เมื่อเราพูดถึงอนาคต เรามักจะมองไปข้างหน้า เรามักจะฝัน เรามักจะคาดหวัง แล้วเราก็ไม่แน่ใจในอนาคต บางคนบอกว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน แต่จริงๆ แล้วมันอาจจะแน่นอนก็ได้ เพียงแต่ว่าเราไม่รู้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นนั่นเอง ความตื่นเต้น ความเป็นมนุษย์มันก็อยู่แค่นี้จริงๆ เพราะว่าถ้าเรารู้แล้วว่าอะไรก็จะเกิดขึ้น มันคงจะไม่มีรสชาดในชีวิต แต่ก็ไม่แน่หรอกมันอาจจะทำให้เรารู้สึกดีก็ได้ เพราะเรามีความมั่นคงในการมีชีวิต การที่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่พอก็ได้ แต่ถ้าได้กำหนดอนาคตได้ด้วย นี่สิดีเสียยิ่งกว่า ดังนั้นประเด็นของเวลาจึงเป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนเลยทีเดียว เราได้เรียนรู้กันมาว่า เวลาไม่เคยหยุดนิ่ง เวลาไม่เคยคอยใคร สิ่งที่มีค่าที่สุดก็ คือ เวลาที่อยู่บนโลกนี้ มีหนังหลายเรื่อง บทประพันธ์หลายเรื่องได้ใช้เวลาเป็นตัวนำเรื่องราวของตัวละครต่างๆ ให้โลดแล่นไปตามกรอบของเวลาและเรื่องราวของเวลา แม้แต่การข้ามเวลาหรือย้อนเวลาก็ตาม
มาถึงตรงนี้ผมอยากจะพูดถึงเรื่องของอนาคต ซึ่งเป็นอนาคตของเราทุกคน ผมเห็นหนังสือในระยะหลังนี้มีหลายเล่มที่พยายามทำนายหรือเล่าเรื่องของอนาคต ซึ่งที่จริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะว่าในศตวรรษที่แล้วก็มีคนเล่าเรื่องในอนาคตซึ่งตรงบ้างไม่ตรงบ้าง บางเรื่องก็เกิดขึ้นก่อนเสียด้วยซ้ำ อนาคตนั้นสำคัญอย่างไร เราคงจะเคยได้ยินถึงนักอนาคตศาสตร์ ผู้ที่ทำนายอนาคตของโลกหรือสังคม คงจะไม่ใช่หมดดูอย่างที่พวกเราได้มีประสบการณ์กันมาบ้างไม่มากก็น้อย บางคนก็อาจจะพูดว่าที่จริงแล้วไม่มีอนาคตหรืออดีต เพราะเรามีแต่ปัจจุบันเท่านั้น สิ่งที่เรารู้สึกได้ก็ คือ ปัจจุบัน (Now) ไม่ใช่ทั้งอนาคตและอดีต ดังนั้นทำไมเราถึงไม่ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด จะไปกังวลกับอดีตที่ผ่านไปแล้วและเป็นห่วงอนาคตที่ยังมาไม่ถึงกันทำไมกัน จริงๆ ครับเราทำปัจจุบันให้ดีที่สุด นั่นเป็นหนทางที่ถูกต้องแล้วครับ แต่ถ้าเรานำเอาเหตุการณ์ในอดีตมาเชื่อมโยงกับปัจจุบัน เราอาจจะเตรียมตัวสำหรับอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เราจึงต้องมองอนาคตไว้เสมอ แต่เราจะมองได้อย่างไร เราก็ต้องมองจากปัจจุบันและร่องรอยจากอดีต รูปแบบของการมองอนาคตจากอดีตผ่านปัจจุบันอาจจะใช้ไม่ได้ผลในปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า เพราะว่าที่จริงแล้วอนาคตข้างนั้นอยู่ในมือและมันสมองของคุณในปัจจุบันเวลานี้ เพียงแต่ว่าเราจะสร้างอนาคตจากปัจจุบันได้หรือไม่และอย่างไร เรามองอนาคตจากเวลาในปัจจุบัน เราสร้างอนาคตจากเรื่องราวและทรัพยากรในปัจจุบัน อนาคตอยู่ในกำมือเรา นั่นก็ คือ เหตุผลที่ว่า ทำไมเราจะต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุดอยู่เสมอ สิ่งที่เราทำอยู่ในปัจจุบันก็เพื่อปัจจุบันเท่านั้น แต่เราสามารถคิดและวางแผนไปในอนาคตได้ ตรงนี้แหละครับที่ทำให้เราแต่ละคนแตกต่างกันออกไป
