ทำไมต้องไป งานExpo อีกครั้งหนึ่งหรือครับ? ต้องตอบว่า ผมเพิ่งจะรู้ว่าเราสามารถมีโอกาสสัมผัสงานระดับโลกแบบนี้ได้ไม่ยากมากนัก และในตอนแรก คิดว่างาน Expo จะเป็นเหมือนงานแสดงสินค้าทั่วๆ ไป (เหมือนงานวัดบ้านเรา เพราะว่าได้เคยไปงานAsian Expo ที่เมืองหนานนิง ที่มณฑลกวางสี เมื่อปีก่อน และได้แวะไปที่พื้นที่ประเทศไทยจัดงาน ไม่ได้แตกต่างงานขายของที่ Impact เมืองทองธานีเลยครับ) หลังจากที่ได้เดินทางไปชมงาน World Expo 2010 เมื่อปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา พอกลับมาได้ไม่กี่วันก็เริ่มเขียนบันทึกการเดินทางตอนที่ 1 แล้วก็เกิดความคิดว่าจะต้องหาเรื่องหาราวกลับไปดูงาน Expo แก้ตัวอีกสักครั้งหนึ่ง ด้วยความเชยและไม่รู้ของผมในการไปชมงานแรกนั้น ผมคิดว่าเป็นความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสื่อสารความเป็นโลกใหม่ ความเป็นโลกภิวัฒน์ ความเป็นจีน ให้กับพวกเราทราบ ไม่อย่างนั้นแล้ว จะเป็นการทำงานที่ขาดวิสัยทัสน์ขาด แรงบันดาลใจ การดำเนินชีวิตและการทำงานคงจะพัฒนาไปได้น้อยมาก โดยเฉพาะทีมงานของสถาบันวิทยาการโซ่อุปทานที่อยู่ในการควบคุมและดูแลของผม
ผมเองก็ยังสงสัยตัวเองอยู่ ว่าอะไรทำให้เราเกิดแรงบันดาลใจในการทำงานและการดำเนินชีวิตอยู่ได้ เพราะว่าพวกเราๆ ที่ผมรู้จักหลายท่านก็ได้มีโอกาสไปต่างประเทศหลายครั้ง หลายๆ ท่านไปบ่อยกว่าผมเสียอีก ตัวผมเองอยู่ต่างประเทศมาหลายปี ผมก็ต้องถามตัวเองว่า แล้วเราต้องคิดและทำอย่างไรบ้างเมื่อเราได้ไปเห็นโลกกว้าง ทั้งๆ ที่เราสามารถเดินทางไปเองหรือรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากสื่อต่างๆ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะนำมันมาสร้างให้เกิดขึ้นเป็นจริงกับบ้านเรา ไม่เช่นนั้นแล้วอะไรดีๆ ก็คงเกิดขึ้นกับเราหรือบ้านเมืองเราไปอีกมากแล้ว
สิ่งที่หนึ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าจะต้องกลับไปดูงาน Expo อีกครั้งหนึ่ง คือ ผมคงมีเวลาเหลือไม่มากนัก เลยวัยกลางคนมาแล้ว อยากจะทำอะไรให้เกิดเป็นรูปธรรมกับสังคมบ้าง Better City, Better Life เป็น Slogan ที่สะดุดความรู้สึกผมมาก เพราะสุดท้ายแล้ว เราคงอยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยสังคมเมืองที่ดีขึ้น อย่างน้อยก็เพื่อลูกหลานในอนาคต งาน Expo น่าจะเป็นแหล่งรวมภูมิปัญญาต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อชีวิตเราในปัจจุบันและอนาคต อีกทั้งท่านผู้ประกอบการทั้งหลายที่จะเดินทางไปกับผมด้วยนั้นก็ไม่ใช่คนธรรมดาเลย ธุรกิจของท่านเหล่านั้นก็ไม่ใช่เล็กๆ ผมว่าการเดินทางไป Expo