ตลอด 3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมส่งเจ้าลูกชายผู้ซึ่งเป็นเจ้านายผมโดยตรงไปเข้าค่ายภาษาอังกฤษที่ Asian University พัทยา ผมว่าดีนะครับ เป็นการฝึกการอยู่คนเดียวและช่วยเหลือตัวเองบ้างในเบื้องต้น พร้อมๆ กับการฝึกภาษาอังกฤษพื้นฐานก่อนที่จะเลื่อนขั้นไปเข้าค่ายในระดับที่สูงขึ้น มันก็เป็นเรื่องไม่ง่ายนักกับการไปอยู่ไกลบ้านคนเดียวสำหรับเด็กๆ แต่พัทยากับกรุงเทพฯ ก็ไม่ไกลกันมากนัก สำหรับโปรแกรมนี้นั้น ก็ต้องเชื่อมือของดร.วิพรรธ์ เริงพิทยา อธิการบดีมหาวิทยาลัยเอเชี่ยน ผมมีโอกาสได้เจอตัวและได้เข้ารับฟังการปฐมนิเทศและปัจฉิมนิเทศของค่ายภาษาอังกฤษฤดูร้อนนี้ ซึ่งมีเด็กๆ มาเข้าค่ายกันประมาณ 120 กว่าคนตั้งแต่เด็กขึ้น ป.3 จนถึงเด็กที่ขึ้น ม.6 ส่วน (Pe)ter เจ้าลูกชายผมนั้น ขึ้น ป.5 ซึ่งก็คิดว่ายังไม่โตมากนัก แต่การเข้าค่ายนี้ก็ผ่านไปได้ด้วยดี
ผมนั้นประทับใจในตัว ดร.วิพรรธ์ เริงพิทยา เป็นอย่างยิ่ง เคยได้เห็นท่านในรายการข่าวในทีวี แล้วยิ่งมาพบตัวท่านเอง ซึ่งท่านทักทายผู้ปกครองที่มาส่งลูกๆ เข้าค่ายและรับลูกๆ กลับบ้านด้วยความเป็นกันเอง ท่านเป็นเหมือนคุณปู่ใจดี ถึงแม้ว่าท่านจะบริหารมหาวิทยาลัยซึ่งอยู่ในระดับอุดมศึกษา แต่ท่านก็ให้ความสำคัญและให้โอกาสเด็กๆ ในระดับประถมและมัธยมในการศึกษาโดยเฉพาะพื้นฐานด้านภาษาและพื้นฐานด้านความรู้วิชาการต่างๆ โอวาททั้งตอนปฐมนิเทศและปัจฉิมนิเทศนั้นของท่านดร.วิพรรธ์นั้น ไม่ได้เหมาะกับเด็กๆ ผู้ที่เข้าค่ายเท่านั้น แต่ท่านผู้ปกครองที่ส่งบุตรหลานทั้งหลายมาเรียนในค่ายนี้ก็ยังสามารถนำไปคิดและปฏิบัติได้เป็นอย่างดี เมื่อผมมองดูไปรอบๆห้องประชุมทั้งตอนปฐมนิเทศและตอนปัจฉิมนิเทศแล้ว อายุอานามของท่านผู้ปกครองทั้งหลายรวมทั้งผมเองด้วยก็รุ่นลูกๆ ของท่านดร.วิพรรธ์ทั้งนั้น
ดร.วิพรรธ์ ท่านได้ให้ความสำคัญกับภาษาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะภาษาอังกฤษและในอนาคตก็คงจะเป็นภาษาจีน เพราะว่าภาษานั้นเป็นสื่อที่นำเราไปสู่ความรู้ต่างๆ โดยเฉพาะกฎของธรรมชาติ (Law of Nature) ต่างๆ ซึ่งถ้าเราเข้าใจแล้ว เราจะสามารถนำเอากฎธรรมชาติเหล่านั้นมาใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์เราเองด้วย ผมคิดว่านี่เป็นพื้นฐานของปรัชญาการศึกษา ความรู้ที่เราเรียนทั้งหมดนั้นก็เพื่อที่จะเข้าใจธรรมชาติทั้งสิ้น ทำให้เราอยู่ร่วมกันธรรมชาติได้ เข้ากับธรรมชาติได้ ความรู้ที่อยู่เอกสารที่เป็นภาษาไทยนั้นคงจะไม่พอในการศึกษาหาความรู้ให้เท่าทันกับเทคโนโลยีและโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของโลกปัจจุบัน การเข้ามาอยู่ในค่ายนี้ยังทำให้นักเรียนได้ปรับตัวในการเข้าสังคมกับผู้อื่นได้ ผมเองก็หวังว่าลูกผมน่าจะเอาตัวรอดผ่านบทเรียนนี้ได้อย่างสบายๆ เพราะว่าถ้าเกิดปัญหาอะไร โทรมากริ๊งเดียว ผมกับแม่เค้าก็จะขับรถเดี๋ยวเดียวก็ถึงที่ Asian U แล้วตามคำร้องขอ (Request) ตกลงแล้วระหว่าง 3 อาทิตย์นี้ ไปเยี่ยมสัก 2 ครั้ง รวมไปส่งและไปรับอีก 2 ครั้ง ก็ยังพอไหว แม่เค้าโทรเช็คทุกวัน ในทางกลับกันลูกผมเค้าจะไม่ค่อยโทรมา ถ้าไม่มีเรื่องอะไร นอกจากเงินหมด นั่นไง มันเริ่มเป็นแล้ว
