วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Movie – Unknown : รู้จักตัวเอง เพื่อเปลี่ยนตัวเอง

ไม่ได้มีโอกาสดูหนังยาวมานานแล้ว เพราะวันธรรมดาจะดูแต่ series ส่วนหนังยาวนั้นผมมักจะดูช่วยสุดสัปดาห์เสาร์อาทิตย์ตามจังหวะเวลาว่าง อาทิตย์นี้สอนหนังสือที่ม.บูรพาและที่ม.ราม บางนา กลับมาบ้านตอนเย็นวันเสาร์และวันอาทิตย์ได้ดูหนังอยู่สองเรื่อง คือ The Unknown และ The Adjustment Bureau ทั้งสองเรื่องก็ไม่ใช่หนังธรรมดาเพราะว่ามีดาราดังๆ เล่นทั้งสองเรื่อง เรื่อง The Unknown เป็นเรื่องราวของนักฆ่าที่ประสบอุบัติเหตุแล้วความจำเสื่อมจนไม่สามารถจำได้ว่า ตัวเองเป็นใคร จนลืมภาระกิจที่ได้รับจ้างวานมาให้จารกรรมสูตรลับของนักวิทยาศาสตร์คนหนึ่ง จนทำให้ทีมจารกรรมจะต้องเปลี่ยนแผนไปใช้แผนสำรอง จนเกิดความวุ่นวายหลายอย่าง


ผมลองมานึกดูว่าถ้าเราจำตัวเราเองไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ความจริงแล้วมีหนังมากมายที่นำเอาประเด็นนี้มาทำเป็นหนังในหลายมุมมอง จึงทำให้หนังเรื่องนี้ไม่โดดเด่นเท่าไหร่นัก แต่ก็ไม่น่าเกลียด หักมุมบ้าง แต่ก็ไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็พอรับได้ ผมมานึกดูแล้วว่าถ้าเราจำตัวเราเองไม่ได้ แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ความเป็นตัวตนหรืออัตลักษณ์ของบุคคลนั้นจะกำหนดพฤติกรรมของคนๆ นั้นได้หรือไม่ นั่นหมายความว่า ถ้าเราสามารถโปรแกรมความคิดหรือล้างสมองมนุษย์ได้พฤติกรรมหรือความคิดของคนๆ นั้นก็จะเปลี่ยนไปตามที่เราต้องการ แต่มันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงแค่ชั่วคราวก็ได้ สุดท้ายแล้วตัวตนที่แท้จริงก็อาจจะกลับคืนมาเหมือนเดิม ทั้งที่ก็อาจจะไม่อยากเปลี่ยนกลับมาเหมือนเดิมอีก


ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วเราคงจะต้องหาวิธีในการปลูกฝังหรือเปลี่ยนแปลงตัวเองแบบถาวร ไม่ใช่เป็นแบบความจำเสื่อมชั่วคราว ซึ่งที่สุดแล้ว ความจำหรือตัวตนที่แท้ก็จะกลับมาอยู่ดี แต่ในบางครั้งเราก็เบื่อและไม่อยากที่จะมีตัวตนที่เป็นอยู่ นั่นก็อาจจะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของเราเองก็ได้ ซึ่งจะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงที่รากฐานและความคิดหรือ Mindset วันนี้ถึงแม้ว่าเราจะแปลงโฉมตัวเองไปตามสภาพของภาระกิจที่ได้รับมอบหมายเหมือนกับ สายลับในหนัง Mission Impossible เพื่อให้ตัวเราเองอยู่รอดตามภาระกิจ แต่ที่สุดแล้วเราก็ไม่อาจจะปฏิเสธความเป็นตัวตนของเราที่เป็นเหมือนพิมพ์เขียว


แล้วเราพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองหรือพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงพิมพ์เขียวของชีวิตเราหรือยังครับ เพราะว่าถ้าเรามัวแต่โทษตัวเราเองอยู่ตลอดเวลา โดยไม่คิดที่จะถอนรากหรือเปลี่ยนแปลงที่ราก โดยเฉพาะตรงที่ความคิดหรือ Mindset ของตัวเองแล้ว ก็อย่าหวังที่จะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือประสบความสำเร็จได้ ถ้าพิมพ์เขียวหรือ Blueprint เป็นเหมือนเดิมอย่างไร ต่อให้ใครนำเอาไปสร้างอย่างไร มันก็ออกมาเหมือนเดิม


