วันศุกร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชุม 6 สถาบันฯ -- 4.บูรณาการยุทธศาสตร์ในทุกภาคส่วน (2) : ยุทธศาสตร์

บูรณาการยุทธศาสตร์ในทุกภาคส่วน (2) : ยุทธศาสตร์
     
จากมุมมองและความเข้าใจเบื้องต้นในการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์ในด้านอื่นๆที่รองรับยุทธศาสตร์ชาติที่เป็นเสมือนแผนแม่บท    จากผลการดำเนินงานด้วยยุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ต่างๆ โดยทั่วไปแล้ว   เรามักจะพบว่าผลการดำเนินงานจากการนำยุทธศาสตร์ชาติไปปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามที่ระบุไว้ในยุทธศาสตร์ได้ผลบ้างไม่ได้ผลบ้าง   หรือไม่มีประสิทธิภาพบ้าง  ซึ่งผลลัพธ์เหล่านี้เป็นผลมาจากการบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติทั้งจากบนลงล่าง  การวัดผลการนำไปปฏิบัติจากล่างขึ้นบนและระหว่างองค์ประกอบต่างๆ ของยุทธศาสตร์ชาติ   มุมมองที่สำคัญจะอยู่ที่การเขียนยุทธศาสตร์ชาติ  เพราะว่าถ้าการกำหนดรายละเอียดของยุทธศาสตร์ชาติที่ออกมานั้น   ไม่ได้กำหนดความเชื่อมโยงและการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างองค์ประกอบของยุทธศาสตร์ย่อยที่รองรับแล้ว   การดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติที่ขาดการบูรณาการที่ดีจะทำให้ผลของการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์ขาดความเป็นองค์รวม (Holism)  ประเด็นที่สำคัญ คือ เราจะทำอย่างไรเพื่อที่จะเสริมสร้างความเป็นบูรณาการของยุทธศาสตร์ชาติโดยการระบุหรือกำหนดความเชื่อมโยงขององค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติและการมีปฏิสัมพันธ์กันของส่วนย่อยของยุทธศาสตร์ชาติ

สถานการณ์ปัจจุบัน
     
โดยทั่วไปความเข้าใจถึงยุทธศาสตร์ชาติของแต่ละส่วนงานที่เป็นผู้ปฏิบัติตามยุทธศาสตร์ชาติจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละด้านหรือองค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติ   บางคนก็อาจจะเห็นความสำคัญของยุทธศาสตร์ในแต่ละด้านแตกต่างกันออกไปตามระดับของยุทธศาสตร์   บางยุทธศาสตร์เป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว   บางยุทธศาสตร์เป็นยุทธศาสตร์ในระยะสั้น   แผนยุทธศาสตร์เหล่านี้จะมีความซับซ้อนที่แตกต่างกันออกไปอีกตามแต่รายละเอียดขององค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติและสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้อง   ยิ่งเป็นยุทธศาสตร์ชาติซึ่งเป็นยุทธศาสตร์หลักในระดับประเทศ   องค์ประกอบต่างๆของยุทธศาสตร์ก็จะมากขึ้นตามลำดับความสำคัญและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบของยุทธศาสตร์ชาติก็จะยิ่งมากขึ้นตามลำดับด้วย
     
ปัญหาของการนำยุทธศาสตร์ชาติไปปฏิบัติ  ส่วนใหญ่ที่พบในการดำเนินงานทั่วไปในการจัดการสาธารณะ (Public Management) คือ  ความซ้ำซ้อนในการดำเนินงาน  ความไม่ชัดเจนในการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์   ซึ่งจะมีผลต่อผลลัพธ์ของการดำเนินยุทธศาสตร์  บางยุทธศาสตร์บรรลุผลสำเร็จได้เป็นอย่างดี  แต่อาจจะขาดประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรในการดำเนินงานตามยุทธศาสตร์   บางยุทธศาสตร์อาจจะไม่มีคุณภาพซึ่งไม่สามารถนำไปปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิผล  แต่ก็อาจจะประสบผลสำเร็จด้วยการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าและภาวะผู้นำของผู้ที่นำยุทธศาสตร์ชาตินั้นไปปฏิบัติใช้ให้เกิดผลประโยชน์
     