ครั้งที่ 2 นี้คงไม่ได้เป็นการเดินทางท่องเที่ยวธรรมดาทั่วไปซึ่งเน้นไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ แต่การเดินทางครั้งนี้เป็นการเดินทางไปชมภูมิปัญญาของโลก ซึ่งไม่ใช่แค่ของคนจีนเท่านั้น ภายในเวลาอันจำกัดและพื้นที่ซึ่งจำกัด ดังนั้นผมว่าเราต้องเตรียมตัวและเตรียมใจก่อนที่จะเดินทาง หลายคนอ่านมาถึงตรงนี้อาจจะนึกว่า คงจะไม่สนุกแล้วล่ะมัง นั่นน่ะสิครับ คงไม่สนุกหรอกครับ แต่อาจจะได้อะไรดีๆ กลับมาสร้างประโยชน์ให้กับตัวเองและสังคม ถึงตอนนั้นก็ชีวิตอาจจะสนุกขึ้นมาก็ได้ครับ
ระหว่างที่เขียนบทความถึงตอนที่ 9 นี้ ผมได้มีโอกาสพบปะผู้คนที่ได้ไปงาน Expo มาแล้วหลายท่าน ต่างคนต่างมีมุมมองที่แตกต่างกันออกไป ข้อมูลข่าวสารที่แต่ละท่านได้รับนั้นก็แตกต่างกันออกไป น้อยคนนักที่จะมีแนวคิดเหมือนผม แต่ก็ไม่ใช่ไม่มีคนประเภทนั้นนะครับ ก็มีบ้าง ต้องมีอยู่แล้ว เพราะมีหลายๆ คนที่ไปด้วยกันครั้งที่แล้วกับผม ไปคราวนี้ก็ยังขอไปด้วยกันอีกเช่นกัน แต่ละคนคงจะมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป ดังนั้นตอนไปดูงาน Expo ครั้งหน้า ก็คงจะต้องแบ่งงาน แบ่งกลุ่มกันออกไปดูตามที่ตั้งใจกันไว้ แล้วคงจะต้องกลับมา Share กันด้วยในภายหลัง เพราะแต่ละบทความต่างๆ ตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่ผมได้อ่านนั้น มักเน้นกันที่การท่องเที่ยวและบรรยากาศภายในงานเป็นเสียส่วนใหญ่
แล้วคงจะมีคนถามว่า ทำไมผมจึงต้องไปอีกครั้งหนึ่ง คำตอบ คือ เพราะว่าตอนไปครั้งแรกไม่ได้เตรียมตัว และทราบข้อมูลเชิงลึกของงาน Expo ซึ่งไม่สามารถหาได้ในร้านหนังสือที่เมืองไทย ใน Internet ก็พอจะมีให้ค้นหาบ้าง เท่าที่ดูก็มี Website ของงาน Expo Online ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมที่สำคัญของงาน Expo นี้ด้วย การไปครั้งที่ 2 คงจะต้องกำหนดและวางแผนให้ดีกว่าเก่า เพราะรู้ถึงสภาพการเข้าชมแล้ว ส่วนผมเองก็คงจะไปดู Pavilion จีน และเรื่องราวของ Theme Pavilion ทั้งหลายให้ครบ และในส่วน ของ Urban Best Practice Area ที่ยังไม่ได้ดูอีกเยอะ และในส่วนของประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลายที่เคยได้แค่เดินผ่านไป ไปคราวนี้ใครอยากจะไปไหน เดี๋ยวผมหาข้อมูลให้ เตรียมแนวทางไว้ให้ก่อน แต่ก็ไม่แน่ว่า กว่าจะถึงวันงาน คนอาจจะเยอะกว่าเก่าอีกก็ได้ อากาศอาจจะไม่เป็นใจเหมือนคราวที่แล้วก็ได้
