วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Life : IT พลังแห่งการสื่อสาร - สร้างสรรค์หรือทำลาย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล

เคยอ่าน Post บน FaceBook ของใครก็ไม่รู้ อ่านแล้วก็ต้องหันมามองตัวเองบ้าง เขาบอกกันว่า Internet โดยเฉพาะ FB นี่แหละครับ ที่ทำให้คนไกลอยู่ใกล้ขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม คนที่อยู่ใกล้กันจริงกลับอยู่ไกล อันนี้จริงๆ ครับ ไม่ต้องดูให้ไกลเลย เอาแค่ใกล้ๆ กับตัวเราเอง ลองสังเกตุดูสิครับ ว่าเราคุยกับคนใกล้ชิดเราน้อยลงหรือไม่ แล้วเราก็คุยกับคนที่เราไม่รู้จักอื่นๆ มากขึ้น ก็จริงนะครับที่ FB ทำให้เราได้เจอเพื่อนเก่าที่ไม่ได้เจอกันนานๆ ทำให้เราได้เจอเพื่อนใหม่ๆ อีกมากมาย แต่มันก็อาจจะกัดกร่อนความสัมพันธ์ของคนที่ใกล้กันอยู่ไปทีละนิดหรือไม่ เราอาจจะได้เพื่อนใหม่ๆ มากมาย แต่ก็อาจจะไม่ได้สนิทใจเหมือนคนที่ใกล้ คนที่คุยกันด้วยได้ความรู้สึกที่โต้ตอบกันจริงที่เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา ที่มีความจริงใจให้มากกว่า มันจะคุ้มกันหรือไม่ ที่มีเพื่อนมากๆ แต่ไม่สนิทใจ แต่กำลังบั่นทอนคนที่อยู่ใกล้


ความจริงมันไม่ใช่ Internet อย่างเดียว แต่มันเป็น IT ทุกอย่าง เช่น TV Games ต่างๆ ที่ดึงคนๆ หนึ่งให้มีโลกส่วนตัว ให้แยกตัวออกมาจากสังคมเล็กๆ ที่เรียกว่าครอบครัวหรือกลุ่มเพื่อนสนิทกัน ผมก็กลับมามองตัวเองแล้ว ก็เห็นว่า มันก็จริงนะ แล้วเราควรจะทำกันอย่างไร เราคงจะไปห้ามเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้ เราก็คงจะต้องมีสติมากขึ้น ภาวนามากขึ้น และปฏิบัติให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากขึ้น ผมก็ไม่เคยอ่านงานวิจัยว่า อะไรเหล่านี้จะทำให้พฤติกรรมของคนเราเปลี่ยนไปอย่างไรกันบ้าง แล้วเราจะแก้ไขหรือป้องกันมันอย่างไร ถึงแม้ว่าจะมาว่ากล่าวกัน เขาก็อาจจะไม่ฟัง มันก็ตกเป็นทาสมันไปแล้ว พฤติกรรมมันก็ฝังไปแล้ว แม้แต่ผมเอง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เล่น FB มากนัก เพียงแต่ใช้ FB เป็นสื่อในการกระจายความคิดและความรู้ออกไปในสังคมกว้าง แต่ก็ยังไม่ได้ติดมันมากนัก แต่ผมก็ติด Series TV ก็คือ ดูอยู่ทุกวัน อย่างน้อยวันละตอน แต่พอมาอ่านข้อความที่ว่านั้นแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาตัวเองเพิ่มมากขึ้น แต่ก็ได้มาอ่านงานของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ในหนังสือ สยามสามไตร ท่านบอกไว้ว่า ดูหนังได้ แต่ต้องมีสติ และดูแล้วได้ปัญญา ก็ค่อยพอจะไปได้บ้าง เพราะอย่างไรก็ตามแล้ว ผมก็พยายามที่จะดู TV แล้วก็หันมาดูตัวเองเสมอ ซึ่งผมเองก็มีบทความที่เขียนลง FB เป็นแนว TV Series ที่ผมก็พยายามจะเก็บแนวคิดจาก Series ที่ได้ดูมานำเสนอกันไป แต่สุดท้ายเราก็คงต้องสำรวจดูชีวิตรอบตัวเราในครอบครัวเรา ในกลุ่มงานของเรา ในที่ทำงานของเราว่าเราได้สื่อสารกับคนที่อยู่กันใกล้แค่เอื้อมหรือไม่ บางครั้งเราก็ลืมที่จะสื่อสารกัน ความจริงเรื่องประเด็นในการสื่อสารนี้ ผมจำได้ว่า เก็บได้มาจากการดูสารคดีจาก TV