ในภาวะปัจจุบันผู้ที่นำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติใช้งานมักจะตกอยู่ภาวะกดดันที่จะต้องบรรลุเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติภายใต้บริบทหรือสิ่งแวดล้อมที่มีความเป็นพลวัต (Dynamics) ซึ่งทำให้รายละเอียดที่อยู่ในยุทธศาสตร์ชาตินั้นไม่สามารถนำมาใช้ในการปฏิบัติงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ  อีกทั้งผู้ที่นำยุทธศาสตร์ไปปฏิบัติก็มีความเสี่ยงในการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์เพื่อให้ยุทธศาสตร์นั้นบรรลุเป้าหมายทั้งๆ ที่อาจจะไม่ได้มีทรัพยากรและงบประมาณเพียงพอ  รวมทั้งข้อมูลสารสนเทศที่จำเป็นต่อการตัดสินใจดำเนินงานตามยุทธศาสตร์ชาติ   สถานการณ์เหล่านี้จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบรรลุถึงเป้าหมาย  และอาจจะเกิดความเสียหายต่อผู้ปฏิบัติงานเองด้วย  ผู้ปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์จึงต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดและต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่ไม่ได้อยู่ในยุทธศาสตร์เพื่อแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าไปเพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามยุทธศาสตร์
     
หรือจะพูดกันอย่างง่ายๆ ว่า  ยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์หลักของประเทศที่เขียนมานั้นไม่มีคุณภาพหรือไม่ได้สะท้อนภาพเป็นจริงที่เกิดขึ้น  ผลที่เกิดขึ้นเป็นเพราะขาดการบูรณาการที่ดีของการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ  ดังนั้นถ้ายุทธศาสตร์หลักดีและมีความเป็นองค์รวมที่เกิดจาการบูรณาการที่ดี  ยุทธศาสตร์ย่อยอื่นๆก็สามารถที่จะบูรณาการการทำงานร่วมกันได้  และผู้ที่ปฏิบัติก็ต้องมีความพร้อมในการบูรณาการด้วย  เพื่อที่จะได้บรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ในยุทธศาสตร์หลัก
     
ก่อนที่ยุทธศาสตร์ชาติจะถูกจัดทำและนำไปปฏิบัติ  ผู้จัดทำและผู้ที่นำไปปฏิบัติควรจะมีความเข้าใจในแนวคิดและวิธีการบูรณาการเสียก่อน   เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมานั้นจะเกิดจากการบูรณาการทั้งสิ้น   เพียงแต่ว่าความสำคัญของการบูรณาการในอดีตนั้นยังไม่ได้รับความสนใจมากเท่าไรนัก   เพราะว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาวะแวดล้อมยังไม่รุนแรงและรวดเร็วเหมือนในปัจจุบัน   ยิ่งสภาวะแวดล้อมปัจจุบันมีความซับซ้อนมากขึ้นการบูรณาการจึงยิ่งมีบทบาทมากขึ้นในการปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อม      การบูรณาการ คือ การนำสิ่งที่แตกต่างกันมารวมกันให้มีโครงสร้างที่เป็นระบบ (Systemic Structure)  ความเป็นระบบของการรวมตัวกันนั้นไม่ได้ให้แค่ประโยชน์ที่เป็นผลลัพธ์ที่เป็นเป้าหมายเท่านั้น  แต่ความเป็นระบบยังก่อให้เกิดเป็นความสามารถเชิงพลวัต (Dynamic Capability)  ทำให้ระบบนั้นสามารถปรับปรุงตัวและเปลี่ยนแปลงในการสร้างผลประโยชน์ให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่เป็นพลวัตด้วย
             
ดังนั้นสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรานั้นดูเหมือนว่า  ยุทธศาสตร์ชาติกับยุทธศาสตร์ย่อยต่างๆ ยังขาดการเชื่อมโยงกันกับความเป็นจริงในการปฏิบัติงาน     สภาพแวดล้อมในการปฏิบัติงานเพื่อสร้างผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวหรือผลประโยชน์ส่วนรวมก็ตาม   ย่อมมีความเป็นพลวัต (Dynamic) หรือมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา  (ไม่นิ่ง)    แต่ยุทธศาสตร์ชาติหรือยุทธศาสตร์หลักที่ถูกจัดทำออกไปกลับมีลักษณะสถิตย์ (Static) หรือนิ่ง   ความเป็นจริงในการปฏิบัติงานตามยุทธศาสตร์ชาติในการสร้างผลประโยชน์ของชาตินั้นในปัจจุบันแตกต่างจากอดีตทั้งในด้านความซับซ้อนและความเป็นพลวัต  ผู้ปฏิบัติงานต้องการแผนการดำเนินงานที่ยืดหยุ่น (Flexible) กับความสามารถในการปรับตัว (Adaptive)  เพื่อการตอบสนองต่อการปฏิบัติการในพื้นที่ที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน (Uncertainty) และความซับซ้อน (Complexity)ของปัญหาและความพลวัตของสภาวะแวดล้อม  ยุทธศาสตร์จึงต้องเป็นแผนงานที่มีความคล่องตัว (Agility) ที่มีลักษณะความยืดหยุ่นและความสามารถในการปรับตัว   ความเป็นบูรณาการของยุทธศาสตร์ที่มีความเป็นระบบจะเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการทำให้เกิดความคล่องตัวเพื่อการรองรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ต้องเริ่มที่กระบวนการ
             
