วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Life – ความเครียด – ต้องจัดการความคิดของตัวเองอย่างมีสติ

เห็นหลายๆ คนอารมณ์เสีย แล้วก็พาลไปยังคนข้าง เพื่อนร่วมงานรวมทั้งครอบครัวและคนอื่นๆ อีกมากมาย เมื่อทุกคนเครียด หลายๆ คนก็มีทางออกมากมายหลายอย่างๆ ผู้ใหญ่บางคนอาจจะเครียด หาทางออกไม่ได้ ก็เลยเปิดใจออก TV ซะเลยเผื่อว่า จะมีอะไรดีขึ้นบ้าง แต่บางครั้งผมว่ามันน่าจะแย่ลงนะ ยิ่งเราอยู่ในสังคมในเมือง สังคมของโลกยุคใหม่ที่ต้องดิ้นรน หลายอย่าง เราก็สร้างทางเลือกให้ตนเองมากขึ้นด้วยกิเลสของตนเองและสังคมมนุษย์ จึงทำให้เราอาจจะไม่สามารถตัดสินใจได้ว่าจะทำอย่างไร ด้วยความกลัวและไม่มั่นใจในผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น กลัวจะไม่สุข แต่เมื่อเลือกทางเลือกไปแล้ว เราก็จะต้องยอมรับผลที่ตามมา


เป็นที่แน่นอนว่า เราต้องตัดสินใจและหวังผลถึงสิ่งที่จะตามอย่างที่หวังไว้ (Intended Consequences) แต่ในหลายๆ ครั้ง เรามักจะไม่ได้ในสิ่งที่หวัง แต่กลับได้ในสิ่งที่ไม่ได้คาดหวัง (Unintended Consequences) หรือได้ทั้งสองอย่างเลย นั่นเป็นเพราะโลกของเราเองและโลกรอบๆ ตัวเรา นั้นมีความเชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างแยกกันไม่ค่อยออก หรือว่าดูเหมือนว่าจะถูกแยกออกจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่ดันกลับมีความเชื่อมโยงกันอย่างมากโดยที่เรามองไม่เห็นหรือไม่ก็ไม่ได้สนใจในความสัมพันธ์นั้น ผมเรียกความสัมพันธ์ของโลกของเราและความสัมพันธ์ต่างๆ ในโลกว่าเป็นความซับซ้อน (Complexity) ซึ่งไม่ได้เป็นความสัมพันธ์แบบ Linear เสียแล้ว แต่เป็นความสัมพันธ์แบบ Non-linear หรือเป็นการมองแบบ System Thinking และเป็นการมองแบบองค์รวม (Holistic)


สภาพแวดล้อมเหล่านี้ที่ไม่แน่นอน (Uncertainty) เป็นพลวัต (Dynamics) ซึ่งเราเรียกกันรวมๆ ว่า ความซับซ้อน (Complexity) แหละครับที่ทำให้เราเครียด ผลของความเครียดมีอะไรบ้าง ทำอย่างไรที่จะรู้ว่าเราเครียด เออ! อันนี้ไม่รู้ แฮะ เพราะว่าเคยเห็น หมอคุยกับคนไข้ที่ดูแล้วเป็นคนปกติ แต่หมอบอกว่า เขาเครียด เขาก็แก้ตัวว่าไม่เครียดด้วยอาการปกติ ตรงนี้บอกไม่ได้จริงๆ ครับ เพราะว่าความเครียดน่าจะแสดงออกได้ในหลายๆ ลักษณะเลยทีเดียว


เอาเป็นว่า ความเครียดทำให้เราไม่เป็นปกติก็แล้วกัน ทำให้เราตัดสินใจไม่ได้ แต่มันก็ไม่ใช่หมดหนทาง มันมีทางแต่เราไม่เห็น เราไม่ยอมที่จะไปเห็นมัน และเราก็เลยไม่พอใจ และในที่สุดมันจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานและการดำรงชีวิตของเราลดลงไปเรื่อยๆ แล้วถ้าเราไม่แก้ที่ตัวเราแล้ว เราก็จะทำลายตัวเราเองไปเรื่อยด้วยความเครียด แต่ก่อนที่ตัวเราจะถูกทำลายไป มันจะทำลายสิ่งรอบข้างเสียก่อน แล้วก็คนรอบๆข้าง ครอบครัวและในที่สุดก็อาจจะเป็นชีวิตตัวเอง เพราะว่าเราอาจจะเห็นว่าไม่มีอะไรเหลืออยู่แล้วก็ได้ ดังนั้น เราต้องไม่เครียด ตรงนี้บอกไม่ได้ เพราะบางคนไม่รู้ตัว เราต้องพยายามมองให้เห็นทางออกของปัญหา ทั้งที่มันก็มีทางของมันอยู่ตามธรรมชาติ เพียงว่าจะถูกกาละเทศะหรือไม่ แต่ความเครียดที่เป็นดินพอกหางหมูนี่เองที่ทำให้เรายิ่งมองไม่เห็นทางออกไปกันใหญ่ ทั้งๆ ที่มันมีอยู่แล้ว