ดังนั้น ถ้าคนเรามี Mindset อย่างไร เหมือนเดิมอย่างไร มันก็จะออกมาอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อย่าโทษโชคชะตากันเลยครับ และก็อย่าโทษคนอื่นๆ ด้วย ก็ตัวเราเองนั่นล่ะที่ไม่ยอมเปลี่ยนตัวเอง ไม่ยอมรับตัวเอง จนสุดท้ายเราอาจจะจมปลักอยู่กับชีวิตเดิมๆ ที่ตัวเองไม่พอใจ ทั้งๆ ที่ตัวเราเองนั้นมีอำนาจและมีสิทธิ์ที่จะปรับเปลี่ยนและปรับปรุงพิมพ์เขียวของชีวิตเราได้ทุกเมื่อ เพียงแต่ว่าเราจะกล้าพอหรือไม่ หรือไม่ก็ขี้ขลาด คิดว่าตัวเองเป็นผู้แพ้ แค่คิดก็แพ้แล้วล่ะครับ ไม่ต้องไปแข่งขันกันให้เหนื่อย แต่ถ้าคิดจะชนะหรือคิดจะลองสู้ดูสักตั้ง ถึงแม้ว่าจะแพ้ในเกมการแข่งขัน แต่ใจมันไม่แพ้หรอกครับ


ถ้ามีสติแล้ว ความพ่ายแพ้นั้นล่ะเป็นประสบการณ์ที่จะนำไปสู่ชันชนะ นั่นเป็นเพราะว่าใจเราไม่เคยแพ้ ขึ้นกับว่าเราจะมีใจพอหรือไม่ ทำไมเราจึงไม่พาความคิดของเราก้าวออกมาให้พ้นจากการพันธนาการของความคิดที่เรามักจะคิดว่า ตัวเราเองนั้นมันไม่ดีพอ ตัวเราทำอะไรไม่ได้ สู้เขาไม่ได้ แต่ผมก็ไม่ได้บอกว่าทุกจะต้องทำได้ เพียงแต่ว่าตัววัดผลจะอยู่ที่เมื่อทำแล้วหรือดำเนินชีวิตแล้ว เราจะมีความสุขหรือไม่ คนรอบข้างมีความสุขหรือ ถ้ารู้อยู่ว่าที่เป็นอยู่นั้นไม่มีความสุขแล้ว แต่เราก็ยังอมทุกข์หรือตีอกโทษตัวเองอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ยังไม่ปรับปรุงตัวเอง และที่สำคัญ คือ หนีความจริงและหนีตัวเอง ทั้งๆ ที่ตัวเองนั้นมีศักยภาพพอที่จะทำให้เกิดความสำเร็จ นั่นเป็นเพราะความคิดหรือ Mindset นั่นเองที่กำหนดความเป็นไปของการดำเนินชีวิตหรือการกระทำนั่นเอง


ดังนั้น ต้องเปลี่ยนความคิด เปลี่ยนชีวิต พูดนั้นไม่อยากครับ แต่เปลี่ยนความคิดนั้นสิ ยากมากๆ ถ้าใจไม่กว้างพอและยังมีความเป็นกู ตัวกู ของกูและเห็นแก่ตัวอยู่แล้ว ความยากมันอยู่ตรงนี้ คนเราไม่ต้องประสบความสำเร็จและวัดกันตรงวัตถุว่าใครจะมีมากกว่ากัน หรือวัดกันตรงมูลค่าเชิงเศรษฐศาสตร์ที่มนุษย์เป็นคนกำหนดขึ้นมา มัวแต่คิดว่ารวยหรือไม่รวย แต่ผมว่าน่าจะวัดที่ความสุขสงบของจิตใจของเราเองและคนที่อยู่รอบๆ ข้างเรามากกว่าครับ!