หลายคนอาจจะถามว่า แล้วจะดูแต่ละ Pavilion อย่างไร ต้องมีคู่มือครับ ต้องศึกษาบ้างก่อนไป ต้องรู้ก่อนว่า เขานำเสนอแนวคิดอะไร และมีวิธีการนำเสนออย่างไร อะไรเป็นหัวใจและจิตวิญญาณของการนำเสนอ และที่สำคัญตรงกับ Theme ของงานหรือไม่ ผมไม่ได้ให้คะแนนอะไรกับ Pavilion ไหนนะครับ พูดไว้เป็นแนวทางเท่านั้น ไหนๆ เสียเงินไปแล้ว ไปทั้งที่ก็ต้องให้คุ้มค่าหน่อย เพราะครั้งแรกที่ผมไป รู้สึกไม่คุ้มค่า ผมน่าจะเก็บเกี่ยวอะไรได้มากกว่านี้ (ไม่ใช่งานไม่ดี ไม่น่าสนใจ)
คนไทยเราไปดูงานต่างประเทศกันเยอะมากๆ ต้องถามว่ากลับมาแล้วทำอะไรกันได้บ้าง หรือเอาไว้ลงประวัติว่ามีประสบการณ์ไปดูงานมา ผมยังคิดอยู่เลยว่า คนจีน 100 คน ไปดูงานกับคนไทย 100 คน ไปดูงานกลับมา คนกลุ่มไหนสร้างประโยชน์ให้กับสังคมของตัวเองได้มากกว่ากัน จริงอยู่ครับ บางคนต้องการพักผ่อนและอยากสนุกสนาน เป็นแค่ไปเที่ยวกันอย่างเท่านั้นจริงๆ ที่จริงแล้วไม่ต้องมีงาน Expo เราก็สามารถไปท่องเที่ยว เที่ยวชมเก็บเกี่ยวหาความรู้พร้อมกับความสนุกสนานได้เช่นกัน ลองนึกดูสิครับว่า จะเที่ยวอย่างไรให้ได้ความสนุกและได้ประโยชน์ด้วยในงาน Expo
เห็นการท่องเที่ยวของชาติอื่นๆ แล้วก็น่าหนักใจสำหรับประเทศไทย เพราะว่าเราต้องอาศัยการท่องเที่ยวเป็นรายได้ก้อนใหญ่เข้าประเทศ มีสิ่งหนึ่งที่ไกด์ของจีนพูดให้ฟังว่า สถานที่ท่องเที่ยวของจีนในเซี่ยงไฮ้นั้น เป็นสิ่งที่สร้างใหม่ขึ้นมาทั้งนั้น ก็จริงนะครับ เพราะว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่เราได้ไปมานั้นถูกปรุงแต่งและสร้างขึ้นมาใหม่เพื่อดึงดูดใจนักท่องเที่ยว ดูดเงินจากนักท่องเที่ยวจากสิ่งปรุงแต่งขึ้นมาใหม่เหล่านี้นี่เอง ดังนั้นประเทศไทยเราเองคงจะต้องมานั่งคิดว่าจะสร้างสรรค์งานกันอย่างไรเพื่อที่จะให้ขายนักท่องเที่ยวให้ได้ ผมเองก็ไม่ค่อยรู้ถึงกระบวนการจัดการท่องเที่ยวในเมืองไทยสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติว่าเป็นอย่างไรบ้าง เพราะว่าไม่เคยเป็นนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทยเสียด้วย
ยิ่งตอนนี้เป็นยุคของการบูมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (Creative Economy) แนวคิดการสร้างสรรค์สิ่งอาจจะไปโดนใจใครบางคน แต่เราก็อย่าไปหลงกับการสร้างกระแสเหล่านี้นัก เพราะคิดว่า หากประเทศอย่างเกาหลีเขาทำได้ เราก็อยากทำบ้าง ผมว่าเราสามารถนำเอาเศรษฐกิจสร้างสรรค์มาใช้กับการท่องเที่ยวได้ ผมเห็นกิจกรรมหลายอย่างในประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ มากกว่าการใช้ของเก่า มีการใช้แนวคิดในการนำเสนอสิ่งใหม่ๆ แต่สิ่งที่สำคัญยิ่ง คือ การจัดการการดำเนินงาน (Operations Management) เพื่อให้เกิดคุณค่าเพิ่ม (Value Added) และการบำรุงรักษาให้คงอยู่ใช้ประโยชน์ได้ตลอดอายุการใช้งาน