วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

Life - เก็บตะวัน – เมื่อตะวันลับแนวเหลี่ยมภูผา คงไม่นานตะวัน ก็จะสาดแสงแรงกล้าอีกครั้งหนึ่งในใจพวกเรา

ที่จริงแล้วอาทิตย์ที่ผ่านมาตั้งแต่ วันที่ 19-22 ก.ค. 54 นั้น เป็นช่วงอาทิตย์ที่ผมมีความรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไรนัก มันดูมัวอย่างไรก็ไม่รู้ครับ ตั้งแต่รู้ว่าพี่ติ่ง (พลตรีตะวัน เรืองศรี) จากพวกเราไปอย่างไม่มีวันกลับมาอีก ผมรู้จักพี่ติ่งในฐานะที่เป็นนักศึกษา วปอ 2553 ด้วยกัน พี่ติ่งอยู่ในหมู่เหยี่ยวเดียวกับผมที่เราร่วมชั้นเรียน วปอ 53 ร่วมกัน ถึงแม้ว่าผมจะได้รู้จักพี่ติ่งก็เพียงแค่ไม่ถึงปี ผมก็คงไม่อยากจะพูดว่าผมสนิทกับพี่ติ่งเหมือนกับเพื่อนๆ ทหารที่ร่วมงานกับพี่ติ่งมาตลอดชีวิต สิ่งหนึ่งที่เป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยมีมาก่อน ก็คือ คนที่เรารู้จักและเพิ่งจะเจอกันเมื่อไม่กี่วันนี้เองหายไปอย่างไม่รู้ก็เป็นตายร้ายดีอย่างไร แล้วเราจะทำอย่างไรดีล่ะ เมื่อคนทั้งเมืองรู้ว่าเฮลิคอปเตอร์ที่พี่ติ่งขึ้นไปด้วยได้หายไปและขาดการติดต่อ ที่จริงแล้วเป็นภรรยาผมเองที่โทรมาบอกกับผมว่า เครื่องพี่ติ่งตก ผมจึงรีบโทรไปหาพี่เป็ดเพื่อนในรุ่นหมู่เหยี่ยวเดียวกันอีกท่านหนึ่งเพื่อถามข่าวคราวของพี่ติ่ง แต่ก็ยังไม่รายละเอียดมากนัก ทุกคนก็เป็นห่วงอย่างยิ่ง ต่างก็ภาวนาถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้พี่ติ่งและทุกคนปลอดภัย


จากนั้นความคิดต่างๆ ในหัวผมก็อยู่ในสูญญากาศ มีข่าวต่างๆ เข้ามามากมายทั้งที่มีความหวังและไม่มีความหวัง ผมตัดสินใจพยายามไม่บริโภคข่าวเหล่านี้มากนักถ้าไม่จำเป็น ไม่อยากคุยกับใครมากนัก เพราะก็ไม่มีประโยชน์อะไร แต่ในใจก็คิดว่าขอให้พี่ติ่งและทุกคนที่ไปด้วยปลอดภัยกลับมา บางครั้งเราก็ต้องคิดเหมือนเด็กๆ บ้าง ทั้งๆ ที่รู้ว่าโอกาสก็มีน้อยเต็มทน บางครั้งก็อยากที่จะให้ปฏิหารย์เป็นจริง มันเป็นความรู้สึกที่คนเราจะรู้สึกได้ ก็เพราะว่าเขาเป็นเพื่อนเรา และผมเพิ่งเจอพี่ติ่งซึ่งมาส่งภรรยาและลูกไปเที่ยวฮ่องกงกับเพื่อนๆ วปอ.53 หมู่เหยี่ยว ในตอนเช้าวันศุกร์ที่สุวรรณภูมิอยู่เลย ผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมพี่ติ่งถึงไม่ได้ไปกับพวกเราด้วย