ผลลัพธ์ของคุณค่าหรือผลประโยชน์ทุกสิ่งบนโลกนี้ในมุมมองจากความต้องการมนุษย์เกิดจากกระบวนการสร้างคุณค่า (Value Creation Process) ที่สร้างสรรค์สิ่งนั้นขึ้นมา ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์เราที่เป็นผู้สร้าง   สิ่งที่เป็นธรรมชาติก็เกิดจากกระบวนการธรรมชาติซึ่งเราอาจเข้าใจหรือรู้จักไม่ทั้งหมดและมนุษย์เราควบคุมไม่ได้ทั้งหมด   สิ่งที่มนุษย์เราสร้างขึ้นมาก็เกิดจากกระบวนการที่เราได้ออกแบบจากความเข้าใจในความต้องการของผลประโยชน์ของมนุษย์เองและควรจะควบคุมได้    แต่ในความเป็นจริงแล้วก็มีบางสิ่งบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้  ดังนั้นปัญหาต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งในธรรมชาติและในชีวิตเรานั้นก็เกิดจากผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่ได้ไม่ตรงกับใจเรา    ธรรมชาติให้ผลลัพธ์ที่ไม่ตรงกับความค้องการของมนุษย์ก็เพราะกระบวนการในธรรมชาติมีปัญหา (อาจจะเป็นเพราะมนุษย์เราไปทำอะไรบางอย่างให้กระบวนนั้นผิดไป)

ในหลายๆครั้งสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาเองก็ไม่สามารถตอบสนองต่อความต้องการของมนุษย์เองได้  เพราะมนุษย์เองมีความต้องการที่ไม่รู้จบ (กิเลส)  เราจึงต้องกลับไปพิจารณาดูหรือตรวจสอบที่กระบวนการสร้างสรรค์คุณค่าซึ่งเป็นต้นทางของผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่ต้องการ   ดังนั้นปัญหาต่างๆจึงเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการซึ่งไม่ใช่ที่ผลลัพธ์   ปัญหาจึงอยู่ที่กระบวนการ  เมื่อกระบวนการหรือขั้นตอนไม่เหมาะสมหรือไม่ได้เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็นหรือไม่ได้เป็นไปตามแผน  เราจึงต้องมาปรับปรุงหรือเปลี่ยนแปลงที่กระบวนการสร้างผลประโยชน์   หรือที่ในอดีตเรามักจะได้ยินคำว่า  Re-engineering    หรือ  คิดใหม่  เพื่อทำใหม่   เราได้รับผลกระทบจากผลประโยชน์ที่ไม่ได้รับหรือไม่ลงตัว  เราจึงต้องไปแก้ที่กระบวนการซึ่งเป็นต้นเหตุ  ไม่ใช่ที่ผลซึ่งเป็นปลายเหตุ
             
เราต้องลองกลับมาพิจารณาดูที่กระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัวเรา   ในระบบนิเวศต่างๆทั้งระบบตามธรรมชาติและระบบที่มนุษย์สร้างขึ้น   ระบบทั้งสองประเภทนี้ต่างก็เกื้อกูลกันและมีความเชื่อมโยงอย่างเป็นบูรณาการโดยที่เราไม่รู้ตัว   จึงทำให้เกิดความสมดุลที่ลงตัว แต่ถ้าเรารู้และเข้าใจในความเป็นบูรณาการหรือเรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่าองค์รวม (Holism) เราก็จะสามารถจัดการกับระบบนั้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นั่นหมายความว่า  ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงจากทั้งภายในระบบและจากสภาวะแวดล้อมภายนอก  เราก็ยังคงรักษาและปรับปรุงระบบให้คงอยู่และขยายผลหรือพัฒนาต่อไปได้
             
