วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Perspectives – 12. รื้อกระสอบทราย บิ๊กแบค เปิดประตูน้ำ และภัยพิบัติที่ไม่ใช่แค่ภัยธรรมชาติ คือ ปัญหาพยศ (Wicked Problems)
วันพุธที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Perspectives - 11. ปัญหาชาติ ปัญหาสังคม อย่ามักง่าย คิดง่ายๆ จนกลายเป็นเรื่องที่ยาก
วันอังคารที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Perspectives – 10. ถึงเวลาแล้วหรือยังสำหรับการมียุทธศาสตร์ชาติที่แท้จริง
เห็นข่าวใน TV ที่ท่านนายกรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการ 2คณะเพื่อหาทางในการแก้ไขและเยียวยาและฟื้นฟูประเทศ ผมได้ยินคำว่ายุทธศาสตร์แล้วรู้สึกเอียนเป็นอย่างยิ่ง ดูไปดูมาแล้วไม่อะไรจะทำหรือไม่มีอะไรจะคิดแล้วหรือ? ว่าแล้วก็ใช้คำยุทธศาสต์ก็แล้วกัน ดูขลังดี ผมก็เห็นใช้คำนี้กันในทุกๆ หน่วยงาน ทุกจังหวัด ดูแล้วก็เท่ห์ดี ดูแล้วก็มีความหวังในชีวิต มีความหวังในประเทศของเรา แต่ผมดูแล้วสิ้นหวังกันจริงๆ ผมคิดว่าทำไปแล้วมันเปล่าประโยชน์จริงๆ เปลืองกระดาษ เปลืองเวลา เปลืองงบประมาณ มียุทธศาสตร์หรือไม่มียุทธศาสตร์แล้ว พวกเราจะทำงานได้ดีกว่านี้หรือแตกต่างกันหรือไม่? แม้แต่ในขณะที่เขียนบทความนี้อยู่ก็ดูข่าวใน TVไปด้วยได้ยินนักข่าวกำลังพูดถึงเรื่องยุทธศาสตร์ในการป้องกันนิคมอุตสาหกรรมลาดกระบัง แล้ว ยุทธศาสตร์ คือ อะไรกันแน่
Perspectives – 9. ความรู้ คือ อำนาจ แล้วเรามีความรู้อะไรบ้างจากภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้
Perspectives – 8. โซ่อุปทานเมือง โซ่อุปทานชีวิต
โดยปกติเมื่อเรากล่าวถึงระบบลอจิสติกส์ของเมือง (City Logistics) เราก็ควรจะอ้างถึงโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) และการเข้าถึงของทรัพยากรต่างๆ และส่งต่อคุณค่าระหว่างกันในโซ่อุปทานเพื่อสร้างประโยชน์ (Value Creation) ให้กับคนในเมือง ส่วนโซ่อุปทานเราก็ควรจะอ้างถึงกลุ่มผู้ที่สร้างคุณค่าต่างๆ ในโซ่อุปทานต่างๆ ที่อยู่ในฐานะผู้ผลิต (Manufacturer) ผู้ให้บริการลอจิสติกส์ (Logistics Service Providers) ผู้ให้บริการสาธารณะ (Public Service Providers) ผู้ให้บริการ (Service Providers) และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการนำส่งคุณค่า (Value Delivery)ไปถึงคนในเมือง
Perspectives – 7. การบูรณาการ (2) ต้องมองเชิงระบบ (Systems Thinking)
ผมได้ยินผู้ใหญ่ในบ้านเมืองพูดเรื่องการบูรณาการกันเยอะมากๆ จนเอียนเสียแล้วเพราะว่าไม่รู้ ที่จริงแล้วการบูรณาการ คือ อะไรกันแน่ ผมเองก็มีความเข้าใจในมุมมองของผม อย่าเชื่อนะครับ! ในมุมของผมนั้น การบูรณาการนั้นไม่ใช่เอาของหลายๆ สิ่งหลายๆ อย่าง หลายๆ คนมารวมกัน แล้วก็เฮโลกันไป นั่นเป็นแค่การร่วมกลุ่มเท่านั้น เมื่อมองไปรอบๆตัวเราในประเทศเรานั้น เรามีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายซึ่งค่อนข้างจะครบครันในการอำนวยความสะดวกให้ประชาชนในการดำรงชีวิตอยู่และเพื่อสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคม (ประเด็นนี้ไม่รู้ว่าจะมีครบหรือไม่) แค่เอาหลายสิ่งหลายอย่างๆ มารวมกันก็กลายเป็นพลังที่สำคัญ เราเข้าใจกันอย่างนั้น ความจริงแล้วพลังที่เกิดจากการรวมตัวนั้น ไม่ได้เกิดจากพลังของแต่ละส่วนเท่านั้น แต่ประเด็นสำคัญของการรวมตัวแบบบูรณาการนั้นเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน (Interactions)
อธิบายได้ง่ายๆ ครับว่า การนำเอานักฟุตบอลที่เก่งๆ หลายๆ คนมารวมตัวกันเล่นโดยไม่มีการซักซ้อมหรือการวางแผนร่วมกัน ทีมฟุตบอลทีมนี้ก็ไม่สามารถเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพได้ ในเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราเห็นองค์ประกอบของความช่วยเหลืออยู่มากมาย เรามีทรัพยากรพร้อมนะครับ แต่น่าเสียดายว่ามันขาดการทำงานร่วมกันหรือขาดการบูรณาการกัน ประเด็นของการบูรณาการ คือ การนำส่วนต่างๆ หรือระบบต่างๆ ที่มีความแตกต่างกันมาเชื่อมต่อกันเป็นหนึ่งเดียว มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน มีมาตรฐานในการสื่อสารในการทำงานร่วมกัน ขาดกันไม่ได้ ถ้าขาดกันไป เป้าหมายของการบูรณาการก็จะไม่บรรลุผล ผลของการบูรณาการ คือ การได้สิ่งใหม่ที่ดีกว่าของเก่าที่มารวมตัวกัน (A whole is greater than sum of its parts) หรือที่เรียกกันว่า อุบัติขึ้น (Emergence) การบูรณาการจึงเป็นระบบของส่วนต่างๆ (System of Parts) สำหรับการบูรณาการที่ใหญ่ขึ้นก็ คือ ระบบของระบบ (System of Systems)
ดังนั้นเมือง (City) จึงเป็น System of Systems เพราะว่าประกอบกันหรือบูรณาการระบบสาธารณูปโภคต่างๆ และระบบธุรกิจ ระบบการใช้ชีวิตของแต่ละบุคคลเข้าด้วยกันจนสามารถหล่อเลี้ยงชีวิตของคนเป็นล้านๆ คนได้ สำหรับการจัดการเมืองถ้าไม่ได้บูรณาการแล้ว เมืองก็คงไม่สามารถทำงานได้ ประชาชนที่อยู่ในเมืองก็ไม่ได้รับประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นเมืองต่างๆ ก็ถูกบูรณาการเป็นจังหวัดและจากจังหวัดก็ไปเป็นประเทศ จากประเทศต่างก็จะกลายไปเป็นประชาคมในภูมิภาค ถ้ามองกันอย่างนี้แล้ว มนุษย์เราเองสร้างสิ่งต่างๆ ขึ้นมาไม่ว่าจะเป็นระบบหรือสังคมต่างๆ เราได้ทำการบูรณาการทรัพยากรต่างไปโดยไม่รู้ตัว ถ้าเราได้ศึกษาจากผลสำเร็จในอดีตและจากธรรมชาติ เราก็จะสามารถออกแบบและพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน (Complex) ที่มากขึ้นเพื่อประโยชน์(Values)ที่มากขึ้น
เมื่อปัญหาเกิดขึ้นในระบบใดซึ่งโดยธรรมชาติแล้วระบบนั้นจะถูกบูรณาการจากส่วนย่อยต่างๆ หรือจากระบบย่อยต่างๆ ที่ทำให้ระบบใดๆ นั้นจะทำระบบใดๆ นั้นไม่สามารถสร้างคุณค่าออกมาได้ ถ้าเราจะแก้ปัญหาหรือจะพัฒนาระบบใดๆ นั้น เราก็จำเป็นที่จะต้องมองให้เห็นภาพใหญ่ (Big Picture) หรือ ภาพรวมทั้งหมด (A whole) ซึ่งครอบคลุมทุกๆส่วนย่อยและต้องคิดอย่างองค์รวม (Holistic Thinking) หรือการคิดเชิงระบบ (System Thinking) ซึ่งหมายถึง