ที่จริงผมไม่น่าจะแปลกใจมากนัก เพราะในหลายครั้งที่ไม่ได้เห็นหน้าพี่ติ่งที่ วปอ. เราก็ต้องเข้าใจว่าพี่ติ่งไปปฏิบัติภาระกิจ ผมได้มีโอกาสได้คุยกับพี่ติ่งหลายครั้ง พี่ติ่งบอกว่า ไม่ค่อยจะว่างมาเรียนเลย ถึงแม้ว่าจะมาเรียนในวันธรรมดา แต่ก็ต้องกลับไปทำงานเสาร์อาทิตย์ให้กับลูกน้อง ไปดูแลลูกน้อง ผมก็แปลกใจว่าแล้วทำไมพี่ติ่งต้องดูแลลูกน้องถึงขนาดนั้น แล้วลูกน้องไม่มาดูแลพี่ติ่งบ้างหรือ ผมรู้สึกว่าพี่ติ่งมีความผูกพันกับงานและลูกน้องอย่างเห็นได้ชัด ทั้งๆ ที่ผมเองก็เพิ่งจะรู้จักพี่ติ่งได้ไม่นานนัก ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมพี่ติ่งถึงไม่ได้ไปเที่ยวฮ่องกงกับพวกเราตั้งแต่แรก นั่นเป็นเพราะห่วงงาน ห่วงลูกน้องต่างหาก


แล้วมันก็เป็นอย่างที่พี่ติ่งคาดไว้จริงๆ เพราะว่าในขณะที่พวกเราอยู่ที่ฮ่องกงนั้น ก็ได้รับทราบข่าวว่า เฮลิคอปเตอร์ของ พลร.9 ตก พวกเราตกใจกัน แต่ก็โล่งใจที่พี่ติ่งไม่ได้อยู่บนเครื่องนั้นด้วย แต่ก็รู้สึกเสียใจกับการสูญเสียของทหารในบังคับบัญชาของพี่ติ่งด้วย แต่สุดท้ายพี่ติ่งก็ต้องจากพวกเราและผู้ร่วมงานทุกคนไปโดยเฉพาะครอบครัวของพี่ติ่ง ทั้งๆ ที่พี่ติ่งตั้งใจจะไปดูแลลูกน้องแท้ๆ เลย ไปในภาระกิจ ที่ผมคิดเอาเองว่า พี่ติ่งไม่จำเป็นต้องไปเลย แต่นั่นมันเป็นพี่ติ่งไง พี่ติ่งจึงต้องไป


ครั้งหนึ่งผมได้มีโอกาสพูดคุยอยู่กับพี่ติ่งในระหว่างนั่งรถไปดูงานในภาคกลางช่วงที่เกิดน้ำท่วมที่จังหวัดอยุธยา เมื่อปลายปีที่แล้ว (2553) พี่ติ่งเล่าให้ฟังถึงเรื่องขีวิตของทหารและการฝึกการดำรงชีวิตในป่าและการปฏิบัติการต่างๆ ผมรู้สึกได้ถึงความเป็นทหารอาขีพ เป็นทหารหาญจริงๆ แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้จากทหารผู้นี้ คือ รอยยิ้มความอ่อนโยนและความห่วงใยเพื่อนๆ และลูกน้อง ถ้าพี่ติ่งไม่ได้อยู่ในเครื่องแบบทหาร เราก็อาจจะไม่รู้เลยว่า ชายคนนี้เป็นทหาร หรืออาจจะเป็นความคิดของพลเรือนที่ไม่เคยสัมผัสกับทหารโดยเฉพาะทหารที่อยู่หน่วยรบที่สำคัญอย่างพลร.9 ก็ได้


