วันอังคารที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2555

Life – ความล้มเหลว คือ รากฐานของความสำเร็จ จริงหรือ?

ในหลายๆ อาทิตย์ที่ผ่านมานี้ได้ดูหนังเรื่อง “วัยรุ่นพันล้าน” ประวัติการสู้ชีวิตของเถ้าแก่น้อย ใช่ครับชีวิตของเขาถูกนำมาเป็นเรื่องราวที่โลดแล่นบนแผ่นฟิลม์ภาพยนตร์ไทย ตอนแรกๆ ไม่ได้ตั้งใจจะดูเลย พอดีลูกชายผมซื้อมาครับ แกเป็นแฟนหนัง “พี่พีท” จากเรื่อง Suck Seed โน่น กว่าผมจะดูจบก็เล่นไปหลายวันเป็นอาทิตย์เลยเพราะว่าต้องดูในรถคันอื่น และบังเอิญไม่ใช่รถผมก็เลยใต้องช้เวลาดูนานหน่อย ดูแล้วชอบ ชอบมากๆ ด้วย เพราะว่ามันเป็นเรื่องจริง ดูแล้วมีแรงบันดาลใจให้กับตัวเองอีกด้วย ที่จริงผมอยู่เฉยๆ ก็ดีแล้ว รู้สึกสบายดีจะตายไป แล้วจะดิ้นรนอีกไปทำไม แต่ก็ดีครับ ทำให้ต้องกลับมาพิจารณาตัวเองใหม่อยู่ตลอดเวลา เป็นเหมือนการเตือนสติ เราหาหนังไทยที่มีสาระในมุมอย่างนี้ได้น้อยมากๆ ในปัจจุบัน ส่วนมากเป็นแต่เรื่องบันเทิงใจกับน้อยสาระกันเป็นส่วนใหญ่


ดูหนังเถ้าแก่น้อยแล้ว ทำให้คิดอะไรได้หลายอย่าง ไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำอย่างนั้นให้ได้ แล้วจะต้องเป็นอย่างเถ้าแก่น้อย นั่นมันชีวิตเขา ไม่ใช่ชีวิตผมหรือชีวิตใครๆ แต่น่าจะมีอะไรน่าสนใจเก็บไปใช้ได้มาก ถึงแม้ว่าเขาอายุยังน้อยก็ตาม แต่มันก็ให้คุณค่าได้มากเช่นกันครับ จากชีวิตเด็กที่ไม่ได้ลำบากอะไรมากนัก แต่ดูจะลำบากใจมากกว่าลำบากกาย จะต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อมาใช้หนี้และจะต้องทำให้สำเร็จด้วย ความไม่ท้อถอยและใจสู้นี่ก็เป็นตัวอย่างที่ดีได้ แต่ผมว่าต้องบ้าด้วยซึ่งอาจจะดีในบางช่วงเวลา บางช่วงอายุ ใช้กับทุกคนไม่ได้ ไม่ได้สนับสนุนให้คิดอะไรบ้าๆ อย่างนั้นนะครับ แต่ผมเชื่อว่าในประเทศเรายังมีคนอย่างเถ้าแก่น้อยอีกมากมายครับ พวกเขาได้คิดและทำอย่างเถ้าแก่น้อยเหมือนกันในบริบทที่แตกต่างกันไป ที่จริงแล้วน่าจะมี “คนค้นคน (ภาคคนรวย)” แต่จะมีสักกี่คนล่ะครับที่ประสบความสำเร็จเหมือนเขา และที่ประสบความสำเร็จแต่ไม่ได้นำมาเผยแพร่ก็ยังมีอีกมากครับ ที่จริงแล้วคนอย่างนี้มีอยู่ทั่วโลกเลย


แต่ผมก็ไม่ได้ให้ทุกคนที่กำลังพยายามอยู่ในชีวิต เลิกความพยายามนะครับ ก็จงพยายามต่อไปครับ แล้วผมเห็นอะไรในตัวเถ้าแก้น้อยล่ะครับ วิธีคิดของเขา วิธีสู้ของเขา แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า วิธีของเขาดีที่สุด แต่ตัวอย่างของเขาก็ได้ถูกเผยแพร่ออกมาสู่สังคมไทยเรา เป็น Model ของคนไทย มันดูแล้ว in กว่ากันเยอะ มันดูติดดินกว่าไปดูหนังฝรั่ง ความสำเร็จของคนฝรั่งที่เผยแพร่ไปทั่วโลก มันก็เป็นจริงอย่าง Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook ที่ประสบผลสำเร็จ แต่มันอยู่ไกลจัง ก็เลยเป็นแค่ความบันเทิงไปในหนัง ก็เลยไม่ได้เหลืออะไรให้คิดกันต่อไป กลับไปดูเอาตลกแบบหนังไทย เอามันกันดีกว่า หรือไม่ก็หวานซึ้งกันไปเลย


เขาบอกกันว่า ความล้มเหลว คือ พื้นฐานของความสำเร็จ ก่อนจะมาสำเร็จได้ก็ต้องล้มกันก่อนทุกคน No pain no gain ที่เหลือใครจะใจสู้กว่ากัน ซึ่งก็ไม่จริงเสมอไป มันต้องบ้าด้วย ต้องคิดเป็นด้วย ไม่ต้องฉลาดก็ได้ ผมว่าสูตรของความสำเร็จไม่ได้มีตัวประกอบ หรือ Factor เดียว แต่มันมีหลายๆ องค์ประกอบในหลายสถานการณ์ สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นในมิติหนึ่งของความสำเร็จ ก็คือ ความไม่เหมือนใคร (Unique) เพราะว่า เรา คือ คนๆ เดียวในโลกนี้ ดังนั้นสูตรสำเร็จของเราทุกคนจึงไม่เหมือนกัน เราต้องคิดค้นและสร้างมันขึ้นมาเอง ที่สำคัญมันอยู่ที่ State of Mind ของแต่ละคนจริงๆเลย ไม่ได้อยู่ที่ใครจะมีความรู้มากหรือน้อย ผมหมายถึงว่ามีปริญญาหรือไม่มีปริญญา แต่ที่แน่ๆ จะต้องมีความรู้และประสบการณ์มาก่อน ต้องเรียนรู้และรับรู้กันมาก่อน ต้องเจ็บต้องทนกันมาก่อน จึงจะสามารถตัดสินใจได้ แต่ว่าเวลาวัดที่ผลลัพธ์นั้นก็แล้วแต่นะครับ จะวัดกันที่เงินทอง ความมีชื่อเสียง ความมีประโยชน์ต่อสังคม หรือแค่ความสุขของตัวเอง ตรงนี้แล้วแต่ครับ คุณจะวัดอย่างไรก็ได้ มันเป็นเรื่องของการดำรงอยู่ของแต่ละคน


อย่าลืมว่า ชีวิตของเรานั้นเป็นระบบที่มีตัวแปรอยู่หลายตัว Multivariate ไม่ใช่ตัวแปรเดียว ดังนั้น คำที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น วลีนี้อาจจะไม่จริงเสมอไป เรากลับยิ่งต้องใช้หลายวลีหรือหลายคำคมมาผสมผสานกันเพื่อให้ได้เหมาะสมกับตัวเราที่สุด ความสำเร็จของคนๆหนึ่งไม่อาจถูกลอกเลียนแบบไปสู่ความสำเร็จของอีกคนได้ แต่วิธีคิดกับ State of Mind ของแต่ละคนบวกกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เราไม่รู้มาก่อนจะเป็นตัวช่วยผลักดันให้เกิดขึ้นหรืออุบัติขึ้น (Emergence) บางครั้งองค์ประกอบของความสำเร็จที่เราไม่รู้มาก่อนหรือไม่เคยจะคิดถึง เรามักจะเรียกมันว่า พรหมลิขิต แต่หลายคนก็บริหารความเสี่ยงเพื่อที่จะไม่ให้พลาดจากความสำเร็จนั้น ด้วยการพยายามที่จะรู้ล่วงหน้าและเตรียมความพร้อมไว้ก่อน แต่มันก็ไม่จริงเสมอไป ก็อีกนั่นแหละครับ เรามีอะไรหลายอย่างที่เราไม่รู้อีกเยอะทีเดียว ที่เหลืออยู่เราจะตัดสินใจอย่างไร ชีวิตเป็นของเราครับ


ใครจะไปรู้ว่าความล้มเหลวในครั้งนี้จะเป็นพื้นฐานสำหรับความสำเร็จที่อยู่ข้างหน้า ถ้าเราไม่ลุกขึ้นเดินหน้าต่อไป เราก็คงจะไม่สำเร็จมั๊ง แต่ที่แน่ๆ จะล้มเหลวหรือจะสำเร็จ ทุกคนก็ต้องตัดสินใจด้วยความมีสติและข้อมูลอย่างเหมาะสม นี่ความเป็นจริง แต่ถ้ามีมากเกินไปจนไม่กล้าตัดสินใจ ผลก็อาจจะออกมาในอีกรูปแบบหนึ่งก็ได้ เรื่องนี้ไม่มีสูตรสำเร็จเช่นกัน มันเป็นสัญชาตญาณของแต่ละคน ถ้าจะมองว่าล้มเหลวหรือสำเร็จนั้นเป็นการมองแบบเชิงสัมพัทธ์ ด้วยผลลัพธ์เดียวกันเพื่อเปรียบเทียบกับตัวเทียบเคียงสองตัวแล้ว ผลลัพธ์ก็จะออกมาแตกต่างกันเป็นล้มเหลวหรือสำเร็จ ดังนั้นผลลัพธ์ที่ออกมานั้นก็ขึ้นอยู่กับเราจะมองอย่างไร และที่สำคัญ คือ เมื่อเราให้ค่ากับผลลัพธ์ของเราแล้วว่าล้มเหลวหรือสำเร็จ เราจะตัดสินใจอย่างไร นั่นก็เป็นที่ตัวเราเองนั่นแหละครับที่ตัดสินใจชีวิตเรา ไม่ได้มีใครลิขิตให้หรอกครับ นั่นแสดงว่าเราเขียนบทให้กับชีวิตของเราเองต่างหาก ถ้าอยากจะสำเร็จ ก็สำเร็จได้ ถ้าอยากจะล้มเหลว แล้วอยากล้มเหลวต่อไป ก็ล้มเหลวต่อไปได้ ไม่มีใครห้าม แต่ถ้าจะล้มเหลว แล้วกลับมาสำร็จก็สามารถทำได้ แต่เหนื่อยนะ ยากที่จะคิดนะ ไม่ง่ายนะ อยากทำหรือเปล่าล่ะ


สุดท้ายแล้วทุกคนประสบความสำเร็จในการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ เพราะว่าถ้าหัวใจล้มเหลว ไตล้มเหลว ปอดล้มเหลว เราก็คงจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้ ดังนั้นเราทุกคนจึงเป็นผู้ที่ประสบผลสำเร็จในการมีชีวิตอยู่ Will Smith ดาราระดับโลกที่เล่นหนังเรื่อง Hancock ให้สัมภาษณ์ในรายการ TV ว่า “เขาอยากให้ชีวิตเขานั้นมีความหมาย ถ้าชีวิตของเขาไม่สามารถทำให้ชีวิตคนอื่นๆ ดีขึ้นแล้ว เขาจะมีชีวิตอยู่อย่างสูญเปล่า” ดังนั้นหลังจากที่เราประสบความสำเร็จในการมีชีวิตอยู่แล้ว เราจะทำให้การมีชีวิตอยู่นั้นมีค่ามากขึ้น ด้วยการสร้างคุณค่าให้ผู้อื่นได้อย่างไร ไม่อย่างงั้นแล้วการมีชีวิตอยู่นั้นก็สูญเปล่าอย่างที่ Will Smith ได้กล่าวไว้ เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว เราคงจะไม่มีความล้มเหลวอีกต่อไป จะมีแต่ความสำเร็จและความสำเร็จที่ยิ่งกว่าเท่านั้น จนกว่าความล้มเหลวของชีวิตที่ คือ ความตายจะมาถึง ดังนั้นเราก็จงมีชีวิตอยู่อย่างเป็นผู้มีความสำเร็จเถอะครับ