รวมทั้งการตลาดและการพัฒนาปรับปรุงให้กิจกรรมนั้นอยู่อย่างยั่งยืนหรือมีความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา หรือต้องเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง หรือมีการผสมผสานของความใหม่และความเก่าให้เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่ใช่ยัดเยียดความเป็นของโบราณแบบตรงๆ ให้ ก็อาจจะไม่เกิดความประทับใจกับนักท่องเที่ยวเท่าไรนัก
สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจอาจจะไม่ใช่เรื่องของการที่เราคิดอะไรออกหรือคิดได้ ความสร้างสรรค์ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย แต่การทำให้ความคิดสร้างสรรค์เกิดประโยชน์โดยตรงต่อผู้ใช้ต่างหาก นั่นจะเป็นตัวสร้างผลประโยชน์ในระยะยาว ถึงแม้เราจะมีความคิดสร้างสรรค์ แต่ถ้าทำให้เกิดเป็นจริง (Product Realization) ไม่ได้ ก็ไม่มีประโยชน์ มีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่บริษัทนั้นไม่ได้คิดเอง ไม่ได้ผลิตเอง แต่สามารถทำตลาดได้ผลกำไรมากมาย นั่นคือ การจัดการโซ่อุปทานนะครับ ตราบใดที่ท่านยังเข้าไม่ถึงผู้บริโภค ท่านไม่ได้เงินจากผู้บริโภคหรอกครับ เมื่อคิดได้แล้วหรือคิดอย่างสร้างสรรค์ได้แล้วต้องคิดอย่างสรรค์ตลอดกระบวนการโซ่คุณค่าและโซ่อุปทาน ต้องเอาให้ถึงมือผู้บริโภคเลย ไม่อย่างนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใด
ผมว่าผมก็ยังไม่มีคำตอบที่แน่ชัดว่าจะไปงาน Expo อีกครั้งทำไม แต่ผมว่าผมน่าจะค้นพบคำตอบในงาน Expo ว่าเราจะได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการไปดูงานในครั้งนี้ เราจะเข้าใจมากขึ้นหรือไม่ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยไม่การเปลี่ยนการปกครอง เขาทำได้กันอย่างไรบ้าง ไม่เหมือนบ้านเราที่บ้านเมืองเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปไหนเลย ล้าหลังจนดูไม่ได้เลยในมุมมองด้านความคิด ทั้งๆ ที่พยายามจะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารประเทศมาหลายครั้งแล้ว แต่ก็ยังไปได้ไม่ถึงไหน งาน Expo ของจีนครั้งนี้น่าจะสะท้อนวิสัยทัศน์ของผู้นำจีนในการจัดการประเทศได้เป็นอย่างดี ทำให้เราต้องหันมาดูประเทศไทยแล้ว ปล่อยให้ท่านผู้นำประเทศไทยจัดการประเทศอย่างที่เป็นอยู่ไม่ได้แล้ว เราคงจะต้องมาช่วยกันคิดมากๆ แล้วทำอะไรให้เกิดขึ้นบ้างล่ะครับ!
แล้วคุยกันใหม่ครับ
อ.วิทยา สุหฤทดำรง
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Shanghai Expo 2010 - Part 9 ทำไมต้องไป งานExpo อีกครั้งหนึ่ง
14:44
จีน, เซี่ยงไฮ้, ศรีปทุม, Shanghai, Shanghai Expo 2010, World Expo