วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Life - ความฝัน - ฝันให้ไกล ไปให้ถึง

“ความฝัน” ผมว่าทุกคนมีความฝันครับ ตอนนี้ผมก็ยังสร้างฝันอยู่เลย ทั้งๆ ที่ชีวิตก็ดำเนินมาตามฝันอยู่แล้ว ก็มีทั้งฝันที่เป็นจริงและทั้งที่ไม่ไม่ถึงฝัน และมีสิ่งที่ไม่ได้คาดฝันไว้ด้วย วันนี้ผมก็เลยอยากจะเล่าอะไรให้ฟังกันแบบเบาๆ ไม่ต้องเครียดมากนัก พอดีวันนี้เป็นวันอาทิตย์เลือกตั้ง แล้วไม่ได้สอนหนังสือด้วย หลังจากต้องสอนหนังสือเสาร์อาทิตย์มาอยู่เดือนสองเดือนแล้ว หลังจากนี้ก็คงจะต้องมีอีกสอนกันอีกต่อไปอีกสองสามเดือนนะครับ บังเอิญวันนี้ได้มีโอกาสไปเดินเล่นซื้อของที่ห้างสรรพสินค้ากับครอบครัวหลังจากไปเลือกตั้งแล้ว พอดีลูกชายผมไปซื้อ DVD หนังไทยเรื่อง Suck Seed มาดู ผมก็เลยมีโอกาสได้นั่งดูด้วย ในระยะนี้ผมกับลูกชาย (Peter) มีแฟนเพลงร่วมสมัยอยู่หนึ่งวง คือ BodySlam และอีกหลายวงที่ผมพอจะฟังได้ เน้น Rock เพราะว่า เป็นเพลง Rock ร่วมสมัย เอาไว้วันหลังผมจะมาเล่าเรื่องเพลง Rock ให้ฟัง


พอได้มาดูหนังเรื่อง Suck Seed กับ Peter ลูกชายผมแล้ว ทำให้ผมนึกถึงสมัยเด็กๆ ที่เคยเล่นกีตาร์ มีถุงผ้าใส่กีตาร์ถือไปโรงเรียน แต่ผมเองมันก็ห่วยไปไม่ถึงฝัน ไม่รู้ว่า ห่วยขั้นเทพเหมือน Suck Seed หรือไม่ เออ! หรือผมไม่ได้ฝันมั๊งหรือไม่ได้ตั้งใจที่จะฝันหรือทำตามฝันนั้นอย่างจริงจัง ไม่งั้นผมคงจะเข้าไปสู่วงการบันเทิงไปแล้วมั๊งครับ! อย่าคิดมาก ผมคงจะฝันไปมั๊งครับ ตามปกติผมเองก็ไม่ค่อยได้ดูหนังไทยมากเท่าไหร่นัก แต่ถ้าเป็นหนังฝรั่งแล้ว ก็ดูเป็นประจำ ทั้งหนังรักวัยรุ่น หนังรักวัยผู้ใหญ่ ก็สนุกและให้แง่คิดต่างๆ แล้วแต่คนดูจะจับใจความของการนำเสนอได้มาน้อยแค่ไหน หนังเรื่อง Suck Seed ทำให้ผมนึกถึงความเป็นเพื่อนสมัยวัยรุ่น ซึ่งความเป็นเพื่อนอย่างนั้นก็คงจะหายากขึ้นในวัยใกล้ร่วงอย่างผม เพราะมันเป็นวัยที่อิสระในความคิดและความฝัน เป็นวัยที่สามารถสร้างความมุ่งมั่นในการดำเนินชีวิตได้อย่างมีพลัง ถ้าได้รับการสนับสนุนที่ถูกทาง ซึ่งหลายคนบอกว่ามันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิต ซึ่งก็ไม่เสมอไปหรอกครับ ชีวิตยังอีกยาวนัก ยังมีอีกหลายโค้งนักในชีวิตเรา


