(1 มิ.ย. 53) ผมเพิ่งกลับจากเซี่ยงไฮ้ จากภารกิจดูงานกับคณะนักศึกษาปริญญาโทการจัดการลอจิสติกส์และโซ่อุปทานของมหาวิทยาลัยศรีปทุม ยังคงมีควันหลงอยู่มากเลยทีเดียวครับ เพราะอยู่เซี่ยงไฮ้ถึง 6 วันเต็มๆ ผมเคยมาเซี่ยงไฮ้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ก็ต้องยอมรับว่าเซี่ยงไฮ้เปลี่ยนไป แต่คงจะไม่ใช่แค่เซี่ยงไฮ้ที่เปลี่ยน แต่เป็นประเทศจีนทั้งประเทศที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว จากประสบการณ์ที่ได้เดินทางไปประเทศจีนในหลายๆ เมืองในช่วงเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้นึกถึงประเทศไทยสุดที่รักของเราที่พยายามรักเอกราชมาโดยตลอดว่ากำลังทำอะไรกันอยู่
ที่จริงแล้วเป็นความผิดพลาดของผมที่ไม่ได้เตรียมตัวและหาข้อมูลสำหรับงาน World Expo 2010 ก่อนเดินทาง และที่สำคัญไม่ได้ Brief เรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญของงาน World Expo แท้ๆ ให้คณะนักศึกษาและผู้ร่วมคณะคนอื่นๆ ด้วย จึงทำให้การไปเดินงาน World Expo เกือบจะกลายเป็นการไปเดินงานวัดไปเสียนี่ แต่ผมก็เชื่อว่า ถึงแม้ว่าเราอาจจะไม่ได้มีความรู้เบื้องต้นกับงาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้มากนัก แต่พวกเราในคณะทุกคนก็ได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของการจัดงาน World Expo ร่วมกับคนจีนที่หลั่งไหลกันมาอย่างมากมาย เห็นความอดทนของการรอคิวเข้าแถวชมงานในแต่ละ Pavilion แค่นี้เราก็งงและสัมผัสกับความเป็นจีนที่แท้จริงได้
ที่สำคัญแต่ผมกลับรู้สึกกลัว เพราะตั้งแต่ได้รู้จักและสัมผัสกับความเป็นประเทศจีนแล้ว เขาพัฒนากันอย่างจริงๆ จังๆ มีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและแน่นอน ที่สำคัญ พวกเขาเรียนจากตำราเดียวกันกับเรา เพียงแต่พวกเขามีทรัพยากรอย่างพวกเรามี เราเป็น 20 เท่าของเรา เมื่อผมไปเมืองจีนทุกครั้ง จะพยายามไปร้านหนังสือ หลายคนถามว่า “ไปทำไมมีแต่หนังสือจีน อ่านไม่ออก” ผมไปดูว่าพวกเขาอ่านหนังสืออะไรกันบ้าง เพราะมีหลายเล่มที่เขียนชื่อหนังสือเป็นภาษาอังกฤษด้วย ไปดูสิว่า คนจีนอ่านหนังสือแปลจากหนังสือฝรั่งอะไร รวมทั้งอ่านหนังสือฝรั่งอะไรบ้าง เหมือนเมืองไทยบ้างไหม พี่น้อง... สิ่งเหล่านี้ล่ะครับ ที่ช่วยจีนสร้างชาติได้ คนจีนไม่สามารถตรัสรู้เอง แต่ได้มาจากการศึกษาและทดลองทำตามวิสัยทัศน์และความมุ่งมั่น ผมไปร้านหนังสือขนาดใหญ่ในเซี่ยงไฮ้อาคาร 8 ชั้น