ผมได้ตอบเมล์ "งานวิจัยเมื่อไรจะลงจากหิ้ง ตอนที่ 2" ของอาจารย์ดร.ดวงพรรณ ไว้ ไหนก็เขียนแล้วก็เลยนำมาเล่าสู่กันฟัง
ผมไม่ได้เมล์นี้มานานมากๆ โผล่มาก็ตอนที่สองเลย ก็ไม่รู้ว่าตอนแรกเป็นอย่างไรแล้ว แต่ก็พอจะเข้าใจบ้างในภาพรวมที่อาจารย์ดวงพรรณและนักวิจัยทั้งหลายกำลังพยายามทำกันอยู่ ผมขออนุญาตพูดในฐานะผู้บริโภคงานวิจัยนะครับ ไม่ใช่นักวิจัย เพราะระยะนี้ผมไม่ค่อยได้ทำงานวิจัยเท่าไหร่ แต่ก็พยายามที่จะเอาความรู้จากงานวิจัยต่างๆ ไปเผยแพร่ให้เกิดประโยชน์ในวงการธุรกิจและอุตสาหกรรม
ผมบอกอาจารย์ดวงพรรณเสมอว่า อย่าเอางานวิจัยลงจากหิ้งเลยเอาไว้อย่างนั้นเถอะครับ แล้วนักวิจัยก็พัฒนาหิ้งให้สูงขึ้น องค์ความรู้จะได้สูงขึ้น ผมไม่เห็นด้วยที่เหล่านักวิจัยจะทุ่มตัวทั้งหมดลงจากหิ้ง แต่อาจจะมีคนบอกว่า แล้วจะทำวิจัยไปให้ใครเล่า ผมว่าก็เอาไปขายให้คนที่เห็นค่าและเห็นประโยชน์ดีกว่า โลกสมัยนี้มัน Connected กันหมด Globalization กันหมดแล้วเอาไปขายทั่วโลก แล้วประเทศไทยล่ะครับ ก็คนใช้งานยังไม่สนใจเลย เพราะยังไม่เข้าใจในกระบวนการดำเนินงานที่เป็นปกติสากลกัน ความคิดยังไม่ได้มาตรฐานหรือเป็นสากล เอาเป็นว่ายังลูกทุ่ง ลูกทุ่งกันอยู่ ทำวิจัยแล้ว คนไทยไม่ได้ใช้ ก็คิดว่าทำเพื่อโลกก็แล้วกันครับ
ที่จริงแล้วมันก็เป็นเรื่องของผู้ใช้งานวิจัยหรือธุรกิจอุตสาหกรรมเองด้วยที่จะต้องปรับตัว ไม่ใช่สิปรับความคิดและกรอบความคิด ผมเคยบอกว่าจะต้องทำให้พวกผู้ใช้งานทั้งหลายเขาปีนหิ้งขึ้นมาดูงานวิจัยของอาจารย์ทั้งหลายและของต่างประเทศที่ทั่วโลกเขาทำกัน นั่นหมายถึงพวกเขาจะต้องมีความรู้พื้นฐานต่างๆ ในการตัดสินใจในเชิงการดำเนินงานไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือการบริการสาธารณะ (Public Sector) อาจารย์ดวงพรรณเขียนไว้ว่า การทำนโยบาย หรือการตัดสินใจระดับประเทศเกิดขึ้นบน “ความรู้สึก” นั่นไงครับ ผมก็รู้สึกได้อย่างนั้นเหมือนกัน ประสบมาเหมือนกัน เพราะว่าการตัดสินใจในระดับยุทธศาสตร์ที่มีผลต่อความเป็นอยู่ของประเทศเองยังขึ้นอยู่กับความรู้สึกเป็นส่วนใหญ่ จริงมากน้อยอย่างไรผมก็พิสูจน์ไม่ได้ แต่ที่ได้พบประสบมานั้นก็คงจะมีความเห็นเหมือนกับอาจารย์ดวงพรรณครับ นั่นสำหรับ Public Sector
ส่วนทางด้านธุรกิจและอุตสาหกรรมนั้นเหล่าผมก็ว่าลูกทุ่งพอๆ กัน ท่านมีเงินเยอะมีความคิดดี มี Leadership สูง แต่ขาดกระบวนการในการตัดสินใจที่เหมาะสม ยิ่งเป็นการตัดสินใจในระดับยุทธศาสตร์ด้วยแล้ว ตอนที่คิดและตัดสินใจในอดีต เงินไม่กี่ล้านคิดแบบลูกทุ่งได้ แต่พอเป็นพันๆ ล้าน และยิ่งในปัจจุบันมันยิ่งซับซ้อนยิ่งขึ้น มันคงจะเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้วกระมังครับ คิดแบบหนึ่งสมอง สองมือเปล่า บนเงินเป็นพันๆ ล้าน ส่วนลูกน้องก็อาศัยประสบการณ์ที่ผ่านมาด้วยวลีเด็ด มือดำ ทำจริง แต่คิดไม่เป็น คิดต่อยอดไม่ได้ ไม่รู้จักวิธีการคิด การวางแผน เรื่องราวนี้ไม่ใช่ ไม่เคยเรียนมา พวกผมอาจารย์ไม่ใช่ไม่เคยสอน แต่ทำไมไม่เอาไปใช้ หรือเป็นเพราะผมเองและเพื่อนอาจารย์ทั้งหลายอาจจะสอนไม่ได้ดี ไม่ใช่สิผมคนเดียวมั้ง ความคิดและความรู้จึงไม่เข้าถึงนักปฏิบัติเหล่านี้ พวกเขาก็เลยไม่ได้สนใจความรู้หรือวิชาการ ผมเองนั้นโดนเป็นประจำ เวลาไปบรรยายให้นักปฏิบัติฟัง อาจารย์ไม่เอาวิชาการนะ เอาแต่ปฏิบัติที่ทำได้ ผมเองก็นึกอยู่ในใจว่าที่พวกท่านทำกันได้อยู่ทุกวันนี้เนี่ยนะ ก็เพราะวิชาการทั้งนั้น ถ้าไม่มีวิชาการรองรับนะ ป่านนี้จะมีอะไรเหลือบ้าง ตึกคงจะพังกันหมด โรงงานคงจะวุ่นวายกันมากๆ
เมื่อธุรกิจโตขึ้น หรือฟุตบอลเปลี่ยนลีก เทคนิคการเล่นหรือเทคนิดการดำเนินงานก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตามระดับความยาก เช่นกันครับ นักปฏิบัติทั้งหลายก็ต้องปรับตัวเพื่อรองรับสิ่งใหม่ๆ วิชาการใหม่ งานวิจัยใหม่ๆ ถ้าวันนี้เหล่านักปฏิบัติในอุตสาหกรรมยังบอกไม่ได้ว่า พวกเขาใช้ความรู้อะไรบ้างตอนเรียนป.ตรี และป.โท มาใช้ในงานประจำวันบ้าง ผมว่าการนำเอางานวิจัยลงมาจากหิ้งก็ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นัก คิดไป คิดมาดูแล้วถ้าจะสร้างให้พวกเขาให้ขึ้นมาอ่านงานวิจัยบนหิ้งอย่างผมว่ามันก็อาจจะยากกว่าเอาลงจากหิ้งมาอีก ประเด็นของผมก็คือ ถ้าจะเอามาจากหิ้งแล้ว ทำให้เขาบริโภคง่ายๆ แล้ว อีกหน่อยพวกเขาจะทำอะไรได้อีก สุดท้ายก็ต้องป้อนให้เหมือนเดิม แล้วมันจะพัฒนาได้อย่างไร สุดท้ายแล้ว นักวิจัยจะเอาตรงไหนเป็นจุดยืนดี เพราะว่าเป็นนักวิจัยแล้ว องค์ความรู้ใหม่ คือ สิ่งที่ท้าทายหนึ่ง แต่เรานักวิจัยกลับมาเสียเวลากับโครงสร้างขององค์ความรู้ในกระบวนการปฏิบัติงานที่เป็นผลพวงของการพัฒนาการในสังคมและระบบการศึกษาของเรา
ผมไม่ได้คิดว่าคนอย่างผมหรือนักวิชาการอย่างผมที่ถูกตราหน้าว่า เท้าไม่ติดดิน ไม่ลงมือทำ ไม่ได้เป็นคนวิเศษวิโสอะไรหรอกครับ ถ้าจะพูดแล้ว และวัดกันแบบเนื้อๆ เป็นตัวเงิน ผมและนักวิจัยทั้งหลายนั้นยังห่างจากนักปฏิบัติหรือนักอุตสาหกรรมตัวจริงที่ทำเงินออกมามากมาย หรือมีผลตอบแทนเป็นเงินเดือนสูงๆ หรือมีโบนัสเป็นหลายเดือน ผมสู้ไม่ได้หรอกครับ นั่นคือ ผลลัพธ์ที่ผมมองเสมอว่า พวกนักปฏิบัติเหล่านั้นเป็นตัวจริงแท้ๆ วัดกันที่บรรทัดสุดท้ายตรงรายได้เลย ผมไม่เคยคิดว่านักวิจัยจะเก่งเลิศเลอไปกว่าพวกนักปฏิบัติหรอกครับ แต่ถ้าพวกท่านฟังและอ่านงานวิจัยจากนักวิจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศดูสักนิด พวกเราต่างคนต่างทำหน้าที่กันไป พวกที่คิดก็คิดไป พวกที่ทำก็ทำไป แต่ถ้าพวกที่คิดอย่างนักวิจัยสามารถทำงานร่วมกับนักปฏิบัติได้มีประสิทธิผลแล้ว ผมคิดว่า ท่านนักธูรกิจหรือปฏิบัติก็จะสามารถทำเงินเพิ่มได้อีกมากมายเลยทีเดียว
ว่าจะเขียนสั้นๆ นะครับ ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะจบอย่างไร แต่ยอมรับทุกความคิดครับ แต่มันน่าจะมีทิศทางที่รองรับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างทางสังคมมากกว่านี้ มันเป็นกรอบความคิดของคนในสังคมที่ถูกขีดด้วยระบบการเรียนการศึกษาที่ทำให้คนไทยเรากลัวที่จะคิด ไม่ใช่ไม่มีความสามารถในการคิด ระบบสังคมที่เป็นอยู่ต่างหากที่มีอิทธิพลทำให้ความคิดไม่เกิดในคนหมู่มาก ถ้าเรายังเอางานวิจัยในหิ้งชั้นที่หนึ่งลงมาแจกให้คนปฏิบัติบริโภคอย่างง่ายๆ เกินไป โดยไม่ได้พัฒนาตัวพวกเขา ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้ว ผมว่าที่อื่นๆ ประเทศอื่นๆ นักปฏิบัติของเขาไม่รู้ว่าปีนขึ้นไปบริโภคงานวิจัยบนหิ้งชั้นสาม หิ้งชั้นสี่กันแล้วหรือไม่ ก็ไม่รู้เหมือนกันนะครับ
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
Research - ตอบ เมล์ "งานวิจัยเมื่อไรจะลงจากหิ้ง ตอนที่ 2"
08:39
การคิด, การวางแผน, งานวิจัย, ยุทธศาสตร์, Connected, Globalization, Leadership, Research