เรื่องของความโกรธนี้เรามีกันทุกคน แล้วเราจะโกรธกันไปทำไม? ก่อนที่จะโกรธกันก็น่าจะมีการโมโหกันก่อน ผมก็ไม่ค่อยจะสันทัดเรื่องภาษาเท่าใดนัก แต่ก็พยายามที่จะทำความเข้าใจและแปลความเพื่อให้เกิดประโยชน์ อย่างไรก็ตามทั้งการโมโห และการโกรธนั้นไม่ได้ทำให้ชีวิตเราดีขึ้นเท่าใดนักเลย บางครั้งผมเองก็ใช้ความโมโหเป็นประโยชน์ต่อการเขียนเพื่อกระตุ้นต่อมเขียนให้ออกมาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงกับโกรธใครๆ มันถึงจะมีอารมณ์ในการเขียนอย่างนี้ ถือว่ายังไม่มืออาชีพครับ เพราะว่ายังสั่งความคิดตัวเองไม่ได้ ผมก็ยังตกเป็นทาสความโมโห เหมือนการใช้ยา และถ้าเผลอก็อาจจะกลายเป็นโกรธไปหรือไม่ แต่ว่าก็ยังไม่ถึงขั้นนั้น เพราะว่าความโกรธนั้นน่าจะทำให้เราและคนอื่นๆ ที่เราโกรธได้รับความเสียหายหรือเป็นทุกข์ โดยเฉพาะด้านจิตใจและอารมณ์ ดูให้ดีมันเสียทั้งขึ้นทั้งล่อง แบบตีตั๋วไปกลับเลย แล้วเราจะโกรธกันไปทำไม มันอยู่ที่ใจว่าจะยอมกันได้ไหมมากกว่า จริงมั๊ยครับ
เออแล้วทำไมเดี๋ยวนี้คนไทยกันเองก็โกรธกันง่ายอย่างนั้นเลยหรือ เพื่อนฝูงและคนในครอบครัวหรือสามีภรรยายกัน เขาโกรธกันเรื่องอะไรกันบ้างล่ะเนี่ย แล้วทำไมถึงหายโกรธกันได้ ผมสงสัยว่าอะไรเป็นกลไกของการโกรธกัน แล้วจะทำอย่างไรที่จะป้องกันไม่ให้คนโกรธกันได้ แล้วก็ไอ้ประเภทโกรธกันเลิกคบหากันไปเลยก็มีครับ ไม่พอใจอะไรกันก็ไม่รู้หรือผลประโยชน์ไม่ลงตัว ไม่ได้ดั่งใจก็เลยเลิกคบหากับผม ไม่พูดกันไปเลยก็มี สรุปแล้วผมมันเลวก็แล้วกันนะครับ แต่ผมก็ยังมีคนคบผมอยู่บ้างนะ ไม่ได้เลวไปซะทั้งหมดหรอก แล้วก็พวกสามีภรรยาที่หย่าร้างกันไป กลไกมันเป็นอย่างไรนะ อะไรทำให้มันเกิดขึ้น แล้วจะเราจะป้องกันอย่างไรดี หรือประเทศเพื่อนบ้านทะเลาะกัน ผมว่ามันต้องมีความโกรธนี่แหละเป็นองค์ประกอบสำคัญหรือเป็นตัวจุดชนวนอย่างดี ไม่ใช่สิ ความโกรธไม่ใช่เป็นต้นตอสำคัญ แต่เป็นองค์ประกอบเสริมที่สำคัญที่ช่วยเพิ่มปัญหาให้ระอุขึ้น แล้วถ้าระงับความโกรธได้จะหมดปัญหาหรือไม่ ผมก็ว่าไม่หมดนะครับ มันคนละเรื่องกัน ปัญหาไม่ได้อยู่ที่การโกรธ ไม่งงนะครับ ผมเขียนวนไปมาพอสมควรจนเริ่มเข้าใจแล้วว่า ไอ้ความโกรธเนี่ย ก็คือ เชื้อไฟดีๆ นี่เองที่พัฒนาไปความเลวร้ายต่างๆ ในชีวิตหรือความทุกข์นั่นเอง
ระยะนี้ผมจะต้องควบคุมความโกรธไว้เป็นอย่างมาก ยิ่งต้องเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับหลากหลายชีวิตและวิชาชีพรอบๆ ตัวด้วยแล้ว มีคนให้ผมโกรธอยู่รอบด้าน แต่เราก็โตๆ กันแล้ว จะต้องคิดได้สิ จะต้องใช้ปัญญาได้สิ รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่ดีน่ะ แต่แล้วผมก็โกรธจนได้ มันพลาดไปแล้ว ถ้าเรารู้สึกตัวได้ แล้วเราจะระงับความโกรธได้อย่างไร ให้นับหนึ่งถึงสิบหรือ แล้วมันจะได้ผลหรือ? ผมว่ามันไม่ได้ผลหรอกครับ ผมคิดเอาเองว่า เราจะต้องมีสติด้วย