วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

Shanghai Expo 2010 - Part 2

Blog นี้ต่อด้วยเรื่องการเดินงาน World Expo วันที่ 2 ที่เริ่มต้นวันด้วยการ Shopping การเติมพลังใจสำหรับการเดินงาน Expo ด้วยการ shopping ของผมเป็นการไปเดินหาหนังสือเกี่ยวกับงาน Expo จากร้านหนังสือ 8 ชั้นใกล้ People Square ผมไปพบหนังสืองาน Expo อยู่หลายเล่ม แต่เป็นภาษาจีน หาภาษาอังกฤษไม่ค่อยพบเท่าใดนัก แต่บังเอิญโชคดีที่มีหนังสือภาษาอังกฤษที่เกี่ยวกับงาน Expo อยู่หนึ่งเล่มชื่อว่า The World Exposition Reader ซึ่งพิมพ์มาตั้งแต่ปี 2008 นี่แสดงว่าทางจีนให้ความสำคัญและพยายามเผยแพร่ความรู้เรื่องงาน Expo หนังสือเล่มนี้เล่าประวัติต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการจัดงาน Expo ตั้งแต่ปี 1851 ซึ่งผมเองก็เพิ่งทราบ แต่ก็ไม่มีเวลาอ่านมากนัก เพราะต้องไปเข้างาน Expo ในช่วงเย็น อากาศตอนเย็นนั้นเย็นเป็นใจมากๆ ลมพัดเย็นพอเบาๆ เย็นกว่าหน้าหนาวเมืองไทยอีก คือประมาณ 18-19 องศาเซลเซียส และไม่ผิดหวังครับ ตอนกลางคืน Pavilion ต่างๆ สวยกว่าตอนกลางวันมาก แต่ละประเทศก็มีลูกเล่นในการใช้แสงสีต่างๆ กันออกไปในการประดับประดา Pavilion ของตน สรุปแล้วถ้าใครมาเที่ยวงาน Expo ที่ เซี่ยงไฮ้จะต้องได้ไปเดินทั้งภาคกลางวันและภาคกลางคืน กลางวันคนเยอะมาก คิวยาวทุกอย่าง ทั้งต่อคิวเข้า Pavilion ต่อคิวเข้าห้องน้ำ ต่อคิวซื้ออาหาร ต่อคิวเข้าร้านขายของที่ระลึก ฯลฯ แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศ แต่กลางคืนสวยกว่ากลางวันมาก แล้วคนก็น้อยกว่ามากด้วย ไม่ผิดหวังครับ เป็นที่น่าเสียดายสำหรับพลพรรคที่พ่ายแพ้พลังขาของตนเอง ไม่ได้ไปดูงาน Expo ตอนกลางคืน

พวกเรามารวมตัวกันเพื่อที่จะเข้าชมงานในตอนเย็นประมาณ 5 โมง ตามปกติแล้วประตูงาน Expo จะเปิดให้เข้าได้ถึง 3 ทุ่ม และสามารถเดินอยู่ในบริเวณงานได้จนถึงเที่ยงคืน พวกเราขาลุยในวันที่ 2 ได้ชักภาพไว้เป็นหลักฐาน แล้วก็แยกย้ายกันไปชมงาน Expo ตามที่ต้องการ ผมลืมเล่าไปว่าในวันแรกเราเข้าประตูงานจากฝั่งเมืองเก่า แล้วข้ามเรือไปยังฝั่งผู่ตงซึ่งเป็นฝั่งเมืองใหม่ (ดูจีนสิ จัดงานทั้งที่ต้องให้มีแม่น้ำคั่นกลาง ต้องข้ามเรือไปๆ มาๆ) อย่างไรก็ตาม ที่จริงแล้วประตูเข้างาน Expo มีอยู่หลายประตูทั้งจากเมืองเก่าและเมืองใหม่ หลังจากที่ผมได้อ่าน Official Guidebook ได้รู้ซึ้งถึง Theme ของงาน Expo คือ เรื่องความเป็นอยู่ของเมือง Better City, Better Life ผมจึงได้เลือกที่จะเข้าชม Pavilion ที่เป็น Theme ของงาน คือ Theme Pavilion, Urbanian Pavilion, Pavilion of City Being, Pavilion of Urban Planet, Pavilion of Footprint, Pavilion of Future รวมทั้ง UPBA (Urban Pavilion Best Practice Area) ประเด็นเรื่องความเป็นอยู่ของมนุษย์ในอนาคตที่จะต้องมาอยู่รวมกันเป็นสังคมเมืองจะเป็นอย่างไรบ้าง พวก Pavilion ของประเทศต่างๆ ก็เลยไม่อยู่ในความสนใจของผมนัก และด้วยเหตุผลที่คนเข้า Pavilion ของประเทศต่างๆ เยอะมาก ผมจึงเลือกเน้นการชมงาน Expo ตาม Theme ของงาน แต่ที่จริงแล้ว Pavilion ต่างๆ ของประเทศที่เข้าร่วมงานก็พยายามที่จะนำเสนอแนวคิดต่างๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกับ Theme ของงาน Expo ปีนี้อยู่แล้ว