แต่เราก็ไม่สามารถรอในวันพรุ่งนี้ได้เพราะเรามีแค่วันนี้เท่านั้นสำหรับการตัดสินใจ เราต้องตัดสินใจในวันนี้แล้ว ถ้าเราจะทำอะไรสักอย่าง เพราะว่าถ้ารอถึงวันพรุ่งนี้แล้ว เราอาจจะไม่มีโอกาสที่จะตัดสินใจอะไรได้ในวันพรุ่งนี้ เพราะเราไม่รู้หรอกว่า เราจะมีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้หรือไม่ ในหนังผมชอบที่ “คุง” ตัดสินใจและเรียก “เป็ด” และ “เอ็กซ์” (ตัวละครในเรื่อง Suck Seed) เดินทางโดยรถไฟจากเชียงใหม่มากรุงเทพเพื่อที่จะมาสร้างฝันและคำมั่นสัญญาว่าจะมาเล่นดนตรีร่วมกันและต้องมาแข่งขันในรายการสุดท้ายที่กรุงเทพให้ได้ มันเป็นการสร้างกำลังใจที่ดีมาก นั่นมันก็เป็นความคิดแบบเด็กๆ ที่เกิดขึ้นได้ง่ายๆ จากอารมณ์ที่ถูกจุดขึ้นมาได้หลายทาง ไม่ว่าจากพ่อแม่ ดารานักร้องที่ประสบผลสำเร็จ เพื่อนๆ หรือจากความผิดหวังในเรื่องต่างๆ โดยเฉพาะความรัก อารมณ์ที่พุ่งพล่านและเปลี่ยนไปมาได้อย่างรวดเร็ว มันก็เลยสามารถทำให้วัยรุ่นทั้งหลายประสบผลสำเร็จได้และในขณะเดียวกันก็ทำให้หลงผิดหลงทางไปได้อีกเยอะเลยครับ


ผมเองก็ผ่านวัยนั้นมาได้จนถึงทุกวันนี้ ก็นับว่าเป็นผลสำเร็จในระดับหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถวางใจตัวเองได้ ถึงแม้ว่าจะมาถึง 3rd quarter แล้วก็ตาม ความไม่แน่นอนก็ยังมีอยู่ตลอดเวลาหรือเป็นนิจจสินนั่นเอง ผมก็ยังต้องฝันอยู่ตลอดเวลาเสมอเพื่อสร้างแรงผลักดันให้กับตัวเองและครอบครัว โดยเฉพาะ Peter ลูกชายตัวแสบของผมนี้ แล้วผมจะช่วยดูแลและแนะนำความฝันของเขาได้อย่างไร ในขณะนี้แม่เขาก็ดูแลฝันของเขาอยู่ อย่างน้อยหนังเรื่อง Suck Seed ก็ทำให้เขาหันมาสนใจดนตรีมากขึ้น บางทีเจ้าลูกชายของผมอาจจะมาเติมฝันที่ขาดหายไปของผมซึ่งผมไม่มีความสามารถทางดนตรี แต่ผมก็ชอบและรักดนตรีไม่แพ้นักดนตรีทั้งหลายนะครับ


ผมแบ่งชีวิตเป็น 4 ระยะหรือ 4 Quarters โดยที่ 1st quarter ก็เป็นช่วงเด็กจนถึงวัยรุ่น ช่วง 2nd quarter เป็นช่วงสร้างเนื้อสร้างตัวในวัยทำงานจนถึงการเริ่มครอบครัว ช่วง 3rd quarter เป็นช่วงของการเลี้ยงดูลูกและครอบครัวในเติบโตและ เตรียมตัวเกษณียน และ 4th quarter เป็นช่วงสุดท้ายของชีวิตหลังจากทำงานมาตลอดชีวิตและในวัยเกษณียน ผมพิจารณาตัวเองอยู่ในตอนต้นของ 3rd Quarter แล้ว ผมเองก็ต้องฝันถึงความเป็นไปของชีวิตผมใน 3rd และ 4th Quarter ไว้ด้วย ความฝันไม่ใช่เรื่องไร้สาระ ผมคิดว่าทุกคนต้องฝัน และไม่ฝันไม่ได้ ผมไม่ได้หมายถึงการนอนหลับฝัน แต่เป็นการฝันไปข้างหน้า และไม่ใช่การฝันกลางวัน แต่จะต้องเป็นการฝันที่มีพื้นฐานจากปัจจุบันเพื่อไปสู่อนาคตที่ต้องการ (Visioning) ไม่ใช่แค่การฝัน (Dreaming) มันควรเป็นการฝันของผู้นำ (Leader)