ผมว่ามันอยู่ที่ใจของเราหรืออยู่ที่จิตใจของเรา ว่ามีพลังๆ ในการเผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ ได้ดีแค่ไหน มีปัญญาในการควบคุมจิตใจและความคิดในการกระทำหรือไม่ มันเป็นภาวะผู้นำในทางจิตใจ บางครั้งก็อาจจะมีคนบอกว่าให้ไปหาอะไรทำให้เพลินๆ หรือหาอะไรสนุกทำหรือเป็นความบันเทิง ก็อาจจะช่วยได้บ้างเพียงชั่วคราวแต่ก็ไม่ได้แก้ปัญหาโดยตรง ผมเองก็ไม่ได้รู้เรื่องราวของจิตวิทยามากนัก แต่ก็ได้เผชิญกับการที่คิดว่าตัวเองมีความเครียด แต่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไรมาก แต่ก็สามารถผ่านมันมาได้ ก็อาจจะเป็นได้สองทางก็ คือ ตัวเองสามารถมีสติ มีสูตรในการดำรงชีวิต เข้าใจสูตรในการดำรงชีวิตของตนเอง มีเป้าหมายแน่นอนในการเดินทางไปข้างหน้า เราจึงสามารถปรับเปลี่ยนปัจจัยหรือตัวแปรต่างๆ ในชีวิตเราและรอบๆ ข้างได้ เออ! หรือผมเองปล่อยให้มันเป็นไปของมันเอง คิดว่าไม่ใช่หรอก เราต้องควบคุมมันได้สิ


ดังนั้นความก้าวหน้าในชีวิตเราเองก็เกิดจากการที่เราเข้าใจสูตรในการดำรงชีวิตของเรา (Life Equations) มีทิศทางที่แน่นอน และเข้าใจสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตด้วย ดังนั้นเมื่อเกิดอะไรขึ้นไม่ว่าจะเป็นตัวเอง ทิศทางที่จะไป หรือสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราก็รับสภาพการณ์ต่างๆ ได้เสมอ ตัดสินใจได้ ยอมรับผลลัพธ์ได้ xปรับปรุง (Improvement) เปลี่ยนแปลงตัวเองได้ หรือแม้กระทั่งแปลงสภาพ (Transformation) นั่นแสดงว่าเราจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา เข้าใจตัวเอง เข้าใจชีวิต เข้าใจโลก ผมเอาหลักการเรียนยุทธศาสตร์มาประยุกต์ใช้ได้เลย คือ End, Way, Means และ Environments


ดังนั้น คนที่เครียด ก็คือ คนที่ ไม่มี End ไม่มี Ways ไม่มี Means และไม่รู้จัก Environments เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไปซึ่งเป็นอนิจจังตามหลักพุทธศาสนา หรือจะเรียกว่าเป็นหลักความจริงของชีวิตก็ได้ ใจคนเหล่านั้นมันรับไม่ได้ ไม่มั่นใจในตัวเอง คิดว่าน่าจะมีคนอื่นๆ มาช่วยบ้าง เพราะช่วยคนอื่นๆ มามากแล้ว ผมว่าผมก็เป็น ทุกคนก็เป็นเหมือนกัน เพียงแต่ว่าเราจะรับรู้และยอมรับกับมันมากน้อยแค่ไหน เรื่องของการรับรู้นั้นไม่เท่าไร แต่เรื่องของการยอมรับนี่สิ มันยากมากสำหรับใจคน ถือว่าเป็นกิเลสประเภท “ทิฎฐิ” ที่เป็นบ่อเกิดแห่งความขัดแย้งในสังคม แต่นี่เป็นความขัดแย้งในจิตใจของเราเอง เราไม่สามารถชนะใจเราได้