เป้าหมายสุดท้ายของระบบหรือสังคมของมนุษย์ก็ คือ การอยู่รอด (Survival)  หรือการมีชีวิตอยู่ของคนในสังคม   และคนในสังคมซึ่งต้องการปัจจัยพื้นฐานเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอดก็ต้องอาศัยระบบเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนคุณค่าหรือผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน   เมื่อคนในสังคมมีชีวิตอยู่รอดแล้ว  สังคมหรือประเทศก็คงอยู่รอดและวัฒนาต่อไป   ดังนั้นเป้าหมายของยุทธศาสตร์ชาติทั้งหลายในโลกก็อยู่ที่ผลประโยชน์แห่งชาตินี้เท่านั้น  แล้วเราลองนึกดูว่าในระบบสังคมของโลกมีกระบวนการต่างๆ มากมายทั้งเกิดจากธรรมชาติและกระบวนการที่มนุษย์ได้สร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์ต่างๆ มากมายเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เป็นผลประโยชน์ต่อปัจเจกบุคคลและของสังคมหรือประเทศ

ผลประโยชน์เกิดจากกระบวนการปฏิบัติ
             
กระบวนการในโลกนี้มีหลากหลายประเภทของกระบวนการ  ทุกๆ กระบวนการมีผลลัพธ์   แต่ทุกๆผลลัพธ์ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการหรือเป็นผลประโยชน์ที่เราต้องการ  ในขณะเดียวกันทุกผลลัพธ์จากหลายกระบวนการจะมีส่วนเชื่อมโยงหรือเป็นตัวต่อ (Building Blocks) ที่สำคัญในการนำไปสู่ผลประโยชน์ของแต่ละบุคคลและเป็นผลประโยชน์ของชาติในที่สุด
             
เราสามารถแบ่งกระบวนการออกเป็น  2  ประเภท คือ กระบวนการวางแผนหรือด้าน Soft Side  และกระบวนการปฏิบัติหรือด้าน Hard Side   หรือพิจารณาอย่างง่ายๆ เหมือนระบบคอมพิวเตอร์ที่จะต้องมีทั้ง Software และ Hardware ซึ่งจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้    กระบวนการสร้างผลประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นประโยชน์ส่วนตัวหรือประโยชน์แห่งชาติก็ตามย่อมจะมีทั้งด้าน Soft Side และ Hard Side   เหมือนกับระบบคอมพิวเตอร์   กระบวนการด้าน Soft Side จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนหรือควบคุมกระบวนการด้าน Hard Side   ผลลัพธ์จากกระบวนการ Soft Side ไม่ได้เป็นประโยชน์โดยตรงต่อผลประโยชน์ของบุคคลหรือประโยชน์แห่งชาติ     ส่วนกระบวนการด้าน Hard Side จะสร้างผลลัพธ์ที่เป็นผลประโยชน์โดยตรงกับปัจเจกบุคคลและประเทศชาติ    กระบวนการวางแผนหรือด้าน Soft Side จะเป็นตัวกำหนดกิจกรรมในกระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์หรือกระบวนการ Hard Side  ดังนั้นถ้าจะให้ผลลัพธ์ออกมาดีเป็นผลประโยชน์ต่อปัจจเจกบุคคลและเป็นผลประโยชน์แห่งชาติแล้ว   กระบวนการทั้งสองประเภทจะต้องทำงานร่วมกันเป็นระบบเหมือนกับระบบคอมพิวเตอร์ที่มีความลงตัวทั้งทางด้าน Hardware และ Software   ถ้า Hardware เร็วขึ้นก็ต้องเปลี่ยน Software ใหม่เพื่อที่จะใช้ประโยชน์จาก Hardware ให้เต็มประสิทธิภาพ

ต้องบูรณาการที่กระบวนการ

ทุกวันนี้ผลประโยชน์ของชาติและผลประโยชน์ของปัจเจกบุคคลได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วหรือมีความเป็นพลวัตมากขึ้น  กระบวนการวางแผนและกระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย   อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เป็นตัวอย่างที่ดีได้สำหรับการเปลี่ยนแปลงทั้งความต้องการของลูกค้าและการตอบสนองของผู้ผลิตทั้งด้าน Hardware และ Software    ผลลัพธ์หรือผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นก็จะมาจากกระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่า (Value Creation Process) ซึ่งต้องเชื่อมโยง (Linked) และมีปฏิสัมพันธ์ (Interactions) กับแผนงานที่เกิดจากกระบวนการวางแผน (Planning Process) อย่างบูรณาการกัน  ในขณะเดียวกันขั้นตอนต่างๆในกระบวนการวางแผนเองก็จะต้องบูรณาการกันภายในกระบวนการเองด้วยหรือเรียกกันว่า (Collaborative Planning) และในทิศทางเดียวกันกับกระบวนการปฏิบัติการในการสร้างคุณค่าก็จะต้องมีการบูรณาการภายในด้วยการเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์กันระหว่างทรัพยากรต่างๆและขั้นตอนต่างๆในกระบวนการด้วย หรือเรียกกันว่า (Physical Compatibility)