ผมคิดว่านับหนึ่งถึงสิบก็เพื่อเรียกให้เรามีสติขึ้นมา ที่จริงแล้วระยะนี้ผมอ่านหนังสือธรรมะเป็นหลัก เพราะต้องการที่อยากจะรู้ถึงอะไรบ้างอย่างที่เป็นกลไกแห่งจิตใจมนุษย์ ทั้งๆ ที่ผมนับถือศาสนาศริสต์ แต่ก็ปิติและมีความสุขในการหนังสือธรรมะเหล่านั้น แต่ขอบอกว่ายังไม่ลึกซึ้งหรอกครับ แต่ด้วยความที่พอจะมีพื้นฐานด้านการจัดการ การคิดเชิงระบบและเชิงวิทยาศาสตร์อยู่บ้างก็เลยทำให้เกิดการสังเกตุและทดลองดูบ้างเล็กน้อย แล้วมันก็ไม่ได้เจ็บปวดมากมายอะไรเลย หรือเสียหายอะไรเลย ถ้าจะไม่โกรธ มันเป็นประโยชน์แท้ๆ เลย แต่มันไม่ได้อย่างใจหรือสะใจเหมือนก่อนตอนที่โกรธ แต่ผลลัพธ์ที่ได้จากการไม่โกรธ มันก็น่าจะดีขึ้นนะ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเราควรจะโกรธ และเราต้องโกรธแน่ๆ เลย และผลต่อเนื่องก็จะมีอะไรที่ไม่ดีและไม่สบายใจออกมาอีกมากมาย ปัญหาก็จะตามมาอีกมากมายเช่นกัน ลูกน้องที่ไม่เข้าใจก็ลาออกไป หรือไม่ก็โดนเราไล่ออกไปบ้าง ลูกพี่ก็รับไม่ได้ ประเมินก็ไม่ผ่าน พาลไปถึงลูกค้า โปรเจคหรืองานก็ดันหลุดไปด้วย กลายเป็นปัญหาลูกโซ่ไปจนเกิดความเสียหายอีกมากมาย ถ้าเราไม่หยุดหรือระงับไว้ แล้วดันโกรธต่อไปเรื่อยตามอารมณ์ตัวเองก็เป็นต้นทุนของคนที่โกรธเองล่ะครับ รวมทั้งความเสียหายรอบๆตัวด้วย แล้วถ้าเราไม่โกรธล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ก็แค่ใจเราไม่เหมือนเดิม ก็แค่ไม่สะใจ ก็แค่ไม่เป็นทาสของอารมณ์ เพราะเรามีสติและปัญญาจึงเกิด ยิ่งมีปัญญาแล้ว เราน่าจะเห็นต้นเหตุและปัจจัยที่ทำให้เกิดปัญหาซึ่งทำให้เราโกรธ มีปัญหาก็แก้ปัญหาไป แล้วทำไมต้องโกรธด้วย ไม่โกรธแล้ว ใจน่าจะสงบขึ้น ผมไม่พูดภาษาธรรมะนะครับ ผมไม่แม่นมากนัก ผมเล่าให้ฟังจากที่ผมได้สังเกตุดูพฤติกรรมตัวเอง
ทุกวันนี้ผมทำงานก็มีความรู้สึกโกรธวันละหลายหนเลย โกรธใครบ้างล่ะ โกรธทุกคนเลยที่ทำให้ผมไม่พอใจ ทุกคนที่สร้างปัญหาให้ผม แล้วถ้าไม่โกรธล่ะจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงไม่มีเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเรา ก็คงจะสงบ สิ่งเลวร้ายที่เกิดจากความโกรธก็จะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้าในใจเราไม่สงบ พุ่งพล่าน แล้วในที่สุดก็ระเบิดออกมา นี่ก็คงจะแย่กว่าเดิมอีก รู้อย่างนี้ก็คงจะโกรธต่อไปดีกว่า ถ้าไม่อยากให้มันระเบิดออกมาอย่างนั้น ผมว่าอย่างนี้มันเรียกว่า เก็บกด คนลักษณะอย่างนี้ผมว่ามีอยู่มาก เป็นคนที่มีความหวังดีหรือเป็นคนดีเลยล่ะ เพราะไม่อยากจะโกรธ แต่ใจก็ยังตกเป็นทาสของอารมณ์หรือเป็นทาสของความคิดที่ว่าควรจะโกรธ ก็เลยกลายเป็นระเบิดเวลาไป