เราทุกคนเป็นผู้นำที่นำพาชีวิตตัวเองผ่านการเปลี่ยนแปลงในช่วงต่างๆ ของชีวิต เราเป็นนายของชีวิตเรา เราตัดสินใจบนพื้นฐานของชีวิตเราเพื่อไปสู่อนาคตที่เราออกแบบเอง ผมจึงมองความฝันในมุมมองเชิงการจัดการว่าเป็นวางแผนและตัดสินใจเพื่ออนาคต แม้แต่เด็กวัยรุ่นอย่าง “คุง” ก็ยังมีความฝัน แล้วเขาและเพื่อนๆ ก็ต้องตัดสินใจไปตามฝัน ที่เหลือหลังจากฝันหรือวางแผนไปในอนาคตแล้ว ก็คือ การทำทุกอย่างเพื่อไปสู่ฝัน ต้องทำงานหนัก ต้องฝึกซ้อม ต้องต่อสู้กับอุปสรรคต่างๆ แต่ก็อย่างว่าครับ ด้วยความเป็นเด็กในระหว่างทางไปสู่ฝันนั้น เขาอาจจะตัดสินใจผิดด้วยอารมณ์เดียวกันที่ทำให้เขาสร้างฝันได้ อารมณ์เดียวกันนั้นก็ทำให้ตัวเขาเองนั้นทำลายฝันตัวเองลง รวมทั้งความเป็นเพื่อนกับ ”เป็ด” ที่เป็นเพื่อนกันมาแต่เด็ก


แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าหนังเรื่องนี้ไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของการเป็นนักดนตรี การฝึกซ้อม และแรงกดดันต่างๆ ที่ทำให้เห็นว่า กว่าจะมายืนบนเวทีได้นั้นลำบากแค่ไหน น่าเสียดายครับ หนังเน้นความมันส์ ตลกและความรักในวัยรุ่นเป็นส่วนใหญ่ ไหนๆ หนังเรื่องนี้ก็สามารถสร้างกระแสการเล่นดนตรีโดยเฉพาะกีตาร์ได้อย่างมาก ผมว่าหลังจากนี้ เด็กก็จะหันไปเล่นกีตาร์กันมากขึ้น แต่จะมีสักกี่คนที่ทำสำเร็จ เพราะเขาไม่รู้หรอกว่า คงจะไม่ง่ายนักที่จะเล่นได้อย่างมืออาชีพหรือเป็นวงดนตรีได้ และจะดีมากเลยถ้าหนังเรื่องนี้สอนเด็กวัยรุ่นในเรื่องความมีวินัยและความเป็นมืออาชีพ ซึ่งจะทำให้เด็กๆ อย่างลูกผมที่อายุ 10 ขวบเองได้เรียนรู้ถึงความมีระเบียบวินัยในการดำรงชีวิต การเรียนและการทำงาน ซึ่งเป็นพื้นฐานของความสำเร็จในการทำงานและการดำรงชีวิต ผมจึงมองภาพยนตร์หรือหนังไม่ใช่แค่เรื่องความบันเทิง แต่ผมมองว่ามันยังถูกใช้เป็นเครื่องมือในการควบคุมและพัฒนาสังคมด้วย


ทุกคนหรือทุกองค์กรที่ประสบความสำเร็จต้องฝันกันทุกคน กว่าจะมายืนหรือประสบความสำเร็จในลำดับต้นๆ นั้น ทุกคนต้องฝันต้องวางแผนเสมอ เพราะถ้าไม่ฝัน ถ้าไม่วางแผนแล้ว เราจะไม่มีทิศทางในการทำงานหรือการดำเนินชีวิต บางคนอาจจะไม่เข้าใจว่าฝันนั้นหรือแผนนั้นจะต้องชัดเจนหรือไม่ บางคนบอกว่ามันจะเบลอๆ มัวๆ อยู่ เห็นไม่ชัด อย่างนั้นไม่ใช่ครับ Vision หรือวิสัยทัศน์นั้นจะต้องชัดเจนว่าเราอยากจะเป็นอะไร อยากจะไปไหน เหมือนกับบัณฑิต อึ๊งรังษี ที่บอกกับตัวเองว่า “ต้องเป็นที่หนึ่งให้ได้” มันเป็นฝันที่จะต้องเป็นจริงให้ได้ ถ้ามันจะเป็นจริงแล้ว มันต้องชัดเจน แต่สิ่งที่ไม่ชัดเจนก็คือ แล้วเราจะไปอย่างไร? หนทางข้างหน้านั้นจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง มีความไม่แน่นนอนอยู่มากมายในหนทางข้างหน้า สิ่งหนึ่งที่สำคัญ คือ การรู้จักตัวเองและการประเมินตัวเอง ยิ่งเรารู้จักตัวเองมากเท่าไหร่ เราก็จะสามารถจัดการกับตัวเองและหนทางที่เป็นอุปสรรคในการทำฝันนั้นให้เป็นจริงได้ “ฝันให้ไกล ไปให้ถึง สู้ต่อไป Takeshi ไอ้มดแดง! “ ฝันของประเทศไทยก็ขึ้นอยู่กับฝันของเราทุกคน เราจึงต้องช่วยกันสร้างฝันและสานฝัน และที่สำคัญที่สุด เราทุกคนจะต้องทำฝันนั้นให้เป็นจริงด้วยครับ!