ส่วนในช่วงตอนปัจฉิมนิเทศนั้น ท่านดร.วิพรรธ์ ยังกล่าวย้ำในเรื่องเดิมอีกครั้งหนึ่ง รวมทั้งบอกว่า ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายของการเข้าค่าย ในขณะเดียวกันวันนี้ก็จะเป็นวันแรกของการเริ่มต้นกลับใช้ชีวิตนอกค่าย ที่ต้องจากเพื่อนๆ ครูอาจารย์ที่ค่ายซึ่งอยู่ร่วมกันมา วันนี้จึงไม่ใช่เป็นแค่วันลาหรือวันจบหรือวันที่สำเร็จการศึกษาเท่านั้น หลายๆ คนที่ผมเห็นความชื่นชมยินดีที่ได้จบการศึกษา มีรอยยิ้มและความชื่นชมความสุข แต่ในขณะเดียวกันบทใหม่ของชีวิตก็กำลังเริ่มต้น จะเป็นอย่างไร จะเหมือนบทเก่าหรือไม่ เราก็ไม่แน่ใจ เราก็ได้แค่หวังว่าน่าจะดีกว่าเก่าเสมอ ผมยังจำได้เสมอถึงความรู้สึกตอนที่ผมจบปริญญาโทและเอกที่อเมริกา ผมรับปริญญาโดยไม่ได้มีญาติหรือพ่อแม่ผมไปแสดงความยินดีแบบมากมายเหมือนในเมืองไทย จะมีแต่ก็เพื่อนๆ น้องๆ ที่เรียนอยู่ด้วยกัน ในขณะที่ด้านหนึ่งมีความสำเร็จ ความภูมิใจและความยินดี เมื่อมองออกไปข้างหน้า แล้วมองออกไปนอกกรอบชีวิตเดิมๆ ที่ผ่านมาซึ่งยังเรียนอยู่ มันรู้สึกเหงาๆ อย่างไงชอบกล ยิ่งตอนอยู่บนเครื่องบินตอนบินกลับบ้าน มองจากเครื่องบินลงมาเบื้องล่างแล้ว คนเราตัวเล็กนิดเดียวเอง ธรรมชาติยิ่งใหญ่นัก สิ่งที่เราฝ่าฟันมา เรียนมาจนจบได้ปริญญานี้ มันเล็กนิดเดียวจริงๆ ข้างหน้าในชีวิตจริงที่คนทำงานทั่วไปชอบปรียบเทียบว่า ในห้องเรียนกับชีวิตจริงนั้นมันไม่เหมือนกัน แล้วเราจะดำเนินชีวิตอย่างไรเล่า ถึงแม้ว่าโลกแห่งการเรียนและโลกแห่งการทำงานจะไม่เหมือนกัน แต่อย่าลืมว่า โลกทั้งสองนั้นก็อยู่ในโลกแห่งความจริงเหมือนกัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่เหมือนกัน แต่มันก็เสริมกันและกันเสมอ ไม่ใช่ทิ้งโลกแห่งการเรียนไปเลย คนเราต้องเรียนรู้ตลอดเวลา การเรียนรู้ไม่จำเป็นที่จะต้องเกิดในห้องเรียนเสมอไป
ประสบการณ์ไปเข้าค่าย English Summer Camp ของ (Pe)ter เจ้าลูกชายผมและโอวาทของท่านดร.วิพรรธ์ อธิการบดี Asian University ทำให้ผมคิดอะไรๆ ได้บ้าง โดยเฉพาะเรื่องของการศึกษา เพื่อให้เราเข้าใจกฎของธรรมชาติ เพื่อทำให้เราได้อยู่รอดได้ในสังคม ซึ่งต่อไปนี้จะไม่ใช่แค่สังคมไทยเท่านั้น แต่จะเป็นสังคมอาเซียนและสังคมโลก แล้วเราจะทำอย่างไรให้ลูกหลานเรานั้นมีความพร้อมในการเรียนรู้ตัวเอง โลกและกฎของธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งหนึ่งที่สะท้อนใจผมว่าพวกเราที่เป็นพ่อเป็นแม่ของเด็กๆ ในยุคนี้ เราเองก็ยังจะต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอยู่ตลอดเวลาให้ทันกับการเรียนรู้ของเด็กรุ่นใหม่ ที่สำคัญเราพ่อแม่คงจะต้องไม่หยุดการเรียนรู้แค่การจบหรือสำเร็จการศึกษาเมื่อหลาย 10 – 20 ปีที่ผ่านมา ในยุคนี้พวกเราพ่อแม่คงจะต้องเรียนรู้ไปพร้อมกับพวกลูกๆ เขา และในขณะเดียวกันเราพ่อแม่ก็คงจะต้องเรียนรู้จากพวกเขาเช่นเดียวกันด้วย เพราะทุกครั้งที่เราทำอะไรสำเร็จหรือสำเร็จการศึกษาอะไรก็ตาม มันมักจะเป็นจุดเริ่มต้นของบทใหม่หรือวิชาใหม่เสมอตลอดเวลา เพราะว่ากฎแห่งธรรมชาติมันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่มนุษย์จะเรียนรู้ได้หมดในชั่วอายุคน หรืออาจจะไม่มีวันที่จะเรียนรู้ได้ทั้งหมดเลยก็ได้ เพราะว่ามนุษย์ไม่เป็นผู้สร้างธรรมชาติ แต่ในทางตรงกันข้ามธรรมชาติต่างหากที่สร้างมนุษย์และทำให้มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ขอบคุณ ดร.วิพรรธ์ ครับที่สอนกฎแห่งธรรมชาติให้ผมในระหว่างที่ลูกผมไปเข้าค่ายที่ Asian University
วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555
My Journal -- ส่งลูกเข้าค่าย…เรียนรู้กฎธรรมชาติ
08:47
กฎธรรมชาติ, การฝึก, การเริ่มต้น, เข้าค่าย, คำร้องขอ, เรียนรู้, Law of Nature, Request