ในเชิงการจัดการแล้ว ผมมองความเครียดว่าเป็นปัญหาด้านภาวะผู้นำที่คนเราไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ ไม่กล้าคิด ไม่มั่นใจในการตัดสินใจ ทั้งแบบมีข้อมูลอยู่ครบหรือไม่มีข้อมูลอยู่ แต่ที่สุดแล้วก็ไม่สามารถตัดสินใจอะไรได้ หรืออยู่ในภาวะที่ไม่รู้จะทำอย่างไรดีกับปัญหาหรือชีวิต ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว เราจะทำอย่างไรดีล่ะครับ ผมเองก็ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ซะะด้วย เราก็ต้องมีสติมากขึ้น เปิดใจกว้างมากขึ้น หาข้อมูลสภาพแวดล้อมให้กับตัวเองมากขึ้น ไม่ใช่เข้าข้างตัวเอง แต่ต้องพยายามเข้าใจความซับซ้อนต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราให้มากขึ้น แล้วปัญญาก็จะมาเอง แต่มันก็ไม่ง่ายนักที่เราจะอดทนเพื่อที่จะคิดและเดินหน้าต่อไปอย่างมีสติ และไม่เข้าข้างตัวเอง หรือโทษตัวเอง แต่ถ้าเรามีเป้าหมายที่ดีและมองให้ไกลออกไป เป้าหมายที่ไกลออกไปนั้นน่าจะทำให้เราอดทนหรือกล้าที่จะมองออกไปให้กว้างขึ้น เพื่อที่จะได้สร้างทางออกหรือเห็นทางออกมาขึ้น หรืออดทนมากขึ้นเพื่อรอวันที่ปัญหาจะสุกงอมหรือจังหวะที่เหมาะสม


การที่ผมได้มาเขียนอะไรต่อมิอะไรให้เพื่อนๆ ได้อ่านนี้ ที่พอได้เรื่องได้ราวก็มีบ้าง หรืออาจจะไม่ได้เรื่องได้ราวก็คงอีกเยอะ คงไม่ว่ากันนะครับ นี่ก็อาจจะเป็นอีกหนทางหนึ่งของผมในการจัดการความเครียดของผมออกไปได้บ้าง ผมไม่ได้มองว่าการได้หัวเราะขบขันจะสามารถขจัดความเครียดออกไปได้ เพราะมันเป็นเพียงแค่การเบี่ยงเบนความสนใจของคุณไปจากปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ ที่สุดแล้วปัญหานั้นก็จะมาอยู่ตรงหน้าคุณอยู่ดี แล้วยิ่งถ้าคุณนิ่งเงียบ เก็บความรู้สึกที่ถูกกดดันอยู่ไว้โดยไม่พูดกับใคร ไม่แสวงหาทางออกอย่างมีปัญญาและมีสติด้วยแล้ว แถมยังฝาดหางและพาลไปยังคนอื่นๆ รอบข้างด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งขาดทุนใหญ่ ปัญหาเดิมยังแก้ไม่ได้ ปัญหาใหม่ตามมาทันที โดยเฉพาะปัญหาส่วนบุคคล ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล เพื่อฝูง ครอบครัว และพี่น้อง ถ้าอย่างนั้นเรามาจัดการความเครียดด้วยการมีสติและพิจารณาปัจจัยต่างๆ รอบตัวและทิศทางที่จะดำเนินไปของชีวติกันใหม่ และยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเป็นอนิจจัง ผมว่า แล้วเราก็น่าจะอยู่ได้อย่างมีความสุข ใจคนเรานั่นแหละครับ ยากสุด ผมยังชนะใจตัวเองไม่ได้เลยครับ แต่ก็จะพยายามอยู่เสมอ ถ้าคุณคิดว่าคนรอบข้างจะช่วยคุณได้ เขาก็อาจจะช่วยคุณได้ แต่ถ้าคุณคิดว่าคนรอบข้าง คือ กระโถนที่จะรองรับอารมณ์คุณแล้วละก่อน ผมว่า คุณคิดผิดแล้วล่ะครับ มันไม่ได้ช่วยอะไรคุณเลยครับ เอาล่ะครับ เลิกเครียด เถอะครับอาจารย์ ผมบอกกับตัวเองในขณะที่ตัวเองนั้นรู้สึกว่าไม่เครียดเลย!!!!!