ผมเห็นข่าวงาน World Expo 2010 ที่เซี่ยงไฮ้ในหน้าหนังสือพิมพ์และทีวีในเมืองไทยมาตลอด ผมรู้สึกว่าเรายังไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ของงาน World Expo นี้กันเท่าไร  ผมยังได้ยินคนพูดถึงงานนี้กันอย่างกว้างขวาง บางหน่วยงานบางบริษัทได้จัดเตรียมให้พนักงานเดินทางไปดูงาน World Expo กัน บ้างก็ไปเที่ยวกันจริงๆ บ้างก็ไปทำงานกันจริงๆ จังๆ   ข่าวในโทรทัศน์บอกว่า “ศาลาไทย” หรือ “Thailand Pavilion” ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ติด 1 ใน 7 ของ Pavilion ที่มีผู้เข้าชมสูงสุด  มีการกล่าวว่า  “น่าภูมิใจที่เราจะได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไทยต่อสายตาชาวโลก”    ผมกลับเห็นแย้งว่าเราอย่านึกถึงงานนี้ว่าเป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวเป็นอันขาด ในมุมมองของผมนั้น  มันเป็นคนละเรื่องกัน  ถ้าจะให้ผมพูดต่อไปก็คือ ถ้าอยากจะแสดงให้เห็นถึงความเป็นไทย ก็อย่าแสดงให้เห็นเพียงศิลปะวัฒนธรรมไทยทั่วไปที่เราพยายามจะบอกกับชาวโลกว่าของเราดีนักหนา สิ่งนันคงขายได้ไม่นาน  มันคงเป็นเพียงประสบการณ์แค่ครั้งเดียวก็เพียงพอ ใครจะมาชื่นชมเรามากมายตลอดทั้งชีวิตของเขา  เขาก็มีชาติบ้านเมืองของเขาและวัฒนธรรมของเขาเองให้ชื่นชม  เราคิดกันได้แค่นี้จริงๆ หรือครับ?   
ถ้าเราจะขายวัฒนธรรมกันจริงๆ แล้ว ก็ต้องเอาอย่างอเมริกัน ญี่ปุ่น เกาหลี  พวกเขาขายวัฒนธรรมกัน “ทุกๆ วัน” สร้างใหม่ขึ้นมาเลย แล้วก็ขายได้เลย  พวกนี้ไม่ต้องมีชาติหรือประวัติศาสตร์ให้รุ่งเรืองในอดีต  เอารุ่งเรืองร่ำรวยในวันนี้เลย  เอาเงินจากกระเป๋าเรานี้เอง   พวกนี้เป็นนักขายกันจริงๆ  ขายได้แล้ว ขายได้อีก  ขายกันแบบเป็นมวลชนหรือเป็น Mass    หากไม่เชื่อ ให้ลองส่องกระจกตัวเองว่าในตัวเราเองมีความเป็นอเมริกัน ญี่ปุ่น เกาหลีมากน้อยเพียงใด  นั่นคือ การขายวัฒนธรรม   สรุปแล้ว ผมว่าเราไม่รู้จักหรือไม่เข้าใจคำว่าวัฒนธรรมเลย  เราน่าจะขายวัฒนธรรมไม่เป็น  แล้วหลงไปว่าตัวเองดีนักหนา  มีวัฒนธรรมที่ดี  คนทั่วโลกน่าจะเอาไปใช้ได้ ซึ่งไม่จริงเลย  เขาแค่ชื่นชม “ชั่วครั้งชั่วคราว” เท่านั้น
สำหรับงาน World Expo 2010 ที่เซี่ยงไฮ้ ต้องขอบอกก่อนว่า “ไม่มี” การขายสินค้านะครับ  บางคนจะไปดูงานอยู่แล้ว  ยังถามอยู่เลยว่ามีสินค้าอะไรน่าจะนำกลับมาขายเมืองไทยได้บ้าง    มีแต่แนวคิดที่นำกลับมาได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายครับ เสียแต่ค่าผ่านประตู แต่เราจะนำแนวคิดหรือถอดแนวคิดจากสิ่งที่ประเทศต่างๆ ที่นำเสนอได้หรือไม่  สำหรับศาลาไทยนั้นมีชื่อแนวคิดคือ “ความเป็นไทย  วิถีแห่งความยั่งยืนของชีวิต (Thainess : Sustainable Way of Life)”  ดูแค่ชื่อแล้วผมก็ชอบครับ  แต่ต้องไปดูเอง เพราะชื่อแนวคิดหรือ Theme ที่ตั้งขึ้นมานี้สอดคล้องไปกับ Theme ของงาน  แต่ทำไมเวลาประชาสัมพันธ์หรือคนที่เข้าไปดูแล้ว