ที่จริงแล้วมันก็ไม่น่าจะมีอะไรเลย เราควรจะระงับความโกรธได้ ไม่ใช่สะสมความโกรธไว้ พอถึงเวลาก็ระเบิดออกมา แล้วก็พยายามมาหาความชอบธรรมจากสิ่งที่ตัวเองระเบิดออกมา ผมสังเกตุจากพฤติกรรมตัวเองนะครับ เมื่อเร็วนี้เองไม่ได้ลอกตำราใครมา สังเกตุว่าไม่มีภาษาบาลีสันสกฤตใดๆ ทั้งสิ้น ผมเองไม่ได้ระงับความโกรธเลย แต่ผมกลับสะสมความโกรธให้มันกลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ มันแค้นในใจตลอดเวลา คิดเอาเอง แล้วก็เออเองทั้งหมดไม่มีใครมาซ้ำเติม คิดเองซ้ำเติมเองด้วยเลย วิเศษมากเลยครับอารมณ์ตัวเอง พอไปอ่าน “ปฏิจจสมุปบาท” นั่นใช่เลยตัวเราเป็นไปอย่างที่ท่านพุทธทาสเขียนไว้เลยครับ ตัวเองนั่นแหละที่เป็นปัญหาในการสร้างความโกรธ นั่นแสดงว่า ผมนั้นไม่รู้จักตัวเอง ไม่รู้จักปัญหา ไม่มีสติ ไม่ได้ใช้ปัญญาในการทำงานหรือดำเนินชีวิต หรือว่าไม่มีสมาธิก็ว่าได้ เพราะว่าถ้ามีสติก็มีสมาธิได้ ปัญญาก็มา
ถึงแม้ว่าจะรู้อะไรเป็นอะไรบ้าง แต่ก็ยังไม่ลึกซึ้งเท่าการปฏิบัติ ผมเองก็ไม่ได้ปฏิบัติอะไรหรอกครับ แต่เห็น Model ครับ พุทธศาสนาเป็นวิทยาศาสตร์ครับ เป็นวิทยาศาสตร์แห่งจิตใจครับ แต่จะเข้าใจลึกซึ้งได้ก็ต้องลองปฏิบัติหรือทดลองดู ผมเองก็ไม่ได้ปฏิบัติหรือตั้งใจปฏิบัติดูอะไรหรอกครับ แต่ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นและเกิดขึ้นต่อเนื่องมานั้นก็เพราะว่าความโกรธของเราเอง ไม่ต้องไปโทษคนอื่นๆ เลยครับ ลองให้มาลงที่ตัวเราเองก่อนเสมอ ถ้าทุกคนคิดได้อย่างนี้ก็ดีสิ ปัญหาต่างๆ ในสังคมบ้านเมืองหรือปัญหาชีวิตก็คงจะน้อยลงไป แต่บังเอิญมาลองสังเกตุตัวเองและเก็บข้อมูลดูแล้ว และลอง Fit Model ทางธรรมะดู เออ! จริงด้วย มันมีแวว โกรธแล้วเราได้อะไร ไม่ได้ต้องโกรธ เนี่ยผมยังโกรธเพื่อนผมอยู่เลย แล้วเพื่อนผมบางคนก็ยังโกรธผมอยู่หลายปีแล้ว คิดดูจะสิบกว่าปีแล้ว ไม่ค่อยได้เจอกันหรือพูดกันเท่าไหร่เลย แล้วผมก็ถามว่า แล้วถ้าไม่โกรธจะได้อะไร หรือการที่คิดว่าจะต้องโกรธคือ เป็นความถูกต้อง จะต้องสอน จะต้องตำหนิ จะต้องให้เขาเสียใจ เสียหน้า อับอาย เอาให้ซะใจเข้าไว้ แล้วผลที่ตามมาล่ะ มันคุ้มกันไหมครับ แล้วเราปล่อยวางได้หรือไม่ หรือให้เป็นทานไปได้ไหม?
แล้วทำไงไม่ให้โกรธ ผมเองก็ยังไม่มีสูตรสำเร็จ แต่ถ้าไม่โกรธได้เป็นดี คงจะต้องฝึกเท่านั้นแหละครับ แต่อย่าเก็บความโกรธหรือเก็บอารมณ์ไว้มันจะกลายเป็นความแค้นไปอย่างแน่นอน ปัญญาซึ่งจะทำให้เกิดความเข้าใจในปัญหาที่เกิดขึ้น และความใจกว้างที่เป็นทานจะช่วยส่งเสริมให้เราระงับหรือกำจัดความโกรธนั้นได้ สังคมเราคงจะอยู่ได้อย่างร่มเย็น จุดที่น่าสังเกตุ ก็คือ เวลาที่โกรธนั้นเรามักจะไม่ได้คิดตรึกตรองหาเหตุและปัจจัยเสียเท่าใดนัก ทำให้ขาดความยั้งคิด ส่วนความโกรธที่สะสมมาเหมือนแค้นฝังหุ่นบวกกับกระบวนการคิดที่เป็นการใช้ปัญญาไปในทางลบ และการยึดติดกับความคิดตัวเองเป็นหลัก หรือที่เรียกว่า “ทิฎฐิ” ผลที่ได้ ก็คือ ความเสียหายและความทุกข์กับผู้อื่นและตนเอง ผมว่าว่าคนที่อ่านบทความนี้แล้วไม่ถูกใจผม จะไม่หันมาโกรธผมนะครับ ปล่อยผมไปเป็นทานเถอะครับ!