เมื่อปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติได้ส่งผลไปที่ผลประโยชน์ของปัจจเจกบุคคลและส่งผลกระทบไปถึงผลประโยชน์แห่งชาติในที่สุด   แต่ถ้าเราพิจารณาย้อนกลับไปยังต้นกำเนิดของกิจกรรมต่างๆ ภายในประเทศที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์แห่งชาติ  เราก็จะพบว่ายุทธศาสตร์ชาติและยุทธศาสตร์ย่อยต่างๆ ที่ถูกเขียนขึ้นมาเพื่อที่จะกำกับกิจกรรมต่างๆ ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อาจจะไม่เหมาะสมกับสภาวะแวดล้อมปัจจุบันและในอนาคตซึ่งจะมีผลกระทบต่อผลประโยชน์แห่งชาติที่ตั้งเป้าหมายไว้
สิ่งที่จะต้องดำเนินการ คือ เราจะต้องกลับไปพิจารณากระบวนการทั้งหมดตั้งแต่กระบวนการวางแผน   กระบวนการปฏิบัติการสร้างคุณค่าหรือผลประโยชน์ซึ่งประกอบไปด้วยทุกภาคส่วน  รวมทั้งความเชื่อมโยงระหว่างการวางแผนและการปฏิบัติการ   การบูรณาการกระบวนการทั้งหมดให้เป็นองค์รวม (Holism) ให้เกิดเป็นระบบ (System) โดยการเน้นที่การเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบทั้งภายในกระบวนการและระหว่างกระบวนการ  เมื่อกระบวนการทั้งหมดมีความเป็นระบบที่เกิดจากการ บูรณาการแล้ว   ระบบที่สร้างผลประโยชน์ตั้งแต่ปัจเจกบุคคลและผลประโยชน์แห่งชาตินี้ก็จะมีความยืดหยุ่นและปรับตัวเองได้เพื่อให้เกิดความคล่องตัวเพื่อรองรับกับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

ต้องทำให้ระบบมีชีวิต
             
การมีชีวิตนั้นหมายถึง การที่มนุษย์ (สิ่งที่มีชีวิต) สามารถดำรงตัวเองอยู่รอดด้วยผลประโยชน์ที่ต้องการเป็นพื้นฐาน   ดังนั้นองค์กรหรือประเทศก็จะต้องอยู่รอดได้ก็เพราะว่าคนในองค์กรหรือประเทศมีการตัดสินใจหรือวางแผนเพื่อให้เกิดการใช้ทรัพยากรที่ต้องการเป็นพื้นฐานให้เป็นผลประโยชน์ต่อองค์กรหรือเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ   คนซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งที่มีปัญญาที่สามารถใช้ความคิดและตัดสินใจเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดได้   แต่ทำไมเมื่อสิ่งมีชีวิตอย่างมนุษย์มาอยู่รวมกันแล้วไม่สามารถทำให้กลุ่มมนุษย์ที่รวมตัวกันเป็นสังคมมีชีวิตอยู่รอดได้หรือไม่มีการวัฒนา   ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคนจำนวนมากไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ต่อปัจเจกบุคคลและผลประโยชน์ส่วนรวมได้  กระบวนการต่างๆที่มนุษย์เป็นคนดำเนินการทั้งในด้านการวางแผนและการปฏิบัติการก็ไม่สามารถดำเนินการให้สอดคล้องกันได้   กลับมีแต่ความขัดแย้งในผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง  สุดท้ายองค์กรหรือประเทศก็ล่มสลาย  และในที่สุดมนุษย์ก็ไม่สามารถอยู่รอดได้
             
