วันพฤหัสบดีที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Life ความรักในมุมมองของผม

ผมเขียนเรื่องที่ดูเครียดๆ มาพอสมควรแล้ว ผมเขียนเรื่องสวยงามก็ได้นะครับ ผมว่าเรื่องความรักนี้ ทุกคนรู้จัก ถึงแม้ว่า จะไม่รู้จักมากนัก แต่ก็สามารถสัมผัสได้ ไม่โดยทางตรงก็ทางอ้อม ความรักมีอยู่ในทุกช่วงอายุและทุกชนชั้น รวมทั้งคนที่ดีและคนเลวก็ไม่เว้น เอ๊ะ! แล้วความรักนี้เป็นเรื่องราวของคนดีหรือเปล่า? ผมคิดว่าในกลุ่มคนชั่วก็มีความรักได้ ก็ดูโจรสิครับก็ยังมีลูกมีเมียได้เลยครับ คนชั่วก็มีความรักได้ครับ ที่จริงแล้วผมก็ยังไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นกันอย่างไรดี แต่รู้ว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับมุมมองของเราด้วยนะครับ ความรักย่อมเกี่ยวข้องกับความรู้สึกของคนเรา ถ้าเรารู้สึกได้ก็แสดงว่าจะต้องมีการรรับรู้ถึงข้อมูลข่าวสารที่ทำให้เรารู้สึกดี ที่ได้รักและที่ถูกรัก


แล้วความรัก คืออะไร? ว่าไปแล้วก็เข้าทางครับ ไปตรงกับชื่อเพลงของใครอีกหลายคนๆ ไม่ว่าจะเป็นเพลงไทยหรือเพลงฝรั่ง แต่บอกไว้ก่อนนะครับ นี่ไม่ใช่คำนิยามทั่วไปนะครับ จะถูกผิดไม่รู้แต่เป็นมุมมองของประสบการณ์ความรักของผมเอง นั่นแน่! ดู Romantic มากเลย ที่จริงแล้วผมเองพยายามจะนิยามความรักออกมาเพื่อให้เกิดความเข้าใจในความรักมากขึ้น จะได้รักให้เป็น จะได้ไม่เจ็บตัวมากนัก เพราะยิ่งวัน ความรักก็ยิ่งซับซ้อนขึ้น จากรักพ่อ รักแม่ รักพี่น้อง รักเพื่อน รักแฟน รักสามีภรรยา รักประเทศชาติ และมีรักอีกมากมาย พอมีลูก เราก็ต้องรักลูก ถ้ามีหลานเราก็ต้องรักหลานอีก สุดท้ายก็ต้องรักประเทศ นี่ยิ่งซับซ้อนและงงกันมากๆ เลย โอ้โห! อีกมากมายเหลือเกินครับ โลกเราเต็มไปด้วยความรักครับ


ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แล้ว ทำไมเราต้องเกลียดกันด้วย แล้วทะเลาะกันด้วยล่ะ ทำไมเพื่อนจึงทะเลาะเลิกคบกัน ทำไมพ่อแม่จึงผิดหวังในตัวลูก เมื่อลูกแสดงอาการไม่รักพ่อรักแม่ หรือเมื่อความรักระหว่างคู่รักจืดจางออกไปเหมือนดาราหลายคู่ที่ออกมาประกาศเลิกทางกัน แล้วทำไมประเทศเราถึงต้องแบ่งแยกเป็นสีเป็นกลุ่มด้วยเล่า รักกันไม่เป็นหรือ? ที่จริงแล้วสังคมที่ไม่ใช่อุดมคติก็ประกอบไปด้วยทั้งความรักและความเกลียดประสมปนเปกันไปในโลกแห่งนี้ เพียงแต่เราจะประคับประคองตัวเราเองได้ไกลแค่ไหน รักษาและธำรงความสมดุลในความรักนี้ได้แค่ไหน ผมเองมองที่ความสมดุลเพราะมัน คือ ธรรมชาติ ความรักจึงเหมือนการปรับตัวเข้าหากันด้วยความลงตัวเพื่อประโยชน์ของความเป็นมนุษย์ แล้วแต่ว่าจะเป็นผู้รักหรือผู้ที่ถูกรัก หรือทั้งคู่เลย
ความรักไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดเฉพาะคนสองคน จะเกิดกับคนกี่คนก็ได้ เป็นหมู่คณะ หรือแม้กระทั่งคนเดียวก็ได้ แบบว่า รักเขาข้างเดียวไง เคยเป็นไหม? ก็ต้องมีบ้างล่ะน่า นั่นก็เป็นความรัก ที่สุดของศาสนาศริสต์ ก็คือ ความรักของพระเจ้าที่มีต่อมนุษย์โลก ที่เขียนมาเยอะๆ นี่นะ ก็เป็นการเก็บข้อมูลของมุมมองของผมเอง ผมไม่อยากจะให้เครียดมากนัก แต่ก็อยากให้เห็นมุมคิดเล็กของผม เอาไว้แบ่งปันกัน พอฟังได้ก็ฟังไป ไม่ได้เรื่องก็แนะนำมาได้ครับ


