายใจต่างๆ แต่พอเขียนไปได้สัก 3-4 บรรทัด มันเหมือนได้ปลดปล่อยอะไรออกไป ผมว่าการเขียนนั้นมันก็เป็นเครื่องช่วยในการเยียวยาจิตใจเราได้เหมือนกันนะครับ (ทั้งๆ ที่ผมเองก็ไม่ได้เขียนดีอะไรมากมายเท่าไหร่นัก) ทำไมเพื่อนไม่มาลองเขียนกันดูบ้างล่ะครับ