การสร้างให้องค์กรนั้นมีชีวิต (Living Organization) ได้ คือ การที่องค์กรได้ใช้ศักยภาพของแต่ละคนและกลุ่มคนในการคิดและตัดสินใจเพื่อ “รับรู้และตอบสนอง (Sense and Response)”  ต่อสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาและรวดเร็ว  นั่นหมายความว่า  ปัญหาในการบูรณาการ คือ การขาดการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ของคนในสังคมหรือประเทศ โดยเฉพาะความคิดอ่าน   เมื่อกลุ่มคนไม่มีการทำงานร่วมกัน  ก็จะไม่เกิดกิจกรรมการแบ่งปันข้อมูลกัน   ไม่ได้คิดร่วมกัน  ไม่ได้ตัดสินใจและวางแผนร่วมกัน   ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น คือ กิจกรรมต่างๆในแต่ละภาคส่วนมักจะเกิดขึ้นแบบแยกส่วนกัน  ต่างคนต่างทำ   ไม่ได้มีการเชื่อมโยงกันหรือมีปฏิสัมพันธ์กันในการดำเนินงาน   ทำให้ขาดพลังในการคิดและตัดสินใจและขาดกำลังในการดำเนินงาน  ทั้งๆ ที่เมื่อคนในหลายภาคส่วนจะต้องมารวมตัวกันเป็นกลุ่มคนหรือเป็นสังคมเป็นประเทศแล้วก็น่าจะทำให้ประเทศมีพลังอำนาจเพิ่มมากขึ้น   แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ใช่เช่นนั้น    มีคำกล่าวอยู่เสมอว่าประเทศไทยเล่นเป็นทีมไม่เป็น   คำกล่าวนี้เป็นจริงเสมอจนถึงทุกวันนี้

ยุทธศาสตร์การบูรณาการ คือ ต้องสร้างวัฒนธรรมใหม่
             
ความเป็นจริงที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ คือ ทุกคนมีความแตกต่างกัน  ผลประโยชน์ที่ต้องการก็แตกต่างกันออกไป  แต่ทุกคนต้องอยู่รวมกันเพื่อสร้างพลังอำนาจที่ทุกคนต้องการเป็นพื้นฐานในการรักษาไว้ซึ่งผลประโยชน์ของแต่ละคน   แต่ถ้าทุกคนไม่มีพลังอำนาจของสังคมที่ทุกคนต้องมีไว้เป็นพื้นฐาน   คนเหล่านั้นก็คงไม่สามารถสร้างผลประโยชน์ส่วนตัวได้ซึ่งจะทำให้แต่ละคนไม่สามารถอยู่รอดได้   ดังนั้นผลประโยชน์ส่วนตัวและผลประโยชน์แห่งชาตินั้นจึงเป็นการพึ่งพากันอย่างเป็นระบบ (Systemic) ตั้งแต่ระบบของแต่ละบุคคล (Personal System)   ระบบของแต่ละภาคส่วน (Sector System) ที่สนับสนุนบุคคลให้สร้างผลประโยชน์   และระบบของประเทศ (National System) ที่ประกอบขึ้นจากระบบของแต่ละภาคส่วน  ระบบทั้งหมดอยู่รวมกันเป็นระบบนิเวศทางสังคม (Social Ecology) ซึ่งบูรณาการกันอย่างที่เราไม่รู้ตัว     ความเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์ถูกสร้างขึ้นภายในระบบอย่างไม่เป็นทางการ ในอดีตความเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์เหล่านี้อาจจะไม่ได้มีบทบาทหรือมีผลกระทบออกมาให้เห็นกันอย่างเด่นชัด   แต่เมื่อบริบทหรือสิ่งแวดล้อมแปรเปลี่ยนไปอย่างเป็นพลวัต   บทบาทหรือความสำคัญของความเชื่อมโยงและปฏิสัมพันธ์เหล่านั้นกลับเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้สังคมอยู่รอด   เมื่อสังคมอยู่รอดแล้ว คนแต่ละคนก็น่าจะอยู่รอดด้วย
             
สังคมเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นมาโดยธรรมชาติของมนุษย์  ไม่ใช่เป็นธรรมชาติของโลก   ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงทางด้านความคิดอ่านก็ขึ้นอยู่กับการหล่อหลอมของความคิดของคนในสังคมนั่นเอง   ไม่เกี่ยวกับธรรมชาติของโลก ธรรมชาติของคนเองก็แตกต่างจากธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย   ดังนั้นการอยู่รวมกันของคนหลายคนสามารถสร้างผลประโยชน์ได้และสามารถสร้างความเสียหายให้กับแต่ละบุคคลและต่อสังคมได้เช่นกัน  เพราะแต่ละคนมีความคิดอ่านที่แตกต่างกันออกไป   การที่จะทำให้ทุกคนมาหล่อหลอมรวมกันเพื่อบูรณาการความคิดและศักยภาพเพื่อสร้างพลังอำนาจใหม่ให้สามารถสร้างผลประโยชน์ร่วมกันได้ซึ่งจะเป็นผลประโยชน์แห่งชาติ
             