ความรักเป็นเรื่องคนหรือสิ่งมีชีวิตที่ตัดสินใจได้ มีความรู้สึกนึกคิดได้ แต่ในหลายๆ ครั้งในบทเพลงหรือบทกวีเรามักจะได้ยินว่า ท้องฟ้าโอบกอดภูเขาแผ่นดินและทะเล ธรรมชาติเขารักกันอย่างลงตัว แต่ในบางขณะหรือบางจังหวะของวัฏจักรธรรมชาติ ฟ้าก็พิโรธ ทำลายแม่น้ำ ทะเลและขุนเขา และแล้วธรรมชาติที่สดใสและลงตัวก็กลับคืนสู่ธรรมชาติอีกครั้งเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น มันก็เป็นวัฏจักรของธรรมชาติ ผมก็เลยมองว่า ความรักนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฎจักรของธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เป็นความลงตัวกัน เหมือนเกิดมาคู่กัน เป็นคู่รักคู่รส โดยเฉพาะความสมดุลของธรรมชาตินั่นเอง

ในธรรมชาตินั้นไม่จำเป็นว่าจะต้องมีส่วนดีที่เป็นความรักเท่ากับส่วนเลวที่เป็นความเกลียด แต่ในที่สุดแล้ว ผมก็คิดว่าส่วนดีที่เป็นความรักก็ย่อมมากกว่าส่วนเลวที่เป็นความเลว แต่เราก็ไม่ควรมองว่าความรักนั้นดีกว่าความเกลียด แต่ถ้าเรามองจากข้างนอกเข้าไปหาวัฏจักรของชีวิตแล้ว ถ้าไม่มีความเกลียดแล้วจะมีความรักหรือครับ จากความเกลียดอาจจะกลับกลายหรือผลักดันไปสู่ความรักในอีกระดับก็ได้ ทั้งความรักและความเกลียดนั้นก็เป็นองค์ประกอบของวัฏจักรของชีวิตที่เป็นไปตามบทบาทของมัน ผมว่าน่าจะเป็นเหมือนหยินและหยาง แต่สุดท้ายเราในฐานะมุนษย์ก็ต้องการความรักความสุขที่เป็นส่วนดีอยู่วันยังค่ำ


แล้วความรักเกิดขึ้นได้อย่างไร ผมว่ามันเป็นเรื่องของจิตใจมนุษย์ผู้ที่รับรู้ข้อมูลข่าวสารแล้วจึงแปรผลเป็นปฏิกริยาเคมีออกมาเป็นความรู้สึกที่รักหรือเกลียด ผลลัพธ์ออกมาจึงจะนำพาไปสู่กิจกรรมอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์หรือไม่เป็นประโยชน์กับมนุษย์อื่นๆ หรือกับธรรมชาติก็ได้ สุดท้ายจิตของมนุษย์นั้นก็แล้วแต่ว่าจะคิดอย่างไร มีการเรียนรู้อย่างไร มีปัญญาอย่างไร ความรักเกิดจากการสื่อสารแล้วเกิดปฏิกริยาเคมีในสมองในการยอมรับเพื่อให้เกิดกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ทั้งผู้รักหรือผู้ถูกรัก ถ้าเกิดปฏิกริยาในทางตรงกันข้ามก็กลายเป็นความเกลียด นอกจากนั้นก็จะเป็นระดับการยอมรับที่แปรเปลี่ยนกันระหว่างรักและเกลียด ซึ่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างไม่รักและไม่เกลียด ดังนั้นในโลกนี้จึงมีระดับความสัมพันธ์ระหว่างกันของคนในสังคมมากมายยิ่งนัก ที่สุดแล้วเหมือนกับที่ John Lennon ร้องเพลง หรือไม่ก็เป็นชื่ออัลบัมเพลง ที่ว่า Make Love No War.


ในหลายครั้งที่เรามีปัญหาในเรื่องความรัก ไม่ว่าระหว่างคุ่รักหรือคนในสังคม ประเด็นแรกเลย ก็คือ เรื่องการสื่อสาร และเนื้อหาในการสื่อสาร ที่สุดประเด็นใหญ่ ก็คือ จิตใจคนนั่นเองที่ประมวลข้อมูลเหล่านั้นก็ยังเป็นประเด็นหลักอยู่เสมอ ถ้าองค์ประกอบเหล่านี้มาอยู่ในจังหวะและเวลาที่เหมาะสม ความรักมันก็เกิดขึ้นได้ แต่ถ้าผิดหูผิดตาผิดคนแล้วล่ะก็ ความเกลียดก็จะเข้ามาแทนที่ เมื่อผมพูดอย่างนี้ ความรักก็จัดการได้ล่ะสิครับอาจารย์ ใช่ครับ ผมเชื่ออย่างนั้น ก็ผมมันเป็นนักทฤษฎีการจัดการอยู่แล้ว แต่ประเด็นมันอยู่ที่จิตใจมุนษย์อีกต่างหากที่เป็นจุดสำคัญที่จะทำให้เกิดความรักหรือความเกลียด ถ้าเราควบคุมและเข้าใจจิตใจเราเองแล้ว และยังสามารถเข้าใจจิตคนอื่นๆ ด้วยแล้วล่ะก็ อีกทั้งสามารถประสานผลประโยชน์ร่วมกันได้ ความรักก็มีค่าความน่าจะเป็นสูง (Probability) กว่า ความเกลียด (เกือบจะเปรียบเทียบเป็นเรื่องโซ่อุปทานซะแล้วเรา!)


ในขณะเดียวกันเมื่อคนในสังคมมีอิสระในการคิดและรับข้อมูลข่าสารต่างๆ จิตใจมนุษย์แต่ละคนมีระดับที่แตกต่างกัน และยิ่งมาอยู่ในสังคมร่วมกันมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกันด้วยแล้ว ความรักและความเกลียดกันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้เสมอ ที่ใดมีความรักกันมากสังคมก็จะสงบ ที่ได้มีความเกลียดกันมากสังคมก็จะวุ่นวายหรือในทางเทอร์โมไดนามิกส์เขาว่ากันว่ามี เอ็นโทรปีสูง นั่นเอง

ความรักทำให้สังคมเจริญ สังคมที่มีความรักกันก็ย่อมเกิดจากระดับจิตใจของมนุษย์ที่นิ่ง มีสิตและมีคุณธรรมสูงมากพอที่ทำให้เกิดประโยชน์ร่วมกันและมีระดับของสังคมสูงขึ้นเรื่อยๆ ผมเองก็พยายามจะมองความรักในเชิงนามธรรม (Abstract) เช่นนี้ เพื่อว่า จะได้นำมุมคิดเล็กของผมไปประยุกต์ใช้ในบริบทอื่นๆ ของความรักต่อไป ซึ่งก็ต้องลองดูนะครับว่า works หรือไม่ ผมก็หวังว่า ทุกคนคงจะมีความรัก รักตัวเอง รักเพื่อนบ้านและรักประเทศชาติ ไม่รักไปในทางที่ผิด ผู้คนก็มีระดับความรักที่สูงขึ้น สังคมประชาติเราก็คงจะน่าอยู่มากกว่านี้ จริงไหมครับ