ที่ทั้งร้านขายหนังสืออย่างเดียว ใกล้ๆ People Square ผมเห็นผู้ใหญ่และเด็กจีนทั้งยืนและนั่งอ่านหนังสือตามที่ต่างๆ ในร้าน นั่งกับพื้นบ้าง นั่งตามบันไดบ้างด้วยความสนใจในวิทยาการต่างๆ ที่จะช่วยพวกเขาสร้างชาติ แม้ภาพเช่นนี้อาจพบได้บ้างในเมืองไทย แต่ผมว่าน้อยกว่าและเทียบกันไม่ได้ครับ พวกเราคนไทยทำอะไรกันอยู่ เรามีชาติไทยที่เป็นเอกราชมานานแสนนาน คนอื่นๆ เขาสร้างชาติกัน แต่เราช่วยกันทำลายชาติ ด้วยการไม่สนใจใฝ่หาความรู้กัน ทั้งยังอวดดีอวดเก่งกันเอง ประเภทโง่แล้วอวดฉลาด มอมเมาประชาชนด้วยแนวคิดที่..... ทั้งๆ ที่ไม่เคยรู้ว่าคนทั้งโลกพวกเขามองประเทศไทยกันอย่างไร
มุมมองแรกๆ ของงาน World Expo คือเห็นคนจำนวนมากมาย การเข้าคิวรอคอยที่ยาวนาน รวมทั้งความยากลำบากต่างๆ ที่จะทำให้เราไม่ได้รับความสะดวกสบาย ถึงแม้ว่าเพื่อนๆ เรา (เช่น คุณสัญญวิทย์ Blue and White) ที่ได้ไปงาน Expo มาแล้วได้เล่าให้ฟัง เราก็ยังไม่หวั่นที่จะไปลุยงาน ไปสัมผัสเหตุการณ์ด้วยตัวเอง แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าคือการหาข้อมูลเบื้องต้นแต่ละประเด็นของงาน World Expo ต่างหาก นั่นสำคัญมากกว่านัก ผมขาดการเตรียมตัวในเรื่องเหล่านี้เป็นอย่างมาก เพราะความไม่รู้ (โง่) ที่ว่าไม่รู้หรือโง่นั้น คิดว่ารู้แล้วหรือไม่พยายามที่จะรู้ ก็เลยทำให้การไปชมงาน Expo ในครั้งนี้ถือว่าขาดทุน หรือว่าไม่คุ้มเลย ถึงขั้นว่าอาจจะต้องกลับไปดูอีกครั้งภายใน 4-5 เดือนข้างหน้านี้ ที่จริงแล้ว ถ้าเราหาดูใน WiKi ใน Web สักหน่อย ศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ของงาน Expo รับรองว่าผมหรือทุกท่านจะดูงาน Expo อย่างสนุกสนานและมีคุณค่ายิ่งขึ้นไปอีก
ผมโชคดีที่ไปได้ Official Guide Book สำหรับงาน World Expo ระหว่างการไปเที่ยวชม Pearl Tower ก่อนจะเข้าชมงาน World Expo 1วัน จากร้านขายของที่ระลึก (ผนวกกับข้อมูลที่ทางทัวร์ผู้จัดมีรายละเอียดเกี่ยวกับงาน Expo ไว้บ้างเล็กน้อย) ทำให้ผมเข้าใจอะไรๆ ต่างเกี่ยวกับงานนี้เพิ่มมากขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะ Slogan ที่ว่า Better City, Better Life ทำให้ผมเข้าใจ Theme หรือแนวคิดของการจัดงานมากยิ่งขึ้น ทำให้การเข้าชมงานมีรสชาดมากยิ่งขึ้น