มักจะออกมาด้วยความชื่นชมว่า “เป็นการประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่ดี”  ซึ่งผิดวัตถุประสงค์ของการจัดงานมากๆ เพราะไม่ใช่เรื่องการท่องเที่ยว   อาจเป็นเพราะว่าคนที่เข้าไปชมงานอาจจะยังไม่เข้าใจแนวคิดหลักของการจัดงาน World Expo ที่มีแนวคิด Better City, Better Life  แม้แต่คนไทยที่เข้าไปดูแล้วยังไม่เห็นแก่นหรือ Theme ของการนำเสนอ  อาจจะเป็นที่การนำเสนอเองด้วยหรือไม่  แต่ผมว่าไม่น่าจะใช่   คงเป็นเพราะผู้ที่เข้าชมไม่ได้รับข้อมูลและไม่ได้ทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของการจัดงาน World Expo
ที่จริงแล้ววิถีไทยของเราแต่โบราณก็มีแนวทางการดำรงอยู่ของความเป็นเมืองและสังคมที่สงบและเรียบง่าย เพียงแต่เราจะต้องเข้าใจและถอดรหัสวัฒนธรรมการดำรงชีวิตอยู่ของคนไทยออกมานำเสนอสำหรับผู้ที่เข้าชม มองหรือศึกษาให้เห็นแก่นหรือแนวคิดหรือความเป็นนามธรรม   เพื่อว่าผู้ที่เข้าชมสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หรืออาจจะเป็นการสร้างความมั่นใจในการลงทุนกับไทย หรือเกิดความมั่นใจในความเป็นไทยในฐานะที่พวกเขาจะต้องเข้ามาติดต่อการค้ากับไทยหรือใช้สินค้าไทยในอนาคต    ถ้าวิถีไทยถูกถอดรหัสจากความเป็นไทยในเชิงรูปธรรมสู่ความเป็นนามธรรม และสามารถนำออกไปใช้ในบริบทอื่นๆ ของประเทศต่างๆทั่วโลกจนได้เป็นรูปธรรมต่างๆที่มีประโยชน์ต่อพวกเขา   ผลตอบแทนจะกลับเข้ามาสู่ประเทศในรูปแบบต่างๆ ในอนาคตได้   ตัวอย่างที่ดีคือ “เศรษฐกิจพอเพียง” ที่มีความเป็นนามธรรมมาก  (แต่หลายคนตีความผิด) ซึ่งที่จริงสามารถนำไปประยุกต์ได้ในหลายๆ บริบท
งาน Expo ที่เกิดขึ้นมาในโลกนี้มีอยู่ 2 ประเภท คือ Registered และ Recognized  งาน Expo ประเภท Registered บางครั้งเราก็เรียกว่า Universal Expositions  ซึ่งมีนิทรรศการแสดงแนวคิด (Theme) ต่างๆรวมทั้งแนวคิดที่ใหม่ๆ หลากหลายออกไป ระยะเวลาการจัดงาน Expo ประเภทนี้ คือ  6 เดือน   และช่วงห่างของการจัดงาน Registered Expo คือ 5 ปี  ส่วนงาน Expo ประเภท Recognized หรือเรียกอีกอย่างว่า Specialized Expo ซึ่งจะเป็นงาน Expo ที่เจาะลึกเป็นเรื่องๆ ไป โดยปกติงานประเภทนี้จะมีระยะเวลาในการจัดงานประมาณ 3 เดือน  และจะจัดในช่วงระยะห่าง 5 ปี ของการจัดงาน Registered Expo      งาน World Expo  2010 ที่เซี่ยงไฮ้ครั้งนี้  ถือว่าเป็นงาน Registered Expo  ซึ่งสังเกตได้จากปีที่ลงท้ายด้วย 0 หรือ 5 (เช่น ค.ศ. 2010, 2015)
หลายคนอาจจะคิดว่าประเทศไทยน่าจะจัดประเภทนี้ได้บ้าง เราก็ได้เคยเป็นเจ้าภาพการจัดงานใหญ่ๆ ระดับโลกมาหลายงาน   ลองมาดูกันครับว่าประเทศจีนเขาทำกันอย่างไร   เริ่มที่เมื่อ 20 กว่าปีเมื่อปี 1985 ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้ของการจัดงาน  ถึงแม้ว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรือไม่มีการดำเนินการอะไรต่อในปีต่อมา  แต่ประเด็นของการเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน  World Expo ก็ยังอยู่ในวาระเสมอ  จนมาถึงปี 1993 รัฐบาลเซี่ยงไฮ้ได้ทำการศึกษาความเป็นไปได้อีกครั้งหนึ่งสำหรับการเป็นเจ้าภาพงาน World Expo นี่
