ปริญญาโท - ทำ Thesis หรือ IS ดีกว่ากัน? โธ่เรื่องอย่างนี้ไม่น่าจะถามเลยอาจารย์ ต้องทำ IS อยู่แล้ว เอาง่ายไว้ก่อน จบกันชัวร์ๆ ไว้ก่อน นั่นคงจะเป็นความรู้สึกเบื้องต้นสำหรับการรับมือในการสำเร็จการศึกษาเพื่อให้ได้ใบปริญญาโทของนักศึกษาทั่วไป ในขณะเดียวกันผู้ที่ให้บริการการศึกษาในระดับปริญญาโทก็อยากให้คนมาเรียนเยอะๆ จะได้ทำเงินได้เยอะๆ อาจารย์ทั้งหลายจะได้มีชั่วโมงสอน มีค่าที่ปรึกษา IS เป็นจำนวนมากๆ หน่อยจะได้ค่าหัวกันอีก ก็ไม่ผิดอะไรหรอกครับ เป็นไปตามข้อกำหนดทางการค้า เออ! ผมพูดแรงไปหรือเปล่า ก็คงจะไม่มั๊ง! มันก็ใช่นั่นแหละ แล้วจะมาเสแสร้งกันทำไมว่ามีคุณภาพ ความจริงก็สมยอมกันทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ อีกฝ่ายก็อยากจะจบ ส่วนอีกฝ่ายก็ต้องพยายามจะให้จบ ไม่งั้น Rating ก็คงจะจบกัน ไม่ผิดหรอกนะครับ เพราะว่าผมเองก็ทำมาหากินอยู่ในกระบวนการเหล่านี้เหมือนกัน เพียงแต่ว่าเมื่อพวกเขามาหาความรู้กันแล้ว เราจะให้ความรู้อะไรกับพวกเขากันอย่างไรดี ทำให้เขาได้คิดเป็น จริงๆ มันก็แค่คลิกเดียวเท่านั้นแหละครับ
แน่นอนครับ เมื่อทำอะไรไปแล้วก็คงจะต้องมีการวัดผลลัพธ์ เมื่อมีการเรียนก็ต้องมีการทดสอบ เมื่อทดสอบเสร็จแล้ว ก็ต้องมีใบรับประกันความสำเร็จ แต่ก็ไม่ได้เป็นใบรับประกันคุณภาพของคนๆ นั้น เราก็ต้องยอมรับว่าการสอบเป็นการทดสอบความรู้ความสามารถแบบหนึ่ง แต่ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดต่างๆ ที่ถูกกำหนดขึ้นเพื่อให้เกิดความสะดวกในการทดสอบ โดยเฉพาะเมื่อมีข้อจำกัดเรื่องเวลาและจำนวนทรัพยากรในการทดสอบ คนที่สอบเก่งก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำงานได้ ทำงานเก่ง ในขณะเดียวกัน คนที่ทำงานได้ ทำงานเก่ง อาจจะสอบไม่เก่งก็ได้ การทดสอบหรือการสอบมีหลายวัตถุประสงค์ มีทั้งการทดสอบเพื่อคุณสมบัติที่กำหนด หรือการสอบเพื่อคัดเลือก วิธีการและเนื้อหาก็แตกต่างกันออกไป
พอมาถึงปริญญาโท เราต้องมาดูว่าเป้าหมายของปริญญาโท คือ อะไร สำหรับผมคงคิดว่าไม่ใช่แค่ทำอะไรเป็น ทำงานเป็นขึ้นหรือมีความรู้มากขึ้น ผมคิดว่า นั่นเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก การมาเรียนปริญญาโทนั้น ไม่ใช่มาเอาความรู้ แต่เป็นการมาฝึกกระบวนการการคิด กระบวนการสร้างภาวะผู้นำ นั่นในมุมมองของผมนะครับ ใครๆ ที่อื่นไหนในโลกเขาคิดกันอย่างไร สอนกันแบบไหน ผมไม่คิดว่าผิด แต่ผมคิดว่า ปริญญาตรีเรียนรู้ความรู้พื้นฐานมานานมากพอแล้ว ที่เหลือในชีวิตนั้น อ่านเองไม่เป็นหรือไง หากินเองไม่เป็นหรือไง แล้วยังจะมีหน้ามาเรียนโทอีก หนังสือยังอ่านเองไม่รู้เรื่องเลย ยังหากินเอาตัวรอดไม่ได้ แล้วจะไปเป็นผู้บริหารนำพาองค์กรรอดได้อย่างไร ก็คงจะมีคนที่เรียนโทอีกมากเถียงผมและด่าผมในใจว่า ใครว่าจบแล้วจะไปเป็นผู้บริหารเล่าอาจารย์ จบกลับไปก็ทำงานเหมือนเดิม เอาวุฒิไปขึ้นเงินเดือน หรือไม่ก็ไปหางานใหม่ อะไรทำนองนั้น เออ! ก็ดีก็ยังพอจะหาประโยชน์จากปริญญาโทได้บ้าง
ที่จริงแล้วนอกจากที่เราจะได้ความรู้จากอาจารย์ที่สอนในระดับปริญญาโท ไม่ว่าท่านเหล่านั้นจะสอนอะไร ก็จะต้องมีการนำเอาความรู้เหล่านั้น ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ หรือที่เรียกว่าประยุกต์ใช้ เขาคิดกันแค่นี้ ก็ดีใจกันตายแล้ว ประเสริฐจริงๆ ถามจริงๆ เถอะว่า ถ้าไม่ได้มาเรียนปริญญาโทแล้ว จะคิดเอง พัฒนาเองหรือขวนขวายดิ้นรน ทำอย่างนั้นไม่ได้หรือ คำตอบ คือ ทำได้ทุกคนครับ ถ้ามันจะตาย หรือถ้าจะให้อยู่รอดแล้ว พวกเราทำได้ สำเร็จบ้าง ไม่สำเร็จบ้าง ลูกค้าเป็นคนกำหนด แต่ไม่มีปริญญาโทให้นะครับ แต่เป็นผลกำไรหรือธุรกิจที่เกิดขึ้น เออ! แล้วเรามาเรียนปริญญาโทกันทำไม
สำหรับผมแล้วการเรียนปริญญาโทนั้นเป็นการศึกษากระบวนการเรียนรู้ เป็นเรียนรู้เพื่อนำไปแก้ปัญหา และเป็นการแก้ปัญหาที่ยังไม่เกิดเสียด้วย เป็นการสร้างปัญหาจากอนาคต ปริญญาโทสร้างคนให้มีกระบวนการคิดและคิดอย่างเป็นกระบวนการ เป็นกระบวนการกำหนดปัญหาและแก้ปัญหา แล้วนำเสนอ มันเป็นการใช้ความรู้ในการตั้งปัญหาหรือระบุปัญหา มันเป็นการแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำ ซึ่งเป็นหัวใจของปริญญาโท ไม่ใช่แค่การประยุกต์ใช้ความรู้ทั่วไปที่เป็นการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นใน Operations หรือเป็นการดำเนินงานตามปกติที่เกิดขึ้นใน Operations ซึ่งไม่ต้องจบปริญญาโทก็มีคนทำได้อยู่แล้ว แต่ปัญหาใน Operation หลายอย่างต้องการคนอย่างปริญญาโทมาช่วยแก้ไขปัญหา
แต่ปริญญาโทน่าจะเป็นการแก้ปัญหาในเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic) มากกว่า ซึ่งจะทำให้เกิดการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนใน Operation ดูไปแล้วการทำ Thesis เป็นการแก้ปัญหาในระดับยุทธศาสตร์ ซึ่งคงจะยากอยู่แล้ว เพราะว่าทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ของยากๆ นั้นก็ย่อมมีคุณค่าและมูลค่ามากกว่าอยู่แล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวนักศึกษาเองก็เป็นคนเลือกทำในสิ่งที่ง่ายๆ และมีคุณค่าน้อยกว่า แน่นอนครับมูลค่าที่นักศึกษาได้ก็ย่อมน้อยกว่า ลงแรงเยอะก็ได้เยอะ ลงแรงน้อยก็ได้น้อย เป็นธรรมดา ปริญญาโทเป็นเหมือนอาวุธทางปัญญา ทำThesis เป็นเหมือนปืน ทำ IS เป็นเหมือนมีด กว่าจะได้ปืนมาจะต้องลงทุนซื้อมาและต้องฝึกฝน แต่สำหรับมีดนั้นหาได้ง่ายและไม่ยากต่อการใช้ ก็เห็นๆ อยู่แล้วว่า ปืนนั้นมีอำนาจในการทำลายล้างและในการป้องกันตัวมากกว่า นักศึกษาเป็นคนเลือกเอง แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ทำ IS จะไม่มีอาวุธที่ดีได้ในอนาคต คนเราสามารถพัฒนาได้ถ้ามีระบบคิดที่ดีและถูกต้อง ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับตัวคนที่ใช้ เริ่มตรงไหน ไม่สำคัญ แต่ให้ถึงเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ นั่นเป็นภาวะผู้นำ
ทำ Thesis นั้นดูยากลำบากกว่าหลายเท่า แต่ผมเชื่อว่า เมื่อออกไปใช้ชีวิตแล้ว คนเหล่านี้น่าจะมีอาวุธหรือทุนในการดำเนินชีวิตมากกว่า เพราะว่าเรามาเรียนรู้ในกระบวนการทำ Thesis เพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่ไม่ได้เรียนปริญญาโทจะไม่สามารถทำหรือคิดได้อย่างปริญญาโท อย่าลืมว่า การเรียนเป็นการฝึก เพื่อไปใช้ชีวิตจริง แต่ถ้าเราเรียนรู้จากชีวิตจริงได้และสามารถใช้ประสบการณ์นั้นให้เกิดประโยชน์ได้ ก็ถือว่าเป็นการเรียนรู้ในชีวิต เป็นกำไรชีวิต และถ้าเราเข้าใจกระบวนการนั้นเป็นอย่างดีแล้ว และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเรียนหาใบปริญญาให้มันเปลืองเวลาเปล่าๆ เอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่นดีกว่า ใช้ชีวิตให้มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า
หลายๆ คนทำ Thesis ออกมาเลวๆ ก็มี หลายๆ IS ก็ดีกว่า Thesis ก็มีถมไป ทั้งนี้จะต้องดูที่ Leadership ถ้าเราสามารถสร้าง Leadership ได้ในระหว่างการเรียน ไม่ว่าจะทำ IS หรือ Thesis มันจะดูดีกว่า ใช่ไหมครับ มันย่อมคุ้มค่ามากกว่า แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลักสูตรและการจัดการหลักสูตร บางหลักสูตรจะเน้นกันที่ Connections ถ้าหลักสูตรนั้นเป็นแค่การให้ความรู้ ยัดเหยียดความรู้ ก็จะกลายเป็นตลาดวิชา ไม่ได้เน้นที่การสร้างคนหรือภาวะผู้นำหรือการติดอาวุธทางปัญญา ไม่ได้พยายามที่จะทำให้คนที่เรียนคิดเป็น มันต้องไม่ใช่แค่มีความรู้และใช้ความรู้ในการแก้ปัญหา ซึ่งที่จริงแล้ว ความเป็นปริญญาโท คือ ภาวะผู้นำที่สามารถมองปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้นและต้องป้องกันมันไม่ให้เกิดขึ้น
ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับหลักสูตรและนักศึกษาจะร่วมมือกันอย่างไร ถ้านักศึกษาคิดว่าจะเข้ามาเรียนเพื่อที่จะเอากระดาษไปใช้ ก็เอากระดาษไปเลย แล้วผู้ที่บริหารหลักสูตรก็คิดว่า เป็นผู้ให้ความรู้และป้อนให้ทุกอย่างจนนักศึกษาคิดไม่เป็น ไม่มีโอกาสได้คิดอย่างสร้างสรรค์ มาเน้นกันที่ปริมาณ การเรียนจึงเป็นแค่การส่งผ่านข้อมูลกันและกันเท่านั้น ป้อนข้อมูลให้ แล้วก็มีเอกสารเป็นหลักฐาน เป็นเหมือนกับใบเสร็จรับเงิน แถมยังไม่ค่อยได้เห็นสิ่งที่สร้างสรรค์สำหรับตัวผู้เรียนเลยว่า ตัวผู้เรียนควรจะได้รับการฝึกฝนในกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองมากกว่ามานั่งเรียนรู้ในห้องเรียนเหมือนการเรียนในระดับปริญญาตรี ดูๆ ไปแล้วก็น่าจะมีประสิทธิผลดี มีประสิทธิภาพดี เพราะใช้เวลาน้อยมากในการเรียน แถมยังมีโอกาสทำงานไปด้วยได้อีก ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว ใครที่ไหนเขาจะมีเงินมาจ่ายค่าเล่าเรียนที่สูงอย่างนั้น แต่พอมาดูผลสัมฤทธิ์นั้น ก็อาจจะดูได้ยากหน่อย
ผมมองการเรียนในระดับปริญญาโทนั้นเป็นระบบบูรณาการของการเรียนรู้ โดยเฉพาะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ไม่ใช่การเรียนรู้ที่ถูกป้อนจากผู้สอน เพราะกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเองเป็นบทสรุปในกระบวนการทำ Thesis ที่จะต้องใช้ภาวะผู้นำในการกำหนดปัญหา เพื่อให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นด้วยและให้ความร่วมมือ ปัญหาและบริบทของปัญหานั้นจะต้องได้รับการทบทวนจากทฤษฎีหรือบทความทางวิชาการเพื่อยืนยันถึงความถูกต้องตามหลักวิชาการ การพัฒนาข้อเสนอหรือหนทางการแก้ปัญหาในการดำเนินการและผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม รวมทั้งการนำเสนอสู่สาธารณชนหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องในองค์กร
กระบวนการทำ Thesis เป็นกระบวนการที่สะท้อนภาพการทำงานในชีวิตที่บูรณาการเกือบทุกมิติในการทำงานและการจัดการ อีกทั้งยังเป็นการจัดการตัวเองหรือการบริหารตัวเองด้วย ข้อด้อย คือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องและตัวนักศึกษาเองอาจจะไม่ได้เป็นผู้ที่มีผลกระทบโดยตรง จึงทำให้ทั้งอาจารย์และนักศึกษาเองไม่ได้ให้ความสำคัญในเงื่อนเวลา แต่ถ้าตัว Thesis นั้นมีบริษัทหรือหน่วยงานหรือหน่วยงานเข้ามาสนับสนุนและเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงแล้ว ทั้งอาจารย์ที่ปรึกษาและนักศึกษาก็จะต้องให้ความสำคัญกับระยะเวลาและดำเนินงานจนครบจบตามกำหนดเวลา ซึ่งประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากๆ ในชีวิตจริง เมื่อเสร็จไม่ทันก็ต้องถูกปรับเงินเป็นธรรมดา แต่ Thesis นั้นไม่ใช่ ทำได้เรื่อยๆ ส่วนการทำ IS นั้น ก็แล้วแต่ เพราะส่วนมากจะถูกบีบรัดให้จบตามเวลา เพราะบางแห่งมีนักศึกษาจำนวนมาก ดังนั้นขอบข่ายหรือเนื้อหาจึงน้อยกว่า Thesis มาก ทำมากก็ได้มาก ทำน้อยก็ได้น้อย ดังนั้นคุณภาพโดยทั่วไปของ IS จึงน้อยกว่า Thesis แต่ก็มีบางแห่งก็ยังขาดความเข้าใจในความแตกต่างระหว่าง IS และ Thesis จึงอาจจะเกิดกรณีที่มีการทำ IS ให้กลายเป็น Thesis แต่ก็น้อยมาก
เรื่องของการทำ Thesis เป็นเรื่องของการแสดงถึงศักยภาพของภาวะผู้นำของคนที่จะเป็นผู้นำในองค์กรหรือสังคม อย่างน้อยก็นำชีวิตตัวเองได้ ถ้าได้ผ่านการฝึกเสียหน่อยก่อนจะไปใช้ชีวิต ก็น่าจะดีกว่าไปลองผิดลองถูกในชีวิตจริง แล้วคราวหน้าผมจะมาเล่าให้ฟังเรื่องการทำวิทยานิพนธ์และการป้องกันวิทยานิพนธ์ ขอบคุณครับ!