ผมคิดว่าคนเรานั้นส่วนหนึ่งก็แตกต่างกันตรงที่ใครมองได้ไกลกว่ากันหรือแตกต่างกว่ากัน พอพูดถึงการมองไปในอนาคตนี้ ผมไม่ได้หมายถึงการมองด้วยสายตาที่เราทุกคนเห็นสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวเราเหมือนกัน แต่เป็นการมองด้วยสายตาที่มองไปในอนาคตนั้นจะต้องเป็นสายตาของหัวใจและปัญญาที่ต้องการจะสร้างคุณค่าให้เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคุณค่าเพื่อตัวเองหรือสังคม ถ้าเราขาดการมองอนาคตด้วยรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งเสียแล้ว ผมก็เชื่อว่าปัจจุบันของเราหรือเขาเหล่านั้นก็จะขาดความสมบูรณ์หรือความพร้อมไป หรือจะทำให้ปัจจุบันของเขานั้นมีปัญหา ไม่เป็นปัจจุบันที่เขาต้องการ เวลาที่ใครพูดกันว่าเป็นห่วงอนาคต ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย เขาเป็นหว่งปัจจุบันของเขาเองมากกว่า เพราะว่ากว่าจะรู้สึกตัวได้ อดีตที่เราพลาดไปก็ไม่ได้หวนกลับมาอีกแล้ว ในขณะเดียวกันจะไปกังวลกับอนาคตที่ไม่มีอยู่จริงกันไปทำไม
ผมไปซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่ง ชื่อว่า Business at the Speed of Now. ผมชอบตรงคำว่า Now เพราะว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงนี้เวลานี้ เรามีความรู้สึกและมีความต้องการในเวลานี้เช่นกัน สิ่งนี้บอกเป็นนัยถึงสถานะในเชิงลอจิสติกส์และการบริการ เพราะว่าที่สุดของธุรกิจแล้วคือ การบริการเพื่อสร้างคุณค่าที่มนุษย์ต้องการ ไม่ใช่ในอดีตและในอนาคต แต่เป็นเวลานี้ (Now) เท่านั้น เพราะฉะนั้นวันนี้เราทำอะไรไปบ้าง เราตัดสินใจอะไรไปบ้าง ก็ย่อมเป็นผลมาจากอดีตและจะมีผลไปสู่อนาคต และที่แน่ๆ ต้องมีผลในปัจจุบันกับเราทุกคน
ที่สุดแล้วเรามีชีวิตก็ต้องมีสติ สติทำให้เราย้อนรอยอดีต รู้ภาวะปัจจุบันและเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต เราไม่ได้รู้ทุกอย่างๆ แต่อย่างหนึ่งที่เราต้องรู้ก็ คือ รู้ตัวเอง และถ้ารู้ถึงสภาวะภายนอก รู้ถึงลูกค้า เราก็สามารถปรับตัวเองให้เข้ากับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้ หรือสิ่งที่เราไม่รู้ได้ แต่ถ้าเราอยู่กับปัจจุบันไม่ได้ และจัดการกับปัจจุบันไม่ได้ ก็อาจจะทำให้ปัจจุบันของอนาคตนั้นมีปัญหาตามมาอีกและต่อเนื่องกันไปเป็นปัญหาเรื้อรังไปไม่สิ้นสุด ลืมตาขึ้นมาเถอะ มาดูปัจจุบันและอยู่กับปัจจุบันให้ดีที่สุด เพื่ออนาคตที่ไม่มีจริง จะมีแต่ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นจริงเสมอ