สิ่งที่จะให้คนอยู่รวมกันได้ก็ คือ วัฒนธรรมที่คนในกลุ่มได้ตกลงร่วมกัน คิดที่จะสร้างผลประโยชน์ร่วมกัน  สำหรับสังคมประเทศที่มีความเป็นชาติย่อมมีวัฒนธรรมร่วมกันซึ่งเกิดจากเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ที่สร้างผลประโยชน์แห่งชาติร่วมกัน  วัฒนธรรม  (Culture) จะเป็นเสมือนสิ่งที่เป็นมาตรฐานทางด้านความคิด (Standardization for Thinking) ของคนในสังคมที่ชี้นำให้คนในสังคมสามารถอยู่ร่วมกันเพื่อสร้างผลประโยชน์ของสังคม   วัฒนธรรมจะเป็นเหมือนพื้นฐานของการพัฒนาในด้านต่างๆ  วัฒนธรรมจะนำไปสู่ความมีวินัย (Discipline) ของคนในสังคมซึ่งจะนำไปสู่การสร้างกฎและระเบียบของสังคม  สังคมใดสร้างให้คนมีวินัยในตัวเองแล้ว  การจัดการสังคมก็จะง่ายขึ้น   การเปลี่ยนแปลงใดๆ ในสังคมก็จะสำเร็จและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น   การมีวินัยเป็นพื้นฐานของการเคารพกฎระเบียบในสังคม  การมีวินัยเป็นพื้นฐานสำหรับความไม่เห็นแก่ตัว   ในทางตรงกันข้ามความมีวินัยจะทำให้คนในสังคมเห็นแก่ส่วนรวมเป็นหลัก   มีคำขวัญที่ติดไว้ในค่ายทหารแห่งหนึ่งเขียนไว้ว่า “ความมีวินัยอาจจะริดรอนความสุขสบายส่วนบุคคล  แต่ก็เพื่อเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม”
             
วัฒนธรรมใหม่นี้ต้องเป็นวัฒนธรรมแห่งการบูรณาการ  ซึ่งไม่ใช่การบูรณาการในระดับปฏิบัติการที่เป็นด้าน Hard Side  แต่เป็นการบูรณาการในด้านความคิดอ่านของคนในสังคมซึ่งเป็นด้าน Soft Side  ความหมายของการบูรณาการแสดงถึงความเป็นองค์รวม (Holism) ซึ่งเปรียบเสมือนกับอวัยวะต่างๆที่อยู่ในร่างกายเราที่มารวมประสานกันเป็นร่างกายที่มีชีวิต   เราไม่สามารถแยกอวัยวะใดอวัยวะหนึ่งออกจากร่างกายได้   ไม่เช่นนั้นแล้วความเป็นชีวิตของเราก็จะหมดไป   สังคมก็เช่นกัน   คนในสังคมจะต้องเห็นประเทศเป็นหน่วยเดียวโดยที่ทุกคนในประเทศเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ   จะขาดใครคนหนึ่งไม่ได้  แต่ในความเป็นจริงประเทศหนึ่งมีประชาชนมากมาย  การขาดคนไปบ้างก็คงไม่เป็นไรนัก   แต่ในความหมายของยุทธศาสตร์ชาติ  การขาดองค์ประกอบของยุทธศาสตร์องค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งไปอาจจะทำให้ยุทธศาสตร์ชาติขาดความสมบูรณ์และขาดความเป็นองค์รวมไป   ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ไม่มีความยืดหยุ่นและไม่สามารถปรับตัวได้

ดังนั้นเมื่อทุกคนคิดและวางแผนจะทำอะไรก็ตาม  ก็ต้องคิดและทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก  แล้วค่อยเป็นเรื่องของผลประโยชน์ส่วนตัว  ความมั่นคงในผลประโยชน์แห่งชาติก็จะเกิดขึ้น  ถ้าวัฒนธรรมแห่งการบูรณาการถูกพัฒนาขึ้นและตอกย้ำเข้าไปในสังคมอย่างต่อเนื่อง   จากวัฒนธรรมเดิมเพื่อสร้างให้คนในสังคมสามารถเชื่อมโยงและมีปฏิสัมพันธ์กันมากขึ้นเพื่อประโยชน์ในภาพรวมและความเป็นองค์รวมของสังคมมากกว่าตัวเอง   เปรียบเสมือนกับทีมฟุตบอลที่นักฟุตบอลบางคนไม่ยิงประตูให้กับตัวเอง แต่ส่งผ่านบอลไปให้เพื่อนที่มีโอกาสยิงประตูได้มากกว่าได้ยิงประตู   เพื่อให้ทีมชนะมากกว่าการทำแต้มการยิงประตูให้กับประวัติของตัวเอง
             