ยิ่งล่าสุดเมื่อตอนต้นเดือน กรกฎาคม 2554 คณะนักศึกษา วปอ.53 ได้ไปศึกษาดูงานที่ กองพลทหารราบที่ 9 ซึ่งพี่ติ่งเป็นผู้บัชญาการกองพลอยู่นั้น นั่นเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ผมได้สัมผัสถึงภาวะผู้นำของพี่ติ่งในการเป็นผู้นำกองพลแห่งนี้ ด้วยคุณสมบัติและอุปลักษณะนิสัยของพี่ติ่งและภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของพี่ติ่งที่มีอยู่ พี่ติ่งสามารถทำให้กองพลแห่งนี้มีกำลังอำนาจและความสามารถและความเกรียงไกรในการปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันประเทศได้ มันดูยิ่งใหญ่และน่าเกรงขามจริงๆ มันทำให้ผมเข้าความรู้สึกนึกคิดของทหารมากขึ้น ถ้าไม่ไปเห็น ไม่ไปสัมผัส ผมก็คงไม่รู้ นี่ผมขนาดสัมผัสแค่การแสดงสาธิตซึ่งก็ต้องจบลงกลางคันเพราะว่ามีฝนตก ทำให้การสาธิตไม่ครบถ้วนตามที่ได้ตระเตรียมไว้เป็นอย่างดี แล้วถ้าเป็นปฏิบัติการจริงๆ แล้ว มันจะน่าเกรงขามสักแค่ไหน

จากการไปดูงานกับวปอ.มาทุกครั้งๆ ผมคิดว่าที่พลร.9 ดูยิ่งใหญ่ทีเดียว เพราะว่าพี่ติ่งจะต้องดูแลลูกน้องอีกมากเป็นหมื่นคนในหน่วยนี้ นั่นคงจะเป็นเหตุผลเดียวที่ทำไมพี่ติ่งถึงต้องกลับไปดูแลหน่วยอยู่ตลอดเวลาที่มีโอกาส เพราะว่าเวลาส่วนหนึ่งเอามาเรียนวปอ.ไปแล้ว นั่นอาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไม่พี่ติ่งถึงไม่ไปพักผ่อนกับพวกเรา นั่นเป็นเหตุผลเดียวกันว่า ทำไมพี่ติ่งถึงต้องขึ้นเครื่องลำนั้นไป ผมคงจะหาเหตุผลที่ดีไปกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ผมจะมีความภูมิใจเล็กๆ อย่างน้อยก็ได้มีโอกาสเป็นเพื่อนร่วมรุ่นวปอ 53 กับพี่ติ่ง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มีโอกาสร่วมงานกับพี่ติ่งโดยตรง แต่ผมก็เชื่อว่าทุกคนที่ได้รู้จักพี่ติ่งและได้ร่วมงานกับพี่ติ่งคงจะภูมิใจมากกว่าผมเยอะเลยที่ได้รู้จักกับพี่ติ่งและได้ทำงานกับพี่ติ่ง แต่ในขณะเดียวกันผมว่าทุกคนก็ไม่อยากให้เหตุการณ์อย่างนี้เกิดขึ้นเลย ผมว่า พวกเราทุกคนก็ยังคงจะอยากให้พี่ติ่งอยู่มีขีวิตอยู่กับพวกเราต่อไป โดยเฉพาะครอบครัวของพี่ติ่ง ผมรู้สึกเสียใจและขอแสดงความอาลัยกับครอบครัวของพี่ติ่งมากๆ ครับ


เช่นเดียวกับทหารทุกท่านที่เสียชีวิตไปกับเหตุการณ์นี้ทุกท่าน ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้รู้จักท่านเหล่านั้นเป็นส่วนตัวก็ตาม แต่ผมก็เข้าใจได้ในความรู้สึกของคนทำงานทุกคน โดยเฉพาะทหารที่หน้าที่การงานไม่เหมือนกับอาชีพอื่นๆ เลย ผมจึงขอแสดงความเสียใจและความอาลัยกับทหารทุกท่านที่เสียชีวิตกับเหตุการณ์ที่เราไม่อยากให้เกิดขึ้นครั้งนี้ด้วย ขอให้ดวงวิญญาณของพี่ติ่งและเพื่อนทหารทุกท่านไปสู่สุขคติในอ้อมกอดของพระผู้เป็นเจ้าด้วยเทอญ!