แต่ประเด็นของการสื่อสารแล้ว บางทีก็พังเพราะการสื่อสาร ถึงแม้ว่ามีสื่อที่ดี มีโอกาสที่ดี ให้คนที่อยู่ใกล้กันนี่แหละครับตัวดี คนที่อยู่ในที่ทำงานเดียวกัน คนในครอบครัวเดียวกัน บางทีก็ไม่ได้คุยกัน ต้องออกไปห่างกันก่อนแล้วค่อยคุยกัน ถึงแม้คุยกันก็อาจจะกลายเป็นผลร้ายไปเสียฉิบ ถ้านั้นก็อย่าคุยดีกว่า บางครั้งเราก็สงสัยว่าทำไมคนเรากันเองแท้ๆ ทำงานมาด้วยกันแท้ๆ อยู่ด้วยกันมาแท้ๆ ทำไม่ต้องมาเถียงกัน ต้องมาขัดใจกัน ไม่ยอมลงให้กัน ผมเองก็สงสัยเหมือนกัน ก็ได้เห็นมา ก็ได้ประสบกับตนเองด้วย จึงทำให้ต้องสังเกตุตัวเอง เพิ่มมากขึ้น


บังเอิญระยะนี้ผมเดินทางบ่อย ขึ้นๆ ลงๆ เชียงราย เชียงใหม่ในช่วงนี้จึงทำให้มีเวลาว่างๆ ระหว่างนั่งรอขึ้นเครื่องและระหว่างนั่งเครื่องบิน โดยไม่ต้องคุยกับใครๆ ทำให้ผมได้อ่านงานของท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) ในหนังสือ “สยามสามไตร” ท่านบอกไว้ว่า “กิเลสมี 3 อย่าง ประกอบไปด้วย ตัณหา มานะ และทิฎฐิ” ผมคิดว่าที่เราเถียงกันไม่จบ ไม่ว่าในระดับครอบครัว เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมสังคม เพื่อนร่วมโลก จนเป็นความขัดแย้ง การหย่าร้างในครอบครัว เพื่อรักหักเหลี่ยมโหด การแบ่งแยกในสังคม ก็เพราะกิเลสตัวนี้ ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตโต) กล่าวไว้หนังสือว่า“ทิฎฐิ คือ ความยึดติดในความเห็น ดื้อร้นถือเอาความคิดเห็นเป็นความจริง ถือรั้นเอาแต่ความคิดเห็นของตน ความดันทุรังจะต้องให้เป็นอย่างทฤษฎี ศาสนา หรือลัทธินิยมอุดมการณ์ของตน ใจแคบ ไม่ยอมรับฟังผู้อื่น”


พออ่านแล้ว ผมเองก็ต้องมาพิจารณาตัวเองว่ามี ทิฎฐิ มากไปหรือไม่ หลงตัวเองหรือรักตัวเองมากเกินไปหรือไม่ เป็นเผด็จการมากเกินไปหรือไม่ ลูกน้องถึงได้หนีไปหมด หรืออาจจะไม่มีใครอยากจะคบด้วย หรือกลัวที่จะคุยด้วย บางทีก็เป็นไปได้นะครับ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ มีทิฎฐิอย่างนี้แล้ว ก็เหมือนตาบอดแหละครับ ใครว่าก็คงไม่เชื่อ เราก็ยังคงจะเชื่อตัวเองไว้ก่อน ยิ่งถ้าใครเป็นคนที่มั่นใจในตัวเองหรือประสบความสำเร็จมาก่อนด้วยแล้ว ก็ยิ่งไปกันใหญ่ คงจะไม่ฟังกันแล้วมั้ง เรื่องอย่างนี้คงจะต้องมีสักโอกาสหนึ่งที่จะต้องเย็นลง หรือรู้สึกได้บ้าง แล้วคงจะต้องมาทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างกัน แต่ก็คงต้องอาศัยความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ยอมให้กัน ถ้าไม่ยอมกันเลย ก็คงจะต้องแตกหักกันไป สุดท้ายก็คงจะไม่มีอะไรเหลือ คนรอบข้างลูกน้อง ก็ได้ผลกระทบไปด้วย ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลนั้นไม่ง่ายเลยนะครับ IT เป็นเพียงแค่สื่อเท่านั้น ทั้งหมดทั้งปวงก็อยู่ที่ตัวเรานั่นแหละที่จะสร้างสรรค์หรือทำลาย ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างบุคคล