ถ้าคนในสังคมมีพื้นฐานวัฒนธรรมที่ทำงานร่วมกันและทำงานเป็นทีมเพื่อผลประโยชน์แห่งชาติหรือส่วนรวมก่อนที่จะทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว  กิจกรรมต่างๆ ในกระบวนการสร้างคุณค่าหรือประโยชน์ต่างๆ ในสังคมก็จะมีความเป็นบูรณาการในตัวเอง  ตั้งแต่ระบบการคิด   ระบบการศึกษา   ระบบการวางแผน   ระบบการปฏิบัติการ  รวมทั้งการตัดสินใจในการรับมือสถานการณ์ต่างๆ ในภาวะฉุกเฉิน   ความตระหนักในการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงสังคมหรือประเทศเกิดจากวัฒนธรรมใหม่นี้เพื่อที่จะธำรงรักษาและพัฒนาผลประโยชน์แห่งชาติให้มีความมั่นคงอย่างยั่งยืน   กิจกรรมต่างๆในกระบวนการสร้างผลประโยชน์ต่างๆ สำหรับภาคส่วนต่างๆ จึงมีความจำเป็นที่จะต้องถูกปรับปรุงและเปลี่ยนแปลงให้เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของบริบทและสภาพแวดล้อมที่มีสภาพความเป็นพลวัตในปัจจุบัน

ดังนั้นโครงสร้างการทำงานในกระบวนการแบบดั้งเดิม  ที่มีความเชื่อมโยงและการปฏิสัมพันธ์แบบดั้งเดิมซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้   เพราะยังขาดการบูรณาการที่เหมาะสมหรือระดับของการบูรณาการไม่เพียงพอต่อการปรับเปลี่ยน  วัฒนธรรมเชิงบูรณาการหรือการมองให้เป็นองค์รวม (Holism) มากขึ้น   ซึ่งจะทำให้เราไม่ได้มองสังคมแบบแยกส่วนเป็นฟังก์ชั่นการทำงานหรือมองเฉพาะโครงสร้าง   แต่จะต้องมองและคิดแบบกระบวนการ (Process Thinking) ที่มีหลักคิดแบบองค์รวม (Holistic Thinking) ที่มองถึงการเชื่อมโยงและการมีปฏิสัมพันธ์เพื่อผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์แห่งชาติเป็นหลัก

ถ้าเราจะสร้างยุทธศาสตร์ชาติที่เป็นพื้นฐานของสังคม  ยุทธศาสตร์ชาตินั้นจะต้องมียุทธศาสตร์หลักที่เป็นการสร้างวัฒนธรรมใหม่ที่เป็นวัฒนธรรมหลักของชาติที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์หลักแห่งชาติ  วัฒนธรรมหลักของชาติจะเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงแนวคิดต่างๆที่อยู่ในคนทุกคนในทุกภาคส่วนของประเทศ   ผลประโยชน์ต่างๆจากทุกภาคส่วนก็จะถูกบูรณาการกันตั้งแต่ระบบความคิด  การศึกษา  รวมทั้งการจัดทำยุทธศาสตร์ชาติของประเทศ  ตลอดจนการนำไปปฏิบัติงานอย่างบูรณาการเพื่อให้เกิดผลประโยชน์แห่งชาติอย่างมีความมั่นคงและยั่งยืนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม

การประชุมทางวิชาการระหว่างหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง 6 สถาบัน ครั้งที่ 2
หัวข้อ “รัฐบาลใหม่กับทิศทางการขับเคลื่อนประเทศไทย”
ประเด็นการนำเสนอ :  การบูรณาการยุทธศาสตร์ชาติด้วยแนวคิดโซ่อุปทาน
ดร.วิทยา  สุหฤทดำรง
ผู้อำนวยการสถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน  มหาวิทยาลัยศรีปทุม
นักศึกษาหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ 2331 สิงหาคม 2554