นอกจากการเตรียมความพร้อมของสภาพร่างกายในการเดินและยืนรอ ยังต้องเตรียมสุขภาพจิตในการรอเข้าคิว และระวังไม่ให้คนจีนแซงคิวหน้าตาเฉย ผมว่าเพื่อนร่วมทัวร์หลายคนคงจะได้ประสบมาบ้าง วัตถุประสงค์ของงานนี้คงไม่ได้เป็นการขายของหรือขายการท่องเที่ยวของแต่ละประเทศ แต่เป็นงาน Expo ของโลก คนไทยอาจคุ้นเคยกับคำว่า Expo ว่าเป็นงานมหกรรมที่มีการขายของหรือสินค้าเป็นส่วนใหญ่ แต่งาน Expo นี้ ไม่ใช่การขายสินค้า แต่เป็นการขาย Ideas ต่างๆ ของแต่ละประเทศและองค์กร บริษัทต่างๆ เข้าร่วมงานภายใต้ Slogan : Better City, Better Life เมืองที่ดีกว่า นำสู่ชีวิตที่ดีกว่า ดังนั้น ผู้ที่เข้าร่วมงาน Expo ในแต่ละ Pavilion ก็ควรจะนำเสนอหรือแสดงแนวคิดหรือขาย Ideas ที่เกี่ยวกับ Better City, Better Life ผมคิดว่าเป็นการนำเอาประเด็นของสิ่งแวดล้อมหรือ Global Warming มาทำให้เกิดเป็นรูปธรรม ด้วยการนำเสนอว่า การรวมตัวของผู้คนเป็นเมือง (City) ย่อมมีผลต่อชีวิตผู้คน ผมก็เลยถึงบางอ้อ ทำให้เกิดความตื่นเต้นในการเข้าชมเป็นอย่างยิ่ง แถมยังทำให้เกิดแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตในอนาคตข้างหน้า การศึกษา ทำวิจัย หรือแม้กระทั่งธุรกิจที่เกี่ยวกับแนวคิดของ Green หรือ Sustainable Society สังคมสีเขียวหรือสังคมที่ยั่งยืน ดังนั้น ผมว่าควรจะได้เห็นการพัฒนาการต่างๆ ด้านแนวคิดในแต่ละ Pavilion ระหว่างไปชมงาน Expo ในวันรุ่งขึ้น
และแล้วการเข้าชมงาน Expo ในวันแรกของการชมงานก็เป็นไปตามที่คุณสัญญวิทย์ได้เขียนเล่าเหตุการณ์การเข้าชมงานให้คณะทัวร์ก่อนจะเดินทางไปเซี่ยงไฮ้ซึ่งเสมือนเป็นการขู่กันไว้ก่อน แต่พวกเราก็ไม่หวั่น คือไม่มีทางเลือก มาถึงที่แล้วนี่ ทุกคนต้องรักษาพื้นที่ส่วนหน้าของตัวเองไว้อย่างแข็งขันเพื่อให้คนมาแซงคิวได้ พยายาม “กระชับวงล้อม” ไว้ไม่ให้คนจีนหน้าไหนเข้ามาแทรกกลางเป็นอันขาด นี่ถ้าคนจีนอ่านภาษาไทยออก ผมจะเขียนป้ายไว้ว่า “เขตกระสุนจริง” หรือไม่ก็เขียนว่า “Thailand Red Shirt” ผมว่า คนคงไม่กล้ามายุ่งแน่นอน (ล้อเล่นนะครับ) พวกเราออกเดินทางจากโรงแรมที่อยู่ไกลจากเมืองมากพอสมควร พอมาถึงบริเวณงานก็สายพอควร กว่าจะได้เข้าถึงพื้นที่ที่ต้องการก็เกือบเที่ยงแล้ว พวกเราจึงมีเวลาประมาณ 6 ชั่วโมงในการเดินๆ ยืนๆ นั่งๆ แต่คงไม่มีใครถึงกับนอน พร้อมกับคนจีนส่วนใหญ่เป็นแสนๆ คนในบริเวณงาน แค่เดินไปรอบๆ เพียงบางส่วนของงานโดยไม่ต้องแวะหรือเข้าคิวตาม Pavilion ใหญ่ก็หมดเวลาไป 6 ชั่วโมงแล้ว ผมเดินอย่างเดียวไปรอบๆ ได้แค่ 1 ใน 3 ของพื้นที่เท่านั้นเอง แค่ได้สัมผัสบริเวณรอบๆ กับบาง Pavillion ที่ไม่ต้องเข้าคิวเลยเท่านั้นเอง แต่ขอบอกว่าอากาศดีมากๆ อยากให้อากาศเมืองไทยเป็นอย่างนี้มาก สุดท้ายพวกเราใช้เวลากัน 6 ชั่วโมงในการชมงาน บางคนมีเป้าหมายที่ประเทศใหญ่ เช่น จีน หรือญี่ปุ่น ก็ต้องเข้าคิวตามระเบียบและได้เดินชมงานน้อยลงไป จากการเดินและการต่อคิวเป็นเวลานานทำให้พลพรรคกว่าครึ่งของทัวร์ครั้งนี้ต้องขอถอนตัวในการเข้าชมงาน Expo วันที่สองจากความทรมานในเดินชมงาน บางคนอุตส่าห์เตรียมเก้าอี้ขนาดกระทัดรัดเพื่อไว้นั่งระหว่างเข้าคิว แต่ก็ได้ใช้นั่งระหว่างทาง ตอนเดินระหว่าง Pavilion ของประเทศหนึ่งไปยังอีกประเทศหนึ่ง ผมเองก็เกือบจะถอดใจเหมือนกัน แต่ใจและเท้าก็ยังพอจะไปไหว ผมสงสัยว่าเนื่องจากงานนี้ไม่ค่อยมีอะไรขายหรือเปล่า ก็เลยไม่มีกำลังใจเดิน ไม่เหมือนกับที่เราเดินซื้อของที่ Impact เมืองทองธานี ตั้งแต่เช้ายันเย็น พวกเราก็ไม่เคยบ่นกันใช่ไหมครับ บังเอิญว่างาน Expo ที่เซี่ยงไฮ้นี้ไม่มีของขายเลย มีแต่ของที่ระลึก (ซึ่งค่อนข้างแพง) สุดท้ายพวกเรา 40 กว่าชีวิตก็ซมซานกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม เพื่อวางแผนในการเดินชมงานในวันต่อมา
สำหรับการชมงานในวันที่ 2 นี้ มีการเปลี่ยนแผนพอสมควร หลังจากการเดินชมงานในตอนกลางวันในวันแรก แม้ว่าอากาศจะดี ไม่ร้อนเลย แต่คนเยอะมากและเป็นวันเสาร์ด้วย แล้ววันที่ 2 ที่จะเข้างานเป็นวันอาทิตย์ด้วย พวกเราไม่อยากจะนึกภาพการเข้าคิวรอและคนจำนวนมากๆ สุดท้ายพวกเราก็เลยตัดสินใจ สร้างแรงบันดาลและเป็นการตัดไม้ ข่มนาม ในการเดินงาน Expo ด้วยการไปShopping กันทั้งวันให้สบายใจเสียก่อน วันนั้นเราไปตลาดของ Copy กันแต่เช้า เรียกว่าเป็นตลาดเกาหลี และแล้วเราก็ค้นพบงาน Expo ขนานแท้แบบเราๆ คือ มีทุกยี่ห้อ จากทุกประเทศ ต่อรองกันอย่างสบายใจ แถมไปเดินร้านขายสินค้าใต้ดินแถบ People Square อีกแห่งหนึ่ง ปรากฎว่าพลพรรคได้กำลังใจขึ้นมาอีกมาก หลังจากช้อปกันมาทั้งวันแล้วไม่น่าเชื่อครับว่ามีพลพรรคเปลี่ยนใจมาร่วมเข้าชมงาน Expo ในวันที่ 2 ในตอนกลางคืนอีกหลายคนทีเดียวครับ ทั้งๆ เดิมได้ตัดสินใจเลิกเดิน Expo กันไปแล้ว กำลังใจนั้นก็ได้มาจากการที่ได้ไป Shopping นั่นเอง ส่วนบางท่านไม่ไหวกันจริงก็กลับไปพักผ่อนที่โรงแรมกันต่อไป
ขอจบตอนที่ 1 ตรงนี้นะครับ แล้วจะมาเล่าให้ฟังต่อว่าวันที่ 2 เป็นอย่างไร
วันจันทร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Shanghai Expo 2010 - Part 1
13:57
จีน, เซี่ยงไฮ้, ศรีปทุม, hai Expo 2010, Shanghai, Shanghai Expo 2010, World Expo