ในการเดินชมงานวันที่ 2 นี้ผมใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงในฝั่งเมืองเก่าที่แสดงผลงานทางด้าน Technology และ Innovation และผลงานของบริษัทใหญ่ๆ ในโลกที่เข้าร่วมงาน และบาง Theme Pavilion ผมได้เข้าไปที่ UBPA Pavilion of Future แต่ไม่สามารถเข้า Footprint ได้ เพราะว่าเวลาหมดเสียก่อน ต้องกลับมาที่นัดหมายในเวลา 3 ทุ่ม ภายในเวลา 4 ช.ม. ผมเดินไปในบริเวณ Section D และ E ที่อยู่ฝั่งเมืองเก่า Puxi ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 273, 000 Sqm อย่างผ่านๆ ไม่ได้พินิจพิเคราะห์อะไรมาก แวะเฉพาะที่สนใจจริงๆ (วันแรกที่เดินฝั่งเมืองใหม่ Pudong ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 311,000 Sqm นั้น ภายในเวลา ช.ม. ผมเดินไปได้แค่ เพียงประมาณครึ่งเดียวของงาน) มิน่าเล่า เขาจึงขายบัตรประเภท 3 วัน 7 วัน เพราะว่าภายในวันสองวันไม่มีทางเดินได้ทั่ว

สุดท้ายก็มานั่งรอพลพรรคอีกประมาณครึ่งชั่วโมงหลังจากที่แยกย้ายไปตาม Pavilion ต่างๆ แล้วยังติดอยู่ภายใน Pavilion ไม่สามารถกลับออกมาได้ทันตามเวลานัดหมาย ก็เลยทำให้บางคนต้องเดินทางกลับโรงแรมเองในรูปแบบของการเดินทางที่แตกต่างกันออกไป เมื่อถึงโรงแรมแทนที่ผมจะพักผ่อน ผมนำหนังสือ The World Exposition Reader ที่เพิ่งซื้อมา อ่านดูรายละเอียด ที่ปกหนังสือนั้นมีกระดาษคาดหนังสือที่มีข้อความสรุปถึงงาน Expo ไว้ดังนี้
“ทุกสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดมาจากงาน World Expo ทั้งนั้น งาน World Expo ถูกมองว่าเป็นงาน โอลิมปิคในสาขาของเศรษฐกิจ วัฒนธรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นเวลากว่า 150 ปีที่เสน่ห์ของงาน World Expo ได้ดึงความสนใจจากผู้คนต่างๆ สถาปัตยกรรมที่คลาสิกต่างๆ หลายแห่งในโลกก็มีจุดกำเนิดจากงาน World Expo เช่น Crystal Palace และรูปปั้นเทพีแห่งเสรีภาพ (Statue of Liberty) สำหรับในด้านการประดิษฐ์ก็ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรก เช่น รูบิค และไอครีมโคน ซึ่งได้กลายเป็นส่วนสำคัญของชีวิตเราไปเสียแล้ว สิ่งเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่า World Expo ได้เปลี่ยนแปลงโลกและมีอิทธิพลต่อโลกของเราจริงๆ” เมื่อเปิดเข้าไปอ่านในหนังสือเล่มนี้ ก็ทำให้ผมได้เข้าใจความหมายและจุดมุ่งหมายของงาน World Expo มากยิ่งขึ้น แม้ว่าจะอ่านไปได้ไม่มากนัก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าคุ้มที่ได้มาสัมผัสงาน World Expo แต่ก็เสียดายที่มีเวลาน้อยเกินไป หากได้เตรียมตัวมามากกว่านี้และมีเวลาเดินมากกว่านี้คงต้องยิ่งคุ้มค่าได้ประโยชน์มาก

ในวันรุ่งขึ้น วันสุดท้ายที่เซี่ยงไฮ้ก่อนจะเดินทางกลับประเทศไทย ผมได้มีโอกาสไปเดิน Super Brand Mall ของกลุ่ม CP ซึ่งมีร้านหนังสือขนาดใหญ่อยู่ที่ชั้น 8 ผมได้หนังสือที่เกี่ยวกับประวัติงาน Expo รายละเอียดของงาน World Expo ที่ Shanghai ที่เป็นภาษาอังกฤษมาอีก 2 เล่ม และอีกเล่มเป็นภาษาจีน ที่ต้องซื้อก็เพราะหาที่เป็น Version ภาษาอังกฤษไม่ได้ เล่มที่ว่านี้ คือ Highlights of 2010 EXPO Pavilion ที่ให้รายละเอียดของแต่ละ Pavilion ด้วยภาพกราฟิก 4 สีและคำอธิบายที่เป็นภาษาจีน แต่ก็มีข้อสรุปตอนท้ายเป็นภาษาอังกฤษ หนังสือนี้มีประโยชน์มากเพราะว่าเมื่อเขาไปในแต่ Pavilion แล้ว จะหารายละเอียดที่เป็นเอกสารได้น้อยมาก เวลาที่ดูก็น้อยด้วย ผมเห็นว่าข้อมูลจากหนังสือให้เกร็ดอะไรที่มากกว่าได้จาก Official Website (http://en.expo2010.cn) น่าเสียดายที่อ่านภาษาจีนไม่ได้ ไม่เช่นนั้น สนุกกว่านี้แน่ๆ ครับ

ยังไม่จบ แล้วจะเขียนเล่ามาอีกครับ

อ.วิทยา สุหฤทดำรง