ในปี 1999 ประเทศจีนได้เป็นประเทศแรกที่ประกาศตัวเสนอเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo ในปี 2010  และในปีนั้น ประเทศจีนก็ได้มีโอกาสที่ส่งตัวแทนเข้าไปอยู่ในคณะกรรมการบริหารของ BIE (International Exhibition Bureau)  ในปี 2000  ทางการจีนได้จัดตั้งคณะกรรมการเพื่อนำเสนอการเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo และประเทศจีนเป็นประเทศแรกที่ได้ยื่นเอกสารข้อเสนอการเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo 2010 ต่อ BIE เมื่อวันที่ 30 มกราคม 2002
ตั้งแต่งาน Expo ครั้งแรกที่กรุงลอนดอนในปี 1851  การจัดงาน World Expo 2010 นี้นับเป็นครั้งแรกที่มี 5 ประเทศเข้ามาแข่งขันเพื่อยื่นข้อเสนอเป็นเจ้าภาพจัดงานในเวลาเดียวกัน จึงเป็นข้อพิสูจน์ได้ว่างาน World Expo มีเสน่ห์และมีอิทธิพลต่อประชาคมโลกเพียงใด  ในวันที่ 3 ธันวาคม 2002 เป็นวันที่เมืองเซี่ยงไฮ้ได้รับเลือกเป็นเจ้าภาพในการจัดงาน ประเทศจีนจึงถือเป็นประเทศแรกของกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนาที่ได้เป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo
ประธานาธิบดี หูจินเทา ได้กล่าวไว้ว่า  “เราควรจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดของประเทศและเก็บเกี่ยวภูมิปัญญาของโลก เพื่อที่จะทำให้ งาน Expo ที่เซี่ยงไฮ้เป็นงาน Expo ที่ประสบผลสำเร็จ และเป็นงาน Expo ที่มิอาจลืมเลือนได้”  หลังจากนั้นทางการจีนได้จัดตั้งหน่วยงานที่ชื่อ สำนักงานประสานงาน Shanghai World Expo  เพื่อเป็นหน่วยงานในการวางแผนและดำเนินงานเพื่อให้เกิดเป็นงาน World Expo ในวันนี้  
เมื่อเราได้ทราบถึงขั้นตอนและความพยายามในการจัดงาน World Expo ของประเทศจีนแล้ว ทำให้เราเห็นพลังและแรงใจรวมทั้งจิตวิญญาณของความเป็นจีนที่ต้องการแสดงให้ทั้งโลกได้เห็น  และเราก็ได้เห็นมาผลแล้วในการจัดงานกีฬาโอลิมปิค 2008 ที่ผ่านมา  นับว่าเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายเลยที่การวางแผนและการดำเนินตามแผนงานที่วางไว้เป็นเวลานานนับสิบปีจะมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่ภายใต้การบริหารงานของหลายรัฐบาลหรือผู้นำหลายคนตามวาระการบริหาร 
งาน World Expo ที่เซี่ยงไฮ้คาดหวังว่าจะมีผู้เข้าชมกว่า 70 ล้านคนตลอดระยะเวลาจัดงาน 6 เดือน (เขาว่ากันว่า Disney Land 10 แห่งทั่วโลก มีผู้เข้าชมเกือบ 120 ล้านคน หรือไม่ถึง 60 ล้านคนในระยะเวลา 6 เดือน ลองเปรียบเทียบกันนะครับ) รวมทั้งมีประเทศที่เข้าร่วมกว่า 200 ประเทศ  ซึ่งคาดว่าตัวเลขหรือจำนวนต่างๆ ในงาน Expo ครั้งนี้จะเป็นประวัติการณ์ที่จะทำลายสถิติของงาน World Expo ทุกครั้งที่ผ่านมา  ผมได้อ่านคำกล่าวของประธานาธิบดีจีนที่ผมได้คัดลอกมาก่อนหน้านี้แล้ว ผมรู้สึกบอกไม่ถูก ประเทศจีนผู้ยิ่งใหญ่ไม่ได้บอกตัวเองเลยว่าตัวเองเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่  ทั้งๆ ที่มีวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน  แต่ท่านผู้นำกลับบอกว่า  “ให้เราทุ่มเททรัพยากรทั้งหมดในการเก็บเกี่ยวภูมิปัญญาของโลก”  ก็เป็นอย่างที่ผมได้วิเคราะห์ไปในตอนต้นๆ (ตอนไหนก็จำไม่ได้แล้วครับ) ว่า ประเทศจีนได้นำเอาภูมิปัญญาของโลกทั้งโลกมาไว้ที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อให้คนจีนและคนอื่นๆ ทั้งโลกได้ศึกษา  เพื่อค้นหาตัวตน และพัฒนาตัวตนขึ้นใหม่สำหรับอนาคต เพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติและอย่างยั่งยืน  
ดังนั้นเราจะเห็นได้ว่า งานใหญ่ๆ อย่างนี้จะต้องอาศัยภาวะผู้นำและกระบวนการจัดการที่เป็นระบบเพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้ โดยเฉพาะเป้าหมายทางสังคม   คณะกรรมการจัดงานคงจะต้องอาศัยการประสานงานจากทุกฝ่าย เพื่อสร้างสรรค์ วางแผน และดำเนินงานเพื่อมาเป็นงาน World Expo ที่เราได้ไปชมมา (หรือกำลังจะไปชม)  เรามาลองนึกดูว่า ถ้าเราหรือประเทศไทยเราจะจัดงานประเภทนี้ เราจะทำอย่างไร  ผมคิดว่าเรามีศักยภาพพอ มีความรู้และมีประสบการณ์แต่ในเพียงระดับหนึ่ง  อะไรควรจะเป็นตัวผลักดันให้เกิดผลสำเร็จ อะไรเป็นสิ่งที่ประเทศจีนมี แต่เราไม่มี และอะไรที่ทุกประเทศสามารถมีได้   ประเทศไทยอาจจะไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป็นเจ้าภาพจัดงาน World Expo  หรือแม้แต่กีฬาโอลิมปิค แต่เราก็สามารถที่จะเข้าร่วมงาน World Expo ได้ แต่คงจะไม่ใช่ ไปแสดงสินค้าหรือไปแสดงความเป็นไทย และคิดว่าตัวเองดีกว่าชาติอื่นๆ  แต่เราจะต้องไปแสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาไทยเพื่อที่จะแบ่งปันให้กับชาวโลกเพื่อให้เกิดพัฒนาอย่างยั่งยืนร่วมกัน  และขณะเดียวกันก็สร้างความพร้อมของตัวเองและเปิดใจด้วยความถ่อมตัวในการไปเรียนรู้ภูมิปัญญาของโลกที่ทุกประเทศนำมาเสนอ  
ดังนั้นเราจะไปงาน World Expo ทั้งที ก็คงจะไม่ได้แค่เตรียมเงินไป Shopping กันอย่างเดียวนะครับ แต่เราจะต้องความพร้อมทางด้านปัญญาและความใจกว้างในการเรียนรู้ภูมิปัญญาของโลก โดยเฉพาะแนวคิดของการพัฒนาเมืองเพื่อชีวิตที่ดีกว่า  ซึ่งแนวคิดนี้จะมีผลต่อการดำเนินชีวิตของเราโดยตรงในปัจจุบันและอนาคต
แล้วคุยกันใหม่ครับ!
อ.วิทยา  สุหฤทดำรง
นำ ประสบการณ์ เที่ยว Shanghai Expo 2010 มา เล่า  แนะนำ เดินชม อย่างไร ไปตอนไหน น่าสนใจ
วันพุธที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2553
Shanghai Expo 2010 - Part 8 กว่าจะมาเป็นงาน World Expo 2010: จากท่านผู้นำประเทศ สู่ท่านผู้ชมงาน
13:23
  จีน, เซี่ยงไฮ้, ศรีปทุม, Shanghai, Shanghai Expo 2010, World Expo
  
 






 
 
 
