วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

Education อ.วิทยา ประกาศ สร้าง Dream Team สำหรับ Learning Model

หลังจากที่ผมได้ Post Facebook เพื่อหาทีมงานที่มีพลังความคิดและรักอิสระ แต่มีความเสี่ยงหน่อย ผมหมายถึงความเป็นผู้ประกอบการน่ะ มาร่วมงาน Consultant และงานวิจัย ต่างๆ รวมทั้งงานวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกและโทร่วมด้วย ปรากฏว่ามีผู้ที่สนใจตอบกลับมาอยู่หลายท่าน ผมได้คุยกันเป็นส่วนตัวสองท่าน คุยทางโทรศัพท์หนึ่งท่านผมว่า หลายท่านอ่านแล้วอาจจะยังไม่เข้าใจว่าว่าผมกำลังทำอะไรอยู่ แต่ที่แน่ๆหลายคนที่กำลังทำวิทยานิพนธ์ (Thesis) อยู่น่าจะโดนใจมากที่สุด เพราะว่ากำลังงงและสับสนว่าไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี นั่นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นกับการศึกษาไทยในระดับบัณฑิตศึกษา วันนี้ผมก็เลยให้คำปรึกษาเบื้องต้น ในฐานะที่ปรึกษาอิสระว่า การทำ Thesis คือ อะไร แนวคิดควรจะเป็นอย่างไร ควรจะตั้งเป้าหมายอย่างไร และควรจะจัดการกับตัวอย่างและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างไร


ผมเองไม่ได้ต้องการจะเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ทั้งปริญญาโทและปริญญาเอก ผมเองไม่ได้สังกัดในหลักสูตรใดๆ ทั้งสิ้น ในช่วงแรกๆ ในวิชาชีพของการเป็นอาจารย์นั้น ผมก็อยากจะเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ปริญญาโทและเอก โดยเฉพาะปริญญาเอก แต่ผมเห็นระบบการเรียนการสอนของบ้านเราแล้ว ผมว่ามันไม่ใช่ ไม่ใช่เลยจริงๆ แต่ผมก็ไม่ได้ทวนกระแสนะครับ ก็ปล่อยไปตามกระแสและตามกำลังที่ผมมีอยู่ เขาเชิญไปเป็นกรรมการสอบก็ไป ผมก็ว่าไปตามกระบวนการ แต่ในใจนั้นผมว่าไม่ใช่แน่นอน ให้มันเป็นไปตามกลไกตลาด ผมว่ามันเป็นกลไกปีศาจน่ะ


จนผมได้มาเจอทีมงานของผมทั้ง Full Time และ Partnership ที่สถาบันวิทยาการโซ่อุปทาน ผมกลับมี Model ใหม่ที่ผมไม่ต้องเป็นที่ปรึกษาวิทยานิพนธ์ให้ใครให้ยุ่งยากอีกต่อไป ทีมงานรอบๆ ข้างผมเกือบทั้งหมดกำลังเตรียมตัวเรียนปริญญาเอกด้วยกำลังความคิดและความสามารถที่พวกเขากำลังทำอยู่ในปัจจุบัน พวกเขาจะเรียนที่ไหนก็ได้ มีใครเป็น Advisors ก็ได้ ทำเรื่องอะไรก็ได้ ผมเองไม่เกี่ยวกับเรื่องของหลักสูตรและปริญญา แต่ผมจะเป็นพี่เลี้ยงและคอยให้คำปรึกษาและฝึกฝนความคิดในเชิงยุทธศาสตร์สำหรับการทำวิทยานิพนธ์ของพวกเขาเหล่านั้น รวมทั้งในการทำงานด้วย พวกเขาจะได้เรียนรู้กระบวนการจากการทำงานร่วมกับผม ได้เรียนรู้วิธีคิด ได้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ พร้อมกับใช้งานจริงในธุรกิจจริง Project จริง แล้วจึงนำประสบการณ์เหล่านั้นไปทำเป็นวิทยานิพนธ์เพื่อให้ได้ปริญญาที่เขาต้องการ แถมตอนทำงานยังได้เงินแบบมืออาชีพอีกด้วย ถ้าคุณเป็นมืออาชีพจริง


แต่ก่อนอื่นคุณก็ต้องกลับไปถามตัวเองก่อนว่า คุณอยากเรียนทั้งปริญญาโทและเอกไปเพื่ออะไร ถ้าแค่อยากมีไว้เป็นเกียรติกับตัวเองและวงศ์ตระกูลหรือเอาไว้เข้าสังคม คุณก็ไม่ต้องอ่านต่อ และไม่ต้องคิดอะไรมาก หลักสูตรเขาให้ทำอะไรก็ทำไป อย่าไปเถียงเขา เดี๋ยวไม่จบ จะเสียเงินและเวลาไปเปล่าๆ ค่อยรอให้จบแล้วถ่ายรูปรับปริญญาและฉลองกันให้เสร็จเสียก่อน แล้วค่อยกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิมๆ เป็นทาสความคิดคนอื่นๆไปเรื่อย ก็เป็นชีวิตที่ดีเหมือนกัน แต่ก็ไม่จริงนะหลายคนอาจจะได้เจออะไรหรือถอดระหัสความคิดในชีวิตได้ ซึ่งอาจจะได้ดีกว่าผมอีก ก็เป็นไปได้นะ แต่จะมีสักกี่คนล่ะ


ที่จริงแล้วผมต้องการผู้ร่วมงานที่เป็นนักวิจัย ที่ปรึกษา มาร่วมกันทำงานอย่างเป็น Synergy ไม่จำเป็นที่จะต้องเรียนปริญญาเอกก็ได้นะครับ มาเป็น Management Consultant ที่มีความเข้าใจในเชิงองค์รวม (Holistic Thinking) แต่ถ้ามีอาชีพอย่างนี้ในเมืองไทยแล้ว คนอื่นๆ เขามองหัวจรดเท้า เราก็เลยจะต้องเอาปริญญาเอกมาข่มกัน มาเป็นเกราะป้องกันตัวเอง จนเราเห็นปริญญาเอกกันเต็มบ้านเต็มเมือง แต่คุยกันเท่าไหร่ก็ยังไม่ค่อยเห็นความเป็นปริญญาเอกกัน ทั้งๆที่การเรียนและการทำงานนั้นสามารถไปด้วยกันได้และสร้างประโยชน์ด้วยกันได้ แต่ในความเป็นจริงมันเป็นคนละโลกกันเลย การเรียนเหมือนเล่นละครกันใครแสดงดีก็ได้ไป ส่วนในโลกแห่งความเป็นจริงก็ไม่ได้คิดจะใช้ประโยชน์จากากรศึกษา ซึ่งที่จริงแล้วบริษัทใหญ่ในโลก เขาใช้ประโยชน์จากทั้งสองฝ่ายเพื่อบรรลุผลทางธุรกิจ ซึ่งก็ได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย


ประเด็นผมก็คือ ผมมีอะไรดีก็จะเอามาแบ่งปันกัน คุณมีอะไรดีก็มาเล่าสู่กันฟัง ผมไม่ค่อยกั๊กหรอก เพราะว่าผมหาความรู้ใหม่ สร้างความรู้ขึ้นมาใหม่ได้ ผมสอนให้กับทุกคนได้ ผมยินดีถ่ายทอดทุกอย่างที่ผมรู้ให้กับ Partners อย่างพวกคุณ ผมถ่ายทอดให้ไปแล้ว พรุ่งนี้ผมก็รู้มากขึ้น ทุกครั้งที่ผมถ่ายทอด พรุ่งนี้ผมก็หาใหม่ได้แล้ว ส่วนพวกที่ชอบกั๊ก ก็เป็นพวกที่เรียนรู้ไม่เป็น ชอบเก็บไว้เยอะแล้วก็ไม่มีประโยชน์ เพราะไม่เข้าใจ เปลืองเนื้อที่เก็บความรู้ (ที่จริงไม่รู้) สู้ทำใจให้กว้างแล้วเปลี่ยน Mindset เสียใหม่มาร่วมกันสร้างองค์ความรู้ใหม่ Best Practices ใหม่กันดีกว่าไหม ถ่ายทอดความรู้นั้นออกไปให้มันเป็นธุรกิจแห่งความรู้ที่แท้จริง ไม่ใช่ธุรกิจวิชาการแบบเดิมที่เราเรียนๆ กันอยู่ทุกวันนี้ มายุคนี้กระบวนการและความคิดจะต้องเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ต้องให้ทันกับการเปลี่ยนแปลง จะต้องเลิกคิดแบบเชิงเส้น แต่จะต้องคิดแบบไม่เป็นเชิงเส้น ตรงนี้แหละครับ ความคิดนี้แหละจะเป็นจุดเปลี่ยนของแห่งการจัดการในปัจจุบันและอนาคต
ผมจึงอยากจะได้ผู้ที่มีแนวคิดตรงกันมากร่วมกันสร้าง Project ในเชิง Management Consultant ด้วยองค์ความรู้ใหม่ Complexity Management, System Theory ฯลฯ อีกมากมาย ลองมาคุยกันสิครับ....