วันนี้การเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากชีพจรไม่ได้ลงเท้ามานาน อาทิตย์ที่ผ่านมา ผมเดินทางไปมาเกือบทั้งอาทิตย์ ไปมาภาคตะวันออก 3 รอบ บินขึ้นเหนือไปอีก 2 รอบ ก็แปลกดีครับ ครึ่งปีแรกไม่ค่อยได้ไปไหนเท่าไหร่ พอเข้าครึ่งปีหลังพอมาได้ไปไหนก็มากันติดๆเลยครับ ผมชอบเดินทางโดยเครื่องบินในระยะสั้นๆไปกลับกรุงเทพฯ เชียงใหม่ เชียงราย ใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นานมากนัก ดูมันเป็นเวลาที่เป็นส่วนตัวมากๆ ไม่ต้องรู้จักใคร และไม่อยากให้ใครมารู้จัก อยู่ท่ามกลางคนที่ไม่รู้จัก มันเป็นโลกส่วนตัวจริง ผมก็เลยอ่านหนังสือจบเป็นเล่มๆ ไปเลย ปีที่แล้วก็อ่านไปได้หลายเล่ม เวลาไม่ได้เดินทางก็ไม่ได้มีเวลาเป็นส่วนตัวเท่าใดนัก
ผมไม่ได้เดินทางโดยเครื่องบินมานาน พอได้ขึ้นไปมองโลกบนพื้นดินจากบนฟ้าลงมานั้นมันมีความรู้สึกแปลกๆ แต่ก็รู้สึกเหมือนเดิมทุกครั้ง รู้สึกว่าตัวคนเรามันเล็กนิดเดียว แต่ก็ไม่ได้หวาดกลัวอะไร แต่ได้กำลังใจทุกครั้งกลับมาเสมอว่า ชีวิตเราที่เหลือนั้นน่าจะทำอะไรได้มากกว่าเดิม ทำได้มากกว่าเมื่อวาน คิดได้มากกว่าที่ผ่านมา ผสมกับแนวคิดใหม่หรือมุมมองใหม่ที่จากการอ่านหนังสือระหว่างเดินทางด้วย
หลายๆ ครั้งในการเดินทางด้วยเครื่องบิน ผมมักจะนั่งที่นั่งใกล้ทางเดิน แต่บางครั้งก็ลืมบอกเจ้าหน้าที่เขาไป เขาก็เลยจัดที่นั่งริมหน้าต่างให้ ก็ทำให้ได้มองเห็นโลกเราจากบนฟ้า เห็นพื้นน้ำแผ่นดินและเมืองต่างๆ ที่กระจุกอยู่ตามแม่น้ำและชุมชนต่างๆ ริมถนน ผมไม่ได้เห็นรายละเอียดเพราะเครื่องบินอยู่สูงเหลือเกิน แต่ก็พอจะบอกได้ว่า มันเป็นแม่น้ำ ภูเขาและถนน ผมคงจะมองไม่เห็นคน แต่พอจะเห็นบ้านเรือน หรือถ้าบินต่ำหน่อยก็จะเห็นรถยนต์วิ่งอยู่บนถนน ผมได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่สังคมและเมืองจากบนฟ้า ผมเห็นโครงสร้างหรือ Structure แต่ผมขาดรายละเอียดของชีวิต แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้าผมลงมาจากฟ้าเดินลงไปบนถนนผมก็จะเห็นรายละเอียดของชีวิตหรือธุรกิจเฉพาะที่ผมสามารถบอกเห็นในระยะไม่ไกลมากนัก กินบริเวณพื้นที่ไม่กว้างมากนัก ผิดจากการมองจากข้างบนฟ้า รายละเอียดทั้งสองมุมมองไม่เหมือนกัน แต่สามารถสนับสนุนซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี อยู่บนดินได้รายละเอียด แต่ขาดโครงสร้างและความสัมพันธ์ในระดับสูง มองจากบนฟ้าได้เห็นโครงสร้างและความสัมพันธ์ในระดับสูง แต่ขาดรายละเอียดไป
ปัญหาหลายๆ อย่างในสังคมหรือชีวิตเรานั้น เราได้พบได้เห็นเหมือนกับรายละเอียดที่เรามองอยู่บนดิน แต่เราไม่ได้มีโอกาสมองจากข้างนอกหรือมองที่ในระดับความสูงขึ้นเพื่อหาความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่างที่อยู่รอบๆ ตัวเรา เพราะชีวิตเรา สังคมของเรา หรือสิ่งที่เราสนใจอยู่นั้นเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นองค์ประกอบหนึ่งของระบบที่ใหญ่กว่าหรือฝังตัวอยู่ในระบบที่ใหญ่กว่า ด้วยความเป็นธรรมชาติของระบบหรือสังคมและระบบต่างๆ ในธรรมชาติที่มีความเป็นองค์รวม นั่นหมายความว่า นอกจากเราจะต้องเขาใจตนเองแล้ว เรายังต้องเข้าใจสิ่งแวดล้อมที่ตนเองอยู่ด้วยว่ามีความสัมพันธ์และเชื่อมต่อกันอย่างเป็นองค์รวมได้อย่างไร
ถ้าเรามีความเข้าใจในประเด็นนี้เราแล้ว จะทำให้เราสามารถที่จะปรับตัวเราเองให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาได้อย่างทันท่วงที ปัญหาต่างๆ ที่เราเผชิญอยู่ไม่ว่าจะในชีวิตเราหรือธุรกิจการงานที่เราทำอยู่ อาจจะไม่ได้เกิดจากรายละเอียดที่เป็นอยู่ก็ได้ สังเกตได้จากปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ้าเป็นเช่นนั้นเราก็คงจะต้องแก้กันที่โครงสร้างมากกว่าที่รายละเอียดที่เป็นปลายเหตุซึ่งไม่ใช่ต้นเหตุ เพราะโครงสร้างกำหนดพฤติกรรมซึ่งทำให้เกิดรายละเอียด ถ้ารายละเอียดนั้นเป็นปัญหาเราก็จะต้องแก้กันที่โครงสร้าง แนวคิดนี้เริ่มถูกนำเข้ามาใช้ในการมองปัญหาในระยะหลังนี้มากขึ้น เพราะปัญหาในปัจจุบันเริ่มเกิดขึ้นอย่างซ้ำซากและซับซ้อน และไม่ได้ถูกแก้กันที่โครงสร้าง ยิ่งปล่อยไว้ก็ยิ่งจะทำให้ปัญหาทวีความซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะแก้ไขหรืออาจจะต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าที่เคยคิดไว้ ดังนั้นวันนี้เราคงจะต้องหันมามองปัญหาต่างๆ ในชีวิตหรือธุรกิจการงานในมุมสูงในภาพกว้างหรือภาพใหญ่ (Big Picture) บ้างเพื่อให้เห็นถึงโครงสร้างในมุมกว้างที่เป็นต้นเหตุของพฤติกรรมในรายละเอียดที่เราไม่พึ่งปรารถนา และเราจะได้แก้ปัญหาในเชิงโครงสร้างได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่ไปแก้ที่รายละเอียดเหมือนกับการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุซึ่งไม่ใช่ที่รากเหง้าของปัญหา
วันพุธที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555
My Journal บินสูงบ้าง…..มองปัญหาที่โครงสร้าง
08:37
โครงสร้าง, แนวคิด, สิ่งแวดล้อม, Structure