วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

My Journal -- ส่งลูกเข้าค่าย…เรียนรู้กฎธรรมชาติ

ตลอด 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมส่งเจ้าลูกชายผู้ซึ่งเป็นเจ้านายผมโดยตรงไปเข้าค่ายภาษาอังกฤษที่ Asian University พัทยา  ผมว่าดีนะครับ  เป็นการฝึกการอยู่คนเดียวและช่วยเหลือตัวเองบ้างในเบื้องต้น  พร้อมๆ กับการฝึกภาษาอังกฤษพื้นฐานก่อนที่จะเลื่อนขั้นไปเข้าค่ายในระดับที่สูงขึ้น   มันก็เป็นเรื่องไม่ง่ายนักกับการไปอยู่ไกลบ้านคนเดียวสำหรับเด็กๆ  แต่พัทยากับกรุงเทพฯ ก็ไม่ไกลกันมากนัก   สำหรับโปรแกรมนี้นั้น  ก็ต้องเชื่อมือของดร.วิพรรธ์  เริงพิทยา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชี่ยน  ผมมีโอกาสได้เจอตัวและได้เข้ารับฟังการปฐมนิเทศและปัจฉิมนิเทศของค่ายภาษาอังกฤษฤดูร้อนนี้  ซึ่งมีเด็กๆ มาเข้าค่ายกันประมาณ 120 กว่าคนตั้งแต่เด็กขึ้น ป.3  จนถึงเด็กที่ขึ้น ม.6   ส่วน (Pe)ter เจ้าลูกชายผมนั้น  ขึ้น ป.5  ซึ่งก็คิดว่ายังไม่โตมากนัก  แต่การเข้าค่ายนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี

ผมนั้นประทับใจในตัว ดร.วิพรรธ์ เริงพิทยา เป็นอย่างยิ่ง  เคยได้เห็นท่านในรายการข่าวในทีวี  แล้วยิ่งมาพบตัวท่านเอง  ซึ่งท่านทักทายผู้ปกครองที่มาส่งลูกๆ เข้าค่ายและรับลูกๆ กลับบ้านด้วยความเป็นกันเอง    ท่านเป็นเหมือนคุณปู่ใจดี  ถึงแม้ว่าท่านจะบริหารมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ในระดับอุดมศึกษา   แต่ท่านก็ให้ความสำคัญและให้โอกาสเด็กๆ ในระดับประถมและมัธยมในการศึกษาโดยเฉพาะพื้นฐานด้านภาษาและพื้นฐานด้านความรู้วิชาการต่างๆ   โอวาททั้งตอนปฐมนิเทศและปัจฉิมนิเทศนั้นของท่านดร.วิพรรธ์นั้น ไม่ได้เหมาะกับเด็กๆ ผู้ที่เข้าค่ายเท่านั้น  แต่ท่านผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานทั้งหลายมาเรียนในค่ายนี้ก็ยังสามารถนำไปคิดและปฏิบัติได้เป็นอย่างดี  เมื่อผมมองดูไปรอบๆห้องประชุมทั้งตอนปฐมนิเทศและตอนปัจฉิมนิเทศแล้ว  อายุอานามของท่านผู้ปกครองทั้งหลายรวมทั้งผมเองด้วยก็รุ่นลูกๆ ของท่านดร.วิพรรธ์ทั้งนั้น

ดร.วิพรรธ์ ท่านได้ให้ความสำคัญกับภาษาเป็นอย่างยิ่ง  โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและในอนาคตก็คงจะเป็นภาษาจีน  เพราะว่าภาษานั้นเป็นสื่อที่นำเราไปสู่ความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะกฎของธรรมชาติ (Law of Nature) ต่างๆ  ซึ่งถ้าเราเข้าใจแล้ว  เราจะสามารถนำเอากฎธรรมชาติเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เราเองด้วย ผมคิดว่านี่เป็นพื้นฐานของปรัชญาการศึกษา ความรู้ที่เราเรียนทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติทั้งสิ้น  ทำให้เราอยู่ร่วมกันธรรมชาติได้  เข้ากับธรรมชาติได้   ความรู้ที่อยู่เอกสารที่เป็นภาษาไทยนั้นคงจะไม่พอในการศึกษาหาความรู้ให้เท่าทันกับเทคโนโลยีและโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน   การเข้ามาอยู่ในค่ายนี้ยังทำให้นักเรียนได้ปรับตัวในการเข้าสังคมกับผู้อื่นได้  ผมเองก็หวังว่าลูกผมน่าจะเอาตัวรอดผ่านบทเรียนนี้ได้อย่างสบายๆ เพราะว่าถ้าเกิดปัญหาอะไร  โทรมากริ๊งเดียว  ผมกับแม่เค้าก็จะขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึงที่ Asian U  แล้วตามคำร้องขอ (Request)   ตกลงแล้วระหว่าง  3 อาทิตย์นี้  ไปเยี่ยมสัก 2 ครั้ง รวมไปส่งและไปรับอีก 2 ครั้ง ก็ยังพอไหว   แม่เค้าโทรเช็คทุกวัน   ในทางกลับกันลูกผมเค้าจะไม่ค่อยโทรมา  ถ้าไม่มีเรื่องอะไร  นอกจากเงินหมด  นั่นไง  มันเริ่มเป็นแล้ว
                   
ส่วนในช่วงตอนปัจฉิมนิเทศนั้น  ท่านดร.วิพรรธ์ ยังกล่าวย้ำในเรื่องเดิมอีกครั้งหนึ่ง  รวมทั้งบอกว่า  ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเข้าค่าย   ในขณะเดียวกันวันนี้ก็จะเป็นวันแรกของการเริ่มต้นกลับใช้ชีวิตนอกค่าย   ที่ต้องจากเพื่อนๆ ครูอาจารย์ที่ค่ายซึ่งอยู่ร่วมกันมา   วันนี้จึงไม่ใช่เป็นแค่วันลาหรือวันจบหรือวันที่สำเร็จการศึกษาเท่านั้น   หลายๆ คนที่ผมเห็นความชื่นชมยินดีที่ได้จบการศึกษา  มีรอยยิ้มและความชื่นชมความสุข แต่ในขณะเดียวกันบทใหม่ของชีวิตก็กำลังเริ่มต้น  จะเป็นอย่างไร   จะเหมือนบทเก่าหรือไม่  เราก็ไม่แน่ใจ  เราก็ได้แค่หวังว่าน่าจะดีกว่าเก่าเสมอ   ผมยังจำได้เสมอถึงความรู้สึกตอนที่ผมจบปริญญาโทและเอกที่อเมริกา   ผมรับปริญญาโดยไม่ได้มีญาติหรือพ่อแม่ผมไปแสดงความยินดีแบบมากมายเหมือนในเมืองไทย  จะมีแต่ก็เพื่อนๆ น้องๆ ที่เรียนอยู่ด้วยกัน    ในขณะที่ด้านหนึ่งมีความสำเร็จ  ความภูมิใจและความยินดี   เมื่อมองออกไปข้างหน้า  แล้วมองออกไปนอกกรอบชีวิตเดิมๆ ที่ผ่านมาซึ่งยังเรียนอยู่   มันรู้สึกเหงาๆ อย่างไงชอบกล  ยิ่งตอนอยู่บนเครื่องบินตอนบินกลับบ้าน  มองจากเครื่องบินลงมาเบื้องล่างแล้ว   คนเราตัวเล็กนิดเดียวเอง   ธรรมชาติยิ่งใหญ่นัก   สิ่งที่เราฝ่าฟันมา   เรียนมาจนจบได้ปริญญานี้  มันเล็กนิดเดียวจริงๆ    ข้างหน้าในชีวิตจริงที่คนทำงานทั่วไปชอบปรียบเทียบว่า  ในห้องเรียนกับชีวิตจริงนั้นมันไม่เหมือนกัน  แล้วเราจะดำเนินชีวิตอย่างไรเล่า   ถึงแม้ว่าโลกแห่งการเรียนและโลกแห่งการทำงานจะไม่เหมือนกัน   แต่อย่าลืมว่า   โลกทั้งสองนั้นก็อยู่ในโลกแห่งความจริงเหมือนกัน  ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนกัน  แต่มันก็เสริมกันและกันเสมอ  ไม่ใช่ทิ้งโลกแห่งการเรียนไปเลย  คนเราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา  การเรียนรู้ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดในห้องเรียนเสมอไป
             
ประสบการณ์ไปเข้าค่าย English Summer Camp  ของ (Pe)ter เจ้าลูกชายผมและโอวาทของท่านดร.วิพรรธ์  อธิการบดี  Asian University ทำให้ผมคิดอะไรๆ ได้บ้าง  โดยเฉพาะเรื่องของการศึกษา เพื่อให้เราเข้าใจกฎของธรรมชาติ  เพื่อทำให้เราได้อยู่รอดได้ในสังคม ซึ่งต่อไปนี้จะไม่ใช่แค่สังคมไทยเท่านั้น  แต่จะเป็นสังคมอาเซียนและสังคมโลก   แล้วเราจะทำอย่างไรให้ลูกหลานเรานั้นมีความพร้อมในการเรียนรู้ตัวเอง  โลกและกฎของธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ   สิ่งหนึ่งที่สะท้อนใจผมว่าพวกเราที่เป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กๆ ในยุคนี้   เราเองก็ยังจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาให้ทันกับการเรียนรู้ของเด็กรุ่นใหม่  ที่สำคัญเราพ่อแม่คงจะต้องไม่หยุดการเรียนรู้แค่การจบหรือสำเร็จการศึกษาเมื่อหลาย 10 – 20 ปีที่ผ่านมา   ในยุคนี้พวกเราพ่อแม่คงจะต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับพวกลูกๆ เขา  และในขณะเดียวกันเราพ่อแม่ก็คงจะต้องเรียนรู้จากพวกเขาเช่นเดียวกันด้วย  เพราะทุกครั้งที่เราทำอะไรสำเร็จหรือสำเร็จการศึกษาอะไรก็ตาม  มันมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่หรือวิชาใหม่เสมอตลอดเวลา  เพราะว่ากฎแห่งธรรมชาติมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้หมดในชั่วอายุคน  หรืออาจจะไม่มีวันที่จะเรียนรู้ได้ทั้งหมดเลยก็ได้   เพราะว่ามนุษย์ไม่เป็นผู้สร้างธรรมชาติ   แต่ในทางตรงกันข้ามธรรมชาติต่างหากที่สร้างมนุษย์และทำให้มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ  ขอบคุณ ดร.วิพรรธ์ ครับที่สอนกฎแห่งธรรมชาติให้ผมในระหว่างที่ลูกผมไปเข้าค่ายที่ Asian University