ความเข้าใจในความสัมพันธ์ (Relationship) และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกัน (Interactions) ภาพของกระบวนการแก้ปัญหาจึงจะต้องล้อตามหรือสอดคล้องไปตามการบูรณาการของระบบที่เป็นปัญหาหรือระบบที่จะพัฒนา ดังนั้นการแก้ปัญหาหรือการพัฒนาของระบบโดยมุ่งเน้นไปที่จุดใดจุดหนึ่งนั้น โดยเฉพาะการที่ต่างคนต่างทำ ซึ่งมักจะไม่ได้ผลที่ดีหรือไม่มีประสิทธิภาพ เพราะเป็นการมองแบบแยกส่วน (Reductionism)
การแก้ปัญหาของระบบที่ล้มเหลว (System Failure) จะต้องมองและทำความเข้าใจปัญหาในเชิงระบบ (Systemic) ไม่ใช่การมองปัญหาแบบเป็นอาการๆ เมื่อแก้ที่จุดหนึ่งแล้วกลับไปแสดงอาการอีกอาการที่อีกจุดหนึ่ง นั่นเป็นธรรมชาติของระบบ ถ้าทำกันเช่นนี้ เราก็แก้ปัญหากันแบบไม่รู้จบ เมื่อระบบล้มเหลว เราก็จะต้องเอาความเป็นระบบที่ถูกต้องเข้ามาแก้ไขปัญหา เราจะต้องบูรณาการส่วนที่เกี่ยวข้องเข้ามาเพื่อช่วยในการแก้ปัญหา นั่นหมายถึง ไม่ใช่แค่การระดมสรรพกำลังตามปกติ แต่จะต้องมีระบบเป็นที่ตั้งแล้วจึงสื่อสารและประสานงานอย่างเป็นมาตรฐานออกไป จะต้องมี Protocol ที่ชัดเจนในการทำงานร่วมกัน นั่นเป็นสิ่งที่ผมมองเห็นว่าเรายังขาดสิ่งนั้น เหตุการณ์ทุกครั้งน่าจะเป็นบทเรียนการบูรณาการได้ แล้วเราจะจำกันได้หรือไม่
Perspectives – 6. ความเสี่ยงกับไม่ความแน่นอนที่จะเสียหายหรือล้มเหลว
ระดับของความไม่แน่นอนนี้ (Measurement of Uncertainty) สามารถวัดได้ด้วยค่าความน่าจะเป็น (Probability) ยิ่งความน่าจะเป็นสูงก็มีโอกาสเกิดเหตุการณ์ขึ้นได้มากในแต่ละช่วงเวลาอย่างสุ่ม (Randomly) ยิ่งผมคิดว่าอะไรก็ตามที่คนเราคิดได้ มันมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้เสมอ และยังมีอะไรๆ อีกมากมายที่เรามนุษย์ไม่รู้ในธรรมชาติก็อาจจะเกิดขึ้นได้อย่างสุ่ม (Randomly) โดยเราไม่ได้คาดคิดมาก่อน
ระหว่างเหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้เราได้ยินคำว่าความเสี่ยง (Risk) อยู่เป็นประจำ แล้วความเสี่ยง คือ อะไร? ความเสี่ยง คือ โอกาสหรือความน่าจะเป็นที่จะเกิดความเสียหาย (a loss or catastrophe) หรือผลลัพธ์ไม่ได้ตรงตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ (Undesirable Outcome) หลังจากเราได้ตัดสินใจไป ดังนั้นความเสี่ยงเกิดขึ้นเมื่อเราได้ตัดสินใจ แล้วเราจะตัดสินใจ (Making Decisions) อย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดความเสี่ยง ซึ่งก็คือ การจัดการความเสี่ยง(Risk Management) นั่นเอง
Perspectives – 5. การหยุดชะงักหรือการขาดตอนของโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption)
ดังนั้นถ้าโซ่อุปทานทั้งหลายเกิดหยุดชะงัก (Disruption) ขึ้นมา เราจะทำอย่างไร เราจะกู้อย่างไร ตรงนี้ยังไม่ใช่ประเด็นแรก แต่เราจะต้องคิดเอาไว้ก่อนตั้งแต่ยังไม่เกิดเรื่องขึ้น เราจะต้องวางแผนไว้ก่อนที่มันจะเกิดการหยุดชะงัก และเมื่อการหยุดชะงักแล้ว เราก็ควรจะมีแผนไว้รองรับอย่างไร เพราะว่าเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร อะไรที่อยู่ในการควบคุมของเรา เราก็จะต้องวางแผนและควบคุม เพื่อลดความเสี่ยงในการดำเนินการ ไม่ใช่แค่ทำประกันไว้ นั่นไม่ใช่การแก้ปัญหา ได้เงินทดแทนคืนมาก็ไม่ได้ช่วยในการแก้ปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช่เหมือนกับเหตุการณ์แบบน้ำท่วมในครั้งนี้ ดูเหมือนว่าเราจะไม่มีแผนรองรับ เออ! แล้วทำไมไม่คิดไว้ตั้งแต่แรก ในช่วงตอนน้ำไม่ท่วม แล้วทำไมเราไว้ไม่คิดไว้ เราก็มีบทเรียนมาหลายรอบแล้ว เมืองต่างๆ ทั่วโลกก็เป็นบทเรียนให้เราได้ เรามาแก้ปัญหาเฉพาะหน้านั้นกันตลอดเวลาไม่ได้หรอกครับ ถ้าเป็นอย่างนี้แล้วเราเองก็จะต้องสำรองวิธีการต่างๆ ไว้เผื่อไว้ สร้างหรือออกแบบโซ่อุปทานเผื่อไว้ เหมือนเราตุนสำรองสินค้าไว้ในยามขาดแคลน แต่สำหรับโซ่อุปทานนั้นมันไม่ได้ตุนอะไรกันง่ายๆ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นชิ้นๆ แต่มันเป็นโครงสร้างของหลายๆ บริษัท หลายๆ องค์กร หลายๆ อุตสาหกรรมที่ต้องมาทำงานร่วมกัน จะเป็นแบบอย่างทางการ (มีการวางแผนร่วมกัน) หรือไม่เป็นทางการ (ซื้อมาขายไป) เราจะทำอย่างไรให้เรามีโซ่อุปทานสำรองไว้ใช้งาน สร้างสินค้าและบริการไว้ยามฉุกเฉิน แต่เราเองก็ไม่เคยมีใครคาดคิดว่าน้ำจะมากมายมหาศาลขนาดนี้ ถ้าใครพูดในตอนที่น้ำยังไม่ท่วม ก็คงถูกหาว่าบ้าไปเลย แล้วใครจะกล้าพูดล่ะ เราคงจะต้องมาพิจารณากันใหม่สำหรับสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้ และคงจะต้องเลิกคิดแค่แต่ในทางดีหรือทางบวกเท่านั้น คงจะต้องวางแผนเผื่อไว้ในทุกๆ สถานการณ์ที่สามารถเกิดขึ้นได้!
Perspectives – 4. ภาพชีวิต–2 (ของหมา)
Perspectives – 3. การบูรณาการ
Perspectives – 2.ภาพชีวิต (Reflection of Lifes)
ผมนั่งดูข่าวชีวิตของผู้ประสบภัยแล้ว ส่วนใหญ่น่าสงสารมาก (ที่จริงแล้วผมควรจะสงสารตัวเองไว้ด้วย) ต้องถามว่าแล้วทำไมพวกเขาต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นด้วย ทำไมพวกเขาถึงไม่อพยพหรือพวกเขาคิดกันอย่างไร ทำไมพวกเขาต้องมาทะเลาะกันเพื่อการกั้นน้ำและการระบายน้ำโดยไม่ได้คำนึงถึงภาพใหญ่ ทำไมผู้หลักผู้ใหญ่ในสังคมถึงทำงานบนความขัดแย้งกันอย่างไม่รู้จบ แม้แต่พวกเรากันเองที่พอมีศักยภาพบ้างก็ยังใช้สื่อ Online ที่มีประโยชน์ไปในทางทำลายกัน ทั้งๆ ที่ก็ดูแล้วไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องทำอย่างนั้น ทำไปเพื่อความสะใจของตัวเองอย่างนั้นหรือ เสียค่า Air Time หรือ ค่า GB ของข้อมูลเปล่า เอาคุณค่าในการสื่อสารเหล่านั้นมากช่วยสร้างสรรค์สังคมในมุมอื่นๆ ยังจะดีกว่า โดยเฉพาะในเวลาอย่างนี้ เพื่อให้สังคมเราดีขึ้นจะได้มีการอุบัติอะไรใหม่ขึ้นมา
Perspectives – 1. ความน่าเชื่อถือของเรา (ประเทศไทย)
วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
Disaster – 4. ลองคิดเล่นๆ แต่น่าจะจริง
Disaster - 3. การจัดการภัยพิบัติ ไม่ใช่การแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ต้องวางแผนกันมาก่อน
Disaster – ประเด็นลอจิสติกส์และโซ่อุปทานในเหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วม
มหาอุทกภัยครั้งนี้ น้ำไม่ได้มาสร้างประโยชน์อะไรให้กับเรามากนัก แต่กลับมาทำลายความเป็นอยู่ของเรามากกว่า เพราะว่ามันมามากจนเกินไป แล้วทำไมเราไม่จัดการ ทีตอนแล้งนั้นเราจัดการได้ ประเด็น คือ น้ำซึ่งเคยมีประโยชน์ในเชิงลอจิสติกส์ในการขนส่งเป็นส่วนหนึ่งของโซ่อุปทานของคุณค่าต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์
ถ้าเราลองคิดและมองให้ลึกๆ แล้ว เราดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วย ไฟฟ้า ประปา ที่อยู่อาศัย การติดต่อสื่อสาร อาหาร ยารักษาโรค ประเด็นลอจิสติกส์ในภาวะอย่างนี้แล้ว ไม่ใช่ประเด็นเรื่องของการจัดการหรือลดต้นทุนเสียแล้ว แต่เป็นประเด็นในการได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการในเวลาที่ต้องการและในจำนวนที่ต้องการ ซึ่งคืออาหารและน้ำรวมทั้งสิ่งจำเป็นต่างๆ ในการดำรงชีวิตในภาวะวิกฤต สำหรับสิ่งเหล่านี้ พอถึงเวลาที่ต้องการแล้ว อาจจะไม่มีหรือขาดแคลน ถึงมีก็อาจจะมีราคาแพงกว่าความเป็นจริงมาก แต่เราก็ยอมที่จะเสียและแลกมาเพื่อนำสิ่งที่เป็นประโยชน์เหล่านั้นมาใช้ในยามภาวะฉุกเฉิน จ่ายแพงไม่ว่า ขอให้ได้ของที่ต้องการ และยังวางแผนคาดการณ์ในการสะสมหรือสำรองไว้ใช้ในอนาคตในภาวะที่ไม่มีความแน่นอนว่าระบบลอจิสติกส์และโซ่อุปทานที่มีอยู่นั้นจะสามารถสร้างคุณค่าหรือสิ่งที่เป็นประโยชน์กลับมาได้อีกเมื่อไร
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดในการจัดการในภาวะฉุกเฉิน คือ ลอจิสติกส์ที่หมายถึงการทำให้ผู้ประสบภัยได้รับสิ่งที่จำเป็นในการดำรงชีวิตในภาวะฉุกเฉิน เราต้องอย่าลืมว่าภาวะฉุกเฉินเป็นภาวะที่โซ่อุปทานของคุณค่าอื่นๆ ทั้งหลายในสังคมของเราที่ทำให้ดำรงชีวิตได้ตามที่เราต้องการซึ่งถูกทำให้หยุดชะงัก (Disruptions) ไป คุณค่าต่างๆ ในรูปผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ ที่ถูกสร้างจากโซ่อุปทานในสังคมก็ขาดตอน ทำให้สินค้าขาดแคลน ทำให้เกิดเป็นอุปสงค์เทียมที่ทำให้เกิดการกักตุนสินค้า ทำให้เกิดความต้องการสินค้าเฉพาะอย่างขึ้นมาในภาวะฉุกเฉิน ทำให้ราคาของสินค้าหรือสิ่งของที่จำเป็นในการดำรงชีวิตเพิ่มขึ้นตามความต้องการที่เพิ่มขึ้นจนทำให้ทางภาครัฐต้องประกาศการควบคุมราคาสินค้า ประเด็นเหล่านี้ เป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในภาวะวิกฤตซึ่งเกิดขึ้นมานานแล้วบนสังคมโลกมนุษย์เราไม่ว่าที่ใดในโลก
Disaster -- ภัยพิบัติ กับ ความเปราะบางของการจัดการภัยพิบัติ
ผมเองก็ไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นเหตุการณ์อย่างนี้ในชีวิตจริง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้พบประสบเหตุการณ์ด้วยตนเองก็ตาม แต่มันก็ดูน่ากลัวทีเดียว ก็แค่ได้เห็นความเสียหายในจอทีวีก็แย่แล้ว ยิ่งเห็นความเดือดร้อนของประชาชนทั่วไปที่ยังต้องอยู่กับน้ำไปอีกนาน น้ำท่วมก็เป็นภัยพิบัติชนิดหนึ่งของภัยพิบัติอีกหลายๆ อย่างที่จะเกิดขึ้นมาอีก ในอนาคตข้างหน้า เรามักจะถูกสั่งสอนด้วยคำพูดง่ายว่า เกิดเป็นคนไทยนั้นโชคดี แต่ผมว่าความโชคดีของเรานั้นกำลังจะหมดไปแล้ว แล้วเราจะทำอย่างไรต่อไป ระหว่างที่เรากำลังใช้ชีวิตอยู่บนความโชคดีทั้งหลาย ที่ทำให้เราอยู่สุขสบายโดยไม่ค่อยได้มีภัยพิบัติอะไรกับใครๆ ในโลกนี้เสียเท่าไหร่นัก ก็ไม่รู้ว่าเรานั้นคิดกันอย่างหรือไม่ เป็นหน้าที่ของใคร หรือว่าเขามีการคิดกันมาแล้ว แล้วทำไมประชาชนเดินถนนนั้น ทำไมเราไม่ได้รู้กันหรือ เห็นความวิบัติต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลกทั้งที่เป็นของจริงและในภาพยนต์แล้ว ก็ไม่นึกว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเราเองนี้ที่ใกล้ๆ กรุงเทพฯ นี่เอง ทำไมหรือครับ? คำตอบง่ายๆ ก็ คือ ไม่เคยคิดเลยในชีวิตนี้มันจะเกิดขึ้นที่ใกล้กรุงเทพฯ นี่เอง
ประเด็น คือ ทำไมคนเราไม่เคยคิดว่ามันจะเกิดขึ้น ทำไมคนเราไม่เคยเชื่อว่ามันจะเป็นจริง หรือว่ามันจำเป็นที่จะต้องให้เจอกับของจริงแล้วให้มันเสียหายกันเสียก่อนหรือ ผมก็คงจะไม่ได้มาวิจารณ์หรือ Comment อะไรในช่วงนี้ เพราะพวกเราก็ด่ากันเองหรือโทษกันเองอยู่เสมออยู่แล้ว เป็นธรรมเนียมของการทำงาน แล้วก็ปลอบประโลมกันด้วยว่าคนไทยเรารักกันเสมอ เราช่วยกันเสมอ ผมคิดว่า คนทั่วโลกก็เป็นกันอย่างนี้ล่ะครับทั่วโลก พวกเขาก็ช่วยเหลือกันเหมือนกัน ไม่ใช่แค่คนไทยหรอกครับ ทำไมต้องมาหลอกตัวเองกันด้วยว่า เราเป็นคนดีด้วยเล่า บางครั้งเราก็ต้องยอมรับในความล้มเหลวของสังคมเราหรือความเปราะบางของโครงสร้างของการจัดการสังคมหรือประเทศ เรามีเปลือกนอกที่สวยงามที่เราพยายามจะดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มาเที่ยวเมืองไทย เราป่าวประกาศว่าการท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้ที่สำคัญ แต่วันนี้โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศได้ทำลายแหล่งท่องเที่ยวไปหมดแล้ว อีกหน่อยนักท่องเที่ยวก็อาจจะต้องเช็คถึงความเสี่ยงในการเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยด้วย ยังไม่ต้องพูดถึงแหล่งท่องเที่ยวหรอกครับ เอาแค่คนไทยกันเองจะไปอยู่กันอย่างไรให้มีความมั่นคงในชีวิต
ประเทศไทยเรานั้น ผมมองว่ามีเครื่องไม้เครื่องมือที่ครบถ้วน ตามที่จะหาซื้อได้ ตามความรู้ที่ได้เล่าเรียนมาจากสาขาวิชาต่างๆ ยิ่งพอจะมีเงินขึ้นมาบ้าง เราก็สร้างโน่นสร้างนี่ขึ้นมา เพื่อให้เป็นเกียรติ เป็นศรีแก่ประเทศ สังคมเราก็ขยายขึ้นและมีความซับซ้อน (Complexity)ขึ้น แต่ที่สุดแล้วก็ยังขาดการจัดการ (Management) ที่ดี และที่ถูกต้องด้วย ผมมองว่าเราขาด ระบบปฏิบัติการ (Operating System) ที่ดีและที่เหมาะสม ไม่ใช่ว่าเราจะไม่มีเสียเลยนะครับ ที่ใช้อยู่ก็ดี แต่ยังไม่ดีพอ ขาดความเป็นพลวัต (Dynamics) เพราะว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่ไม่คาดคิดหรือฉุกเฉินขึ้นมา เรามักจะไม่ค่อยมีแผนที่ดีรองรับ ถึงแม้ว่าบางครั้งแผนที่ดีรองรับแล้ว แต่กลับไม่ได้ถูกนำไปปฏิบัติอย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำงานร่วมกัน (Collaboration) ที่เป็นการทำงานข้ามสายงาน (Cross Functional) ที่แต่ละคนก็เก่งกันคนละอย่าง มีเป้าหมายกันคนละเรื่อง มีตัวชี้วัดที่สนับสนุนกันบ้าง ขัดแย้งกันบ้าง แต่จะต้องมาทำงานร่วมกันทั้งในยามปกติและในยามวิกฤต ผลลัพธ์ที่ออกมาก็น่าจะได้เห็นๆ กันอยู่แล้ว ผมเชื่อในความหวังดีของทุกคน แต่ทุกคนที่ร่วมงานก็อาจจะไม่ได้เห็นภาพใหญ่หรือจุดสุดท้าย หรือไม่ได้เห็นผลลัพธ์ต่อเนื่องที่ตามมาอย่างไม่คาดคิด ไม่น่าเชื่อจริงว่ามันจะเกิดขึ้น ถึงตอนนี้ถ้าให้หลายๆ คนที่เกี่ยวข้องลองย้อนกลับไปดูข้อมูลในการทำงานต่างๆ ในอดีตเมื่อไม่กี่เดือนนี้ ถ้าเราลองเปลี่ยนการทำงานใหม่ ถ้าเราย้อนเวลากลับไปได้แล้ว เหตุการณ์เหล่านี้ อาจจะเบาบางกว่านี้ก็ได้ ผมเองไม่สามารถรู้ได้หรอกครับ
ผลที่เกิดขึ้นในวันนี้ ย่อมมาจากสาเหตุที่เกิดขึ้นในอดีต ถึงแม้ว่าเราจะไปแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เราก็สามารถเรียนรู้จากอดีตได้เสมอ ในขณะเดียวกันถ้าเราสามารถมองเห็นอนาคตหรือพยากรณ์คาดการณ์ในเรื่องราวที่เราอาจจะไม่คาดคิดได้ว่ามันจะเกิด เพราะมันไม่เคยเกิดขึ้น แต่มันมีความน่าจะเป็นเพียงพอ และเราเชื่อและมั่นใจ แล้วถ้าเราได้จัดเตรียมไว้ ทั้งเตรียมตัวและเตรียมทรัพยากรต่างๆ ไว้ โดยเฉพาะการเตรียมความพร้อมและความเข้าใจของประชาชนซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรง ก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีความรู้หรือความตระหนักในภัยพิบัติที่มันจะเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้เป็นหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องซึ่งจะใช้ทุกวิถีทางในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน ก่อนที่ภัยพิบัติมันจะเกิด เพราะดูจากเหตุการณ์ต่างๆ แล้ว มันเกิดขึ้นมาแล้ว ความเสียหายต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นเพราะมาจากความไม่รู้หรือความไม่ตระหนักของประชาชน ความไม่มีประสบการณ์ในเหตุการณ์ภัยพิบัติเช่นนี้ แต่ก็คงไม่ใช่ความผิดของใครหรอกครับ เรื่องอย่างนี้ มันต้องใช้ความเชื่อในหน่วนงานภาครัฐที่จะต้องทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจถึงภัยพิบัติต่างๆ เราเคยเห็นในหนังฝรั่งที่แสดงให้เห็นถึงการรับมือกับภัยพิบัติทั้งหลาย เราเห็นการทำงานของหน่วยงานต่างๆ การตัดสินใจร่วมกันเพื่อเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ และการปฏิบัติตัวของประชาชนในการรับมือเหตุการณ์ต่างๆ
ก่อนเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งหลาย มันย่อมมีสาเหตุและที่มาเสมอ อย่างน้อยก็ต้องมีคนรู้และคนที่สังเกตุเห็นสิ่งผิดปกติและความเป็นไปได้ต่างๆ ของภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้น กระบวนการดำเนินงานในการรับมือต่างก็จะต้องถูกนำมาปฏิบัติอย่างสอดคล้องกันในแบบบูรณาการกันแบบรวมหน่วยกัน ไม่ใช่แยกกันออกไปทำ โดยเฉพาะประชาชนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบโดยตรง ต่างคนก็ต่างปกป้องทรัพย์สินและพื้นที่ปลอดภัยของตัวเอง แต่ก็ไม่สามารถรับรู้ถึงพลังของธรรมชาติ และผลสืบเนื่องที่เชื่อมโยงกันเป็นทอดๆ ปัญหาหนึ่งในการจัดการภัยพิบัตินั้น ก็คือ การจัดการกับฝูงชน หรือ Crowd Control เพราะว่านั้นเป็นเป้าหมายในการรักษาชีวิตของฝูงชนไว้ไว้ แต่ในขณะเดียวกันฝูงชนเองนั้นกลับเป็นปัญหา ความไม่รู้ถึงข้อมูล การบริโภคข้อมูล และการไม่สามารถใช้ข้อมูลเหล่านั้นในการตัดสินใจต่างๆ ก็เลยทำให้เกิดการแตกตื่น (Panic) ผมเองยังไม่ค่อยเห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมมากนักในประเด็นนี้ แต่ก็คิดว่ามีกระบวนการเหล่านั้นอยู่ แต่ก็ยังไม่ได้เห็นอย่างทั่วถึงนัก หรืออาจจะมีการดำเนินการเป็นช่วงๆ หรือเป็นพื้นที่ไป แต่ยังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินชีวิตของเรา
เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดมาจากการวางแผนที่ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งผมหมายความถึง ไม่ใช่แค่การที่เราไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น และป้องกันได้ เพื่อให้เกิดความเสียหายน้อยที่สุด แต่ยังหมายถึงการวางแผนร่วมกันระหว่างหน่วยงาน การทำงานร่วมกันด้วยเพื่อให้เกิดผลเป็นไปตามแผน อีกทั้งเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว เรายังจะต้องมีการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่การเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากพี่น้องประชาชนให้มาช่วยกัน ใช้แรงในการบรรจุกระสอบทรายการ แรงคิดมาช่วยกันแก้ปัญหา เพราะว่าคนไทยรักกัน เรามาช่วยกัน แต่มันก็ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น ยิ่งจะทะเลาะกันไปใหญ่ แล้วทำไมไม่คุยกันมาแต่แรกๆ แล้วทำไมไม่วางแผนกันตั้งแต่แรก ถกเถียงกันแต่แรกเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ควรจะตั้งหน่วยงานอะไร ใครมีส่วนเกี่ยวข้องกันอย่างไร ทุกคนต้องรู้หน้าที่มาก่อน มีการฝึกซ้อมกันมาก่อนมีการตกลงกันมาก่อน ไม่ใช่นึกอยากจะตั้งศูนย์อะไรก็ตั้งขึ้นมา แล้วค่อยมาระดมสมองและร่วมแรงกัน ซึ่งอาจจะทำให้ยิ่งเกิดความขัดแย้งกันมายิ่งขึ้นเพราะทุกคนมีความหวังดี แต่ก็ไม่มีประสบการณ์กันมาทั้งนั้น และถ้าได้แผนงานที่เหมาะสมแล้วก็ควรจะดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด และทำการประเมินว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่เพื่อที่จะได้ไปปรับแผนกันเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ มันดูเป็นกระบวนการที่ดูง่ายๆ เรียบๆ แต่มันยากเหลือเกินเพื่อนำไปปฏิบัติกับหมู่คนที่มีความเก่งๆ ที่แตกต่างกัน แต่พวกเขาอาจจะมองไม่เห็นว่าผลสุดท้ายแล้ว เพราะทุกคนก็มีเป้าหมายเดียวกันทั้งสิ